มีเงิน 50,000 ลงทุนอะไรดี ให้เป็นเศรษฐีในวันข้างหน้า

           มีเงิน 50,000 ลงทุนอะไรดี จะฝากประจำ ซื้อกองทุน หรือเล่นหุ้น เยอะแยะไปหมด เลือกไม่ถูก ถ้าไม่รู้ว่ามีเงิน 5 หมื่นจะเอาไปลงทุนอะไรดี ลองมาอ่านบทความนี้ดูก่อน ไม่แน่ คุณอาจจะได้คำตอบก็ได้ ลองดูครับ
  
มีเงิน 50,000 ลงทุนอะไรดี ให้เป็นเศรษฐีในวันข้างหน้า
   
         มีเงิน 50,000 บาท ลงทุนอะไรดี เป็นคำถามยอดฮิตของคนรุ่นใหม่ที่มักจะถามกัน เพราะใคร ๆ ก็อยากมีชีวิตที่ดี มีเงินทองใช้คล่องไม่ขาดมือ และอยากประสบความสำเร็จในชีวิตภายในเวลาอันรวดเร็ว มนุษย์เงินเดือนหลายคนจึงใฝ่ฝันจะจับเงินล้านให้ได้สักครั้งในชีวิต ซึ่งแต่ละคนก็มีการวางแผนการเงินที่แตกต่างกันออกไปตามทุนทรัพย์ที่ตนเองมีอยู่     

         ทุกคนที่ตั้งคำถามนี้ขึ้นมาไม่มีใครอยากลงทุนไปแล้วขาดทุน แต่แน่นอนครับว่าในทุก ๆ การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ ใช่ว่าเราลงทุน 50,000 บาท จะได้กลับมาเท่าเดิมเสมอไป หรือจะให้ได้กำไรปุ๊บปั๊บเลยก็อาจจะไม่ใช่ ทุกอย่างต้องอาศัยเวลาและความอดทนทั้งนั้น     

         ดังนั้น วันนี้กระปุกดอทคอมจะมาแนะนำทางเลือกในการลงทุนโดยเริ่มต้นต่อยอดจากเงิน 50,000 บาท ซึ่งต้องขอบอกไว้ก่อนนะครับว่าแนวทางที่นำมาเสนอเป็นเพียงทางเลือกประกอบการตัดสินใจเท่านั้น และไม่ได้รับประกันว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จในทุก ๆ การลงทุนนะครับ หากใครที่กลัวว่าลงทุนไปแล้วจะขาดทุน ไม่คุ้มทุน ก็ขอให้ศึกษารายละเอียดของการลงทุนให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้งนะครับ เราจะไปเริ่มจากวิธีการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อยไปหาความเสี่ยงมาก เพื่อความสะดวกในการตัดสินใจ ไปดูกันได้เลย

ลงทุนในเงินฝากประจำ


         การฝากเงินกับธนาคาร เป็นการลงทุนที่แทบจะไม่มีความเสี่ยงเลย คือ ฝาก 50,000 รับรองได้ว่าได้รับเงินต้นกลับมา 50,000 แน่ ๆ แถมได้ดอกเบี้ยด้วย แต่การฝากเงินในปัจจุบันมักไม่ใช่ตัวเลือกแรกสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ เพราะให้ผลตอบแทนน้อยและใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล (ดอกเบี้ย)

          
แต่สำหรับใครที่อยากเริ่มต้นการลงทุนในเงินฝาก กระปุกดอทคอมก็ขอแนะนำเป็นการ "ฝากประจำ" จะดีกว่าครับ เพราะให้ผลตอบแทนเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าการฝากแบบออมทรัพย์ ซึ่งก็มีให้เลือกหลายแบบ ทั้งแบบฝากประจำปลอดภาษี ที่ต้องฝากเท่ากันทุก ๆ เดือน และแบบฝากประจำธรรมดา ที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 3, 6, 12, 24, 48, 60 เดือน ให้เลือก โดยข้อดีของการฝากเงินคือไม่มีความเสี่ยง เพราะผลตอบแทนไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของธนาคาร และได้ดอกเบี้ยในอัตราที่แน่นอน
               
           ตัวอย่างเช่น ถ้ามีเงิน 50,000 บาท นำไปฝากประจำ 12 เดือน อัตราดอกเบี้ย 0.5% ต่อปี เมื่อครบปีจะได้ดอกเบี้ยทั้งหมด 250 บาท แต่เงินฝากประจำจะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ดังนั้นจึงได้รับดอกเบี้ยจริง 212 บาท แต่ถ้าไม่อยากเสียดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ก็อาจเลือกฝากประจำปลอดภาษีแทน


ลงทุนในสลากออมทรัพย์
       
          สลากออมทรัพย์ เป็นรูปแบบหนึ่งของการออมเงิน ซึ่งจะว่าไปก็คล้าย ๆ กับการฝากเงินแบบฝากประจำ เป็นเงินเย็น เน้นฝากระยะยาว 2-3 ปี ซึ่งจะแตกต่างจากเงินฝากทั่วไปตรงที่ผู้ฝากจะมีสิทธิ์ลุ้นรางวัลในทุก ๆ เดือน คล้ายกับการออกรางวัลลอตเตอรี่

          ปัจจุบันปี 2564 มีสลากออมทรัพย์ให้เลือกซื้ออยู่ทั้งหมด 3 ธนาคาร คือ สลากออมสิน สลาก ธ.ก.ส. และสลาก ธอส. ซึ่งแต่ละรุ่นก็มีราคาจำหน่ายและให้ดอกเบี้ยแตกต่างกันไป บางรุ่นสามารถซื้อผ่านแอปพลิเคชันของธนาคารได้ด้วย สำหรับผลตอบแทนจะได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับโชคของคุณด้วยนะครับ ถ้าถูกรางวัลอยู่บ้าง ผลตอบแทนก็จะมากกว่าเงินฝากประจำอยู่นิดหน่อย แต่หากบุญหล่นทับจัง ๆ ก็อาจเป็นเศรษฐีได้ในพริบตา ว่าแล้วก็ลองมาเปรียบเทียบผลตอบแทนของสลากแต่ละค่ายกันหน่อย

สลากออมทรัพย์

           ตัวอย่างเช่น

          - ถ้านำเงิน 50,000 บาท ไปซื้อสลาก ธอส. ชุดเกล็ดดาว เมื่อครบ 2 ปี จะได้เงินต้นพร้อมดอกเบี้ย 50,400 บาท (ยังไม่รวมกรณีถูกรางวัล) ไม่ต้องเสียภาษีดอกเบี้ย

          - ถ้านำเงิน 50,000 บาท ไปซื้อสลากออมสินพิเศษดิจิทัล 2 ปี เมื่อครบ 2 ปี จะได้เงินต้นพร้อมดอกเบี้ย 50,050 บาท (ยังไม่รวมกรณีถูกรางวัล) ไม่ต้องเสียภาษีดอกเบี้ย

          - ถ้านำเงิน 50,000 บาท ไปซื้อสลาก ธ.ก.ส. ชุดเกษตรยั่งยืน เมื่อครบ 2 ปี จะได้เงินต้นพร้อมดอกเบี้ย   (ยังไม่รวมกรณีถูกรางวัล) ไม่ต้องเสียภาษีดอกเบี้ย

         ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถเข้าไปศึกษารายละเอียดของสลากออมทรัพย์แต่ละธนาคารได้เลยที่เว็บไซต์ของธนาคาร                


ลงทุนในตราสารหนี้

          การลงทุนใน "ตราสารหนี้" เป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะมีความเสี่ยงอยู่ในระดับที่ไม่มากนัก โดยผู้ซื้อตราสารหนี้จะมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ ซึ่งจะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ และได้เงินต้นคืนเมื่อครบกำหนดอายุ ตัวอย่างตราสารหนี้ที่หลายคนรู้จัก เช่น พันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้เอกชน นอกจากนี้การลงทุนในตราสารหนี้ยังช่วยกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนของเราได้อีกด้วย
   
          ตราสารหนี้ มีหลายประเภทและหลายรูปแบบ เพราะโดยทั่วไปผู้ออกมักจะมีการออกตราสารหนี้ให้สอดคล้องกับความต้องการเงินทุนและความสามารถในการชำระหนี้ในอนาคตของผู้ออก

         ตราสารหนี้แบ่งตามประเภทของผู้ออก

         1. ตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาล

          ตราสารหนี้ชนิดนี้ผู้ลงทุนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้รัฐบาลโดยตรง ตราสารหนี้ชนิดนี้ถือว่าไม่มีความเสี่ยงเรื่องการผิดนัดชำระดอกเบี้ยและเงินต้น ถ้าเป็นตราสารหนี้อายุไม่เกิน 1 ปี จะเรียกว่า "ตั๋วคงคลัง" ส่วนตราสารหนี้ที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป เรียกว่า "พันธบัตรรัฐบาล" โดยอาจแบ่งได้เป็นระยะสั้น 1-5 ปี ระยะกลาง 5-10 ปี และระยะยาวตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป โดยในปัจจุบันระยะเวลาสูงสุดที่ออกขายคือ 20 ปี

          พันธบัตรรัฐบาลมีมูลค่าหน้าตั๋วหรือที่เรียกว่าราคาพาร์ เท่ากับ 1,000 บาทต่อหน่วย โดยทั่วไปมีลักษณะการจ่ายดอกเบี้ยเป็นแบบอัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fixed rate) โดยจ่ายปีละ 2 ครั้ง และชำระคืนเงินต้นครั้งเดียว ณ วันไถ่ถอน ปัจจุบันพันธบัตรรัฐบาลมีสัดส่วนมากเป็นอันดับหนึ่งในตลาดตราสารหนี้ ทั้งในด้านมูลค่าคงค้างและปริมาณการซื้อ-ขาย
 
         2. ตราสารหนี้ที่ออกโดยองค์กรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ

          เป็นตราสารหนี้ที่ออกโดยองค์กรภาครัฐ เช่น พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย พันธบัตรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พันธบัตรองค์กรของรัฐมีลักษณะเช่นเดียวกับพันธบัตรรัฐบาล โดยมีมูลค่าต่อหน่วยเท่ากับ 1,000 บาท จ่ายดอกเบี้ยแบบคงที่ปีละ 2 ครั้ง การชำระคืนเงินต้นเกิดขึ้นครั้งเดียว ณ วันไถ่ถอนเช่นเดียวกับพันธบัตรรัฐบาล

         3. ตราสารหนี้ภาคเอกชน หรือ "หุ้นกู้"

          เป็นตราสารหนี้ที่มีอายุมากกว่า 1 ปี ที่ออกโดยบริษัทเอกชน เพื่อระดมเงินทุนจากนักลงทุนและประชาชนทั่วไปเพื่อใช้ในการดำเนินกิจการการลงทุนในหุ้นกู้นั้น นักลงทุนจะต้องคำนึงถึงปัจจัยความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระดอกเบี้ยและเงินต้น ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความมั่นคงและฐานะทางการเงินของบริษัทผู้ออก และก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นกู้จะมีความเสี่ยงสูงเสมอไป

          โดยประเภทของพันธบัตรที่เป็นที่นิยมของนักลงทุนรายย่อยที่มีวงเงินการลงทุนไม่สูงนัก ก็คือ "พันธบัตรออมทรัพย์" ซึ่งเป็นชื่อเรียกของพันธบัตรที่ออกโดยรัฐบาล ออกเสนอขายให้แก่นักลงทุนและประชาชนทั่วไปโดยตรง ซึ่งนักลงทุนสามารถติดต่อจองซื้อได้โดยตรงจากสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดจำหน่ายพันธบัตรในแต่ละงวด

          ทั้งนี้ การซื้อ-ขายพันธบัตรรัฐบาล ยังมีข้อกำหนดและเงื่อนไขอื่น ๆ อีก เช่น ห้ามซื้อ-ขายเปลี่ยนมือนอกกลุ่มนักลงทุนบุคคลธรรมดาภายใน 6 เดือนแรก ส่วนเงื่อนไขของการลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์ ผู้ลงทุนสามารถศึกษาได้จากหนังสือชี้ชวนการลงทุน
        
          ตัวอย่างเช่น

          หากซื้อพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษ รุ่นเราชนะ บนวอลเล็ต สบม. ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 รุ่นอายุ 5 ปี จะได้รับดอกเบี้ยเป็นขั้นบันได คือ ปีที่ 1-2 ได้ 1.5% ปีที่ 3-4 ได้ 2% และปีที่ 5 ได้ 3% คำนวณดูแล้วเมื่อฝากครบกำหนด 5 ปี จะได้เงินต้นพร้อมดอกเบี้ยประมาณ 54,250 บาท (ยังไม่รวมหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ของการจ่ายดอกเบี้ยแต่ละงวด) ถ้าหักภาษีแล้วจะได้ผลตอบแทนราว ๆ 3,600 บาท
         

ลงทุนในกองทุนรวม

อ่าน Fund Fact Sheet อย่างไร เข้าใจกองทุนรวม

          "กองทุนรวม" (Mutual Fund) คือ โครงการลงทุนที่ระดมเงินทุนจากนักลงทุนหลาย ๆ คนมารวมกันให้เป็นเงินลงทุนก้อนใหญ่ แล้วนำไปจดทะเบียนให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล จากนั้นก็จะนำเงินที่ระดมทุนได้ไปลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ตามนโยบายการลงทุนที่ได้ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวนเสนอขายแก่นักลงทุน

          ทั้งนี้ นักลงทุนแต่ละรายจะได้รับ "หน่วยลงทุน" เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันฐานะความเป็นเจ้าของในเงินที่ได้ลงทุนไป โดยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เป็นผู้จัดตั้งและทำหน้าที่บริหารกองทุนรวมให้ได้ผลตอบแทน แล้วนำมาเฉลี่ยคืนให้กับนักลงทุนแต่ละรายตามสัดส่วนที่ลงทุนไว้ตั้งแต่แรกในกองทุนรวมนั้น กองทุนรวมมีหลายประเภท เช่น กองทุนรวมตราสารทุน กองทุนตราสารหนี้ กองทุนรวมตลาดเงิน เป็นต้น

          กองทุนรวม เป็นการลงทุนที่เข้าถึงได้ง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่อยากลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แต่ไม่มีเวลาติดตามข่าวสารสถานการณ์ความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก หรือว่าไม่ค่อยมีความรู้เรื่องหุ้นและตราสารหนี้ กลัวเล่นหุ้นแล้วจะขาดทุน ไม่มีประสบการณ์ลงทุน ไม่มั่นใจจะลงทุนด้วยตนเอง มีเงินไม่มากแต่อยากลงทุน การซื้อกองทุนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ มีให้เลือกหลายรูปแบบตามความเสี่ยง
    
          โดยจากข้อมูลในเดือนมีนาคม 2564 กองทุนรวมตลาดเงิน ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ประมาณ 0.5% หากเป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น ผลตอบแทนจะอยู่ที่ราว ๆ 0.5-1% หากซื้อกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี จะอยู่ที่ราว ๆ 2% หรือถ้าเพิ่มความเสี่ยงหน่อย ลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุน ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้น ก็มีสิทธิ์ได้รับผลตอบแทนสูงถึง 10% หรือมากกว่านั้น แต่ก็มีสิทธิ์ที่จะติดลบมากกว่า 10% ได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การลงทุนในแต่ละปี (ข้อมูลจาก wealthmagik.com)          

          ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุนรวมสามารถเปิดบัญชีเพื่อซื้อกองทุนโดยใช้เงินทุนขั้นต่ำเพียง 500 บาทเท่านั้น (สำหรับบางธนาคาร) ขณะที่บางธนาคารอาจกำหนดวงเงินขั้นต่ำในการลงทุนที่ 1,000 บาท 2,000 บาท หรือ 5,000 บาท ซึ่งนับว่าเป็นการลงทุนที่ใช้เงินทุนน้อยแต่ได้ผลตอบแทนอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจทีเดียว

          ก่อนการลงทุนทุกครั้ง ผู้ลงทุนควรศึกษานโยบายของกองทุนจากหนังสือชี้ชวนเสนอขายเสียก่อน เพื่อพิจารณาว่ากองทุนไหนเหมาะสมกับตัวเรามากที่สุดและเรารับความเสี่ยงได้ในระดับไหน ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุนรวมสามารถศึกษารายละเอียดประเภทของกองทุนและกฎเกณฑ์วิธีการต่าง ๆ ของกองทุนรวมได้ที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)

          - เริ่มต้นลงทุนกองทุนรวมอย่างมั่นใจ มือใหม่ก็ทำได้
          - กองทุนรวม กับข้อมูลเบื้องต้นชวนรู้สำหรับผู้ที่สนใจลงทุน


ลงทุนในหุ้น

          หุ้นเป็นหลักทรัพย์ประเภทหนึ่งที่เมื่อเราลงทุนในหุ้นของบริษัทใด เราก็จะมีสถานะเป็น "เจ้าของ" ของบริษัทนั้น ซึ่งมีทั้งโอกาสได้รับกำไรหากกิจการของบริษัทดำเนินไปได้ดี และก็มีโอกาสขาดทุนได้เช่นกันหากการดำเนินกิจการมีปัญหา ถึงแม้ว่าการลงทุนในหุ้นจะเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ เช่น พันธบัตร หุ้นกู้ แต่การลงทุนในหุ้นก็เป็นทางเลือกที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากและกองทุนรวม และต้องแลกกับโอกาสติดลบที่สูงเช่นเดียวกัน

          อย่างไรก็ดี หุ้นบางตัวอาจให้ปันผลแก่ผู้ถือหุ้นด้วย ดังนั้น หากใครอยากลงทุนในหุ้นก็จะต้องหมั่นติดตามข่าวสารที่เกี่่ยวกับหุ้น สถานการณ์เศรษฐกิจโลก ความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นและวิธีการรับมือกับความเสี่ยง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย

          สำหรับผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นมีหลายรูปแบบด้วยกัน เช่น กำไรจากการซื้อ-ขายหลักทรัพย์ (capital gain) เงินปันผล (dividend) สิทธิในการจองซื้อหุ้นออกใหม่ (rights offering) โดยหลักการแล้วนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นตราบใดที่บริษัทมีผลประกอบการที่ดี และหุ้นมีราคาเพิ่มขึ้น
 
          คำแนะนำก็คือ การลงทุนในหุ้นควรเป็นเงินเย็นจะดีกว่า กล่าวคือ ไม่ควรกู้เงินมาลงทุนในหุ้น เพราะอาจไม่คุ้ม เนื่องจากการลงทุนประเภทนี้มีความเสี่ยงสูง แต่ใช่ว่ามนุษย์เงินเดือนจะไม่สามารถเล่นหุ้นได้ เพราะเพียงแค่คุณมีวินัยการคลังก็สามารถเล่นหุ้นได้ โดยใช้วิธี DCA หรือการซื้อหุ้นเฉลี่ยเท่ากันทุก ๆ เดือน

          เช่น อาจจะตั้งเป้าหมายในใจว่าจะต้องออมหุ้นให้ได้เดือนละ 1,000 บาท ลักษณะจะคล้าย ๆ การฝากเงินกับธนาคาร แต่การออมหุ้นจะได้ผลตอบแทนดีกว่า
หรือในหุ้นบางตัวอาจมีปันผลด้วย เพียงเราหมั่นศึกษาพื้นฐานของหุ้นแต่ละตัวว่ามีพื้นฐานบริษัทดีไหม แนวโน้มราคาหุ้น อัตราดอกเบี้ย เพียงเท่านี้ก็ทำให้เงินเรางอกเงยมากยิ่งขึ้น หรือถ้าช่วงไหนราคาหุ้นตกก็อย่าเพิ่งเครียดหรือกังวลไป เพราะเราเน้นถือระยะยาว ไม่ได้ประเดี๋ยวประด๋าวก็ขาย ดังนั้นจึงอยากให้คิดในแง่บวกว่า นี่คือโอกาสทองที่จะทำให้เราได้ซื้อหุ้นตัวนั้นเพิ่มในราคาที่ถูกลง ซึ่งเราก็จะได้หุ้นในจำนวนที่มากขึ้น             


          หากสนใจลงทุนในหุ้น มาลองศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมกันก่อน

          - วิธีเล่นหุ้นด้วยตัวเอง มือใหม่หัดเล่นหุ้นต้องรู้เลย
 

ลงทุนทองคำ

        การลงทุนในทองคำมีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร โดยผู้ลงทุนจะไปซื้อทองคำในรูปของทองคำรูปพรรณ หรือทองคำแท่ง มาเก็บไว้เพื่อให้ได้ผลตอบแทนเป็นส่วนต่างของราคาทอง แต่การลงทุนในทองคำมีความเสี่ยงสูงมาก เพราะราคาทองคำผันผวนอยู่แทบจะตลอดเวลา ดังนั้นใครที่คิดจะลงทุนในทองคำควรจะเก็บไว้เป็นเงินเย็น คือซื้อเก็บไว้ไม่ต่ำกว่า 5 ปี เพราะถ้าจะเน้นขายเพื่อทำกำไรระยะสั้นก็ไม่แนะนำครับ เนื่องจากจะได้ผลตอบแทนน้อย หรืออาจจะเลือกลงทุนแบบโปรแกรมออมทองที่ใช้เงินลงทุนไม่มาก แต่ได้ทองคำสะสมไปเรื่อย ๆ ก็ได้เช่นกัน
   




ลงทุนทำธุรกิจส่วนตัว

          อย่าเพิ่งคิดว่าเงิน 50,000 บาท น้อยเกินไปที่จะทำธุรกิจส่วนตัว เพราะเราสามารถเริ่มจากการเปิดธุรกิจเล็ก ๆ เป็นอาชีพเสริมก่อนก็ได้ ไว้มีกำไรพอสมควร หรือเก็บเงินได้มากขึ้นแล้ว ค่อยขยับขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้น แล้วจะทำอะไรดี ? ตรงนี้ต้องสำรวจตัวเองว่ามีความสามารถในเรื่องใดเป็นพิเศษ เช่น

          * หากสามารถตัดต่อวิดีโอได้ ก็อาจจะลงทุนซื้อกล้องวิดีโอ เครื่องคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ที่มีสเปกสูงสักหน่อยมารองรับการใช้งาน
          * ถ้าชอบทำอาหาร ก็เข้าครัวทำอาหารขายหน้าบ้านดูเลย
          * ชอบขายของ ก็อาจจะไปรับสินค้าจากตลาดค้าส่งแล้วนำไปวางขายตามตลาดนัด  
          * ชอบงานด้านเกษตร อาจจะเลี้ยงสัตว์ ปลูกต้นไม้ ปลูกผัก ก็ลองศึกษาข้อมูลแล้วลงมือเพาะพันธุ์ดู

          หรือมองหาไอเดียจากบทความต่อไปนี้ก็ได้ครับ

          - ชี้ช่องทำเงิน ปลูกผักขายหารายได้เสริม ทุนน้อยก็สร้างอาชีพได้ 
          - 10 ข้อควรรู้ ! มือใหม่เปิดร้านอาหาร เริ่มต้นยังไงดี
          - ขายของกินอะไรดี 15 ของกินเล่นทำง่าย ๆ น่าขาย ได้กำไรงาม 
          - 12 เมนูอาหารกินเล่นขายดี ขายไว กำไรเน้น ๆ พร้อมแจกวิธีทำ ! 
          - ขายของกินอะไรดี ตอนเช้าต้อง 12 เมนูนี้สิ ขายง่าย ทำไม่ยาก 
          - สลัดโรล ทำขายง่าย กำไรดี เป็นอาชีพหลักก็ได้ อาชีพเสริมก็รวย ! 


ลงทุนในธุรกิจออนไลน์

ขายของออนไลน์

        ในปัจจุบัน ธุรกิจออนไลน์ประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากคนเข้าถึงการใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ง่ายและรวดเร็ว อีกทั้งจำนวนของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตก็สูงกว่าเมื่อ 10-20 ปีก่อนมาก จากการที่เล่นอินเทอร์เน็ตเพื่อความบันเทิงเพียงอย่างเดียว ยุคสมัยเปลี่ยน พฤติกรรมการเล่นอินเทอร์เน็ตของคนเราก็เปลี่ยน จากแค่เข้าเว็บไซต์ต่าง ๆ ก็กลายเป็นเพื่อติดตามข้อมูลมาเป็นการทำธุรกิจเชิงพาณิชย์ผ่านโลกออนไลน์กันมากขึ้น ไม่ว่าจะใน Facebook, Twitter, Instagram รวมทั้งแพลตฟอร์มขายสินค้าอย่าง Shopee, Lazada, Alibaba, Amazon, Ebay และเว็บไซต์อื่น ๆ ก็ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด ดังนั้นการลงทุนทำธุรกิจออนไลน์จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะใช้ต้นทุนในการเริ่มต้นธุรกิจไม่สูงนัก

        การลงทุนในธุรกิจออนไลน์ก็เหมือนการทำธุรกิจในโลกแห่งความเป็นจริง ได้กำไรจริง ขาดทุนจริง ล้มจริง เจ็บจริง และเจ๊งได้ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำธุรกิจออนไลน์แล้วประสบความสำเร็จ ผู้ที่สนใจจะลงทุนในธุรกิจประเภทนี้มีข้อได้เปรียบก็คือ ไม่ต้องมีหน้าร้าน ไม่ต้องไปจ้างพรีเซ็นเตอร์ ไม่ต้องไปจ้างเอเจนซี่โฆษณา ทั้งหมดที่กล่าวมาเราสามารถทำเองได้เลย เพียงแค่มีสินค้า มีกลยุทธ์การตลาดที่ดี และมีอินเทอร์เน็ต

          ปัจจุบันร้านค้าออนไลน์มีเยอะมาก ย้ำว่า มาก ! คนที่จะอยู่ยั้งยืนยงในสมรภูมิแห่งนี้วัดกันที่ใครทำการตลาดได้ดีกว่ากันและทำให้คนรู้จักได้มากกว่ากัน ซึ่งต้องทำให้ลูกค้านึกถึงเราเสมอเมื่อนึกถึงสินค้าชนิดนั้น ๆ 

       
         - 14 เส้นทางสู่การมีรายได้จาก YouTube ทำเงินจากโลกออนไลน์ 
         - 3 คำถามฮิต เมื่อคิดเปิดร้านค้าขายของออนไลน์ 
         - รวมสุดยอดออนไลน์จ๊อบที่ไม่ต้องมีทุน ไม่ต้องใช้แรง แถมง่ายด้วยนะ


ลงทุนซื้อแฟรนไชส์

          สำหรับคนที่ยังไม่มีไอเดีย ไม่มีประสบการณ์ ง่ายสุดเลยก็คือซื้อแฟรนไชส์ที่เขาวางระบบและมีแผนบริหารจัดการมาให้หมดแล้ว แค่เราจ่ายเงินซื้อลิขสิทธิ์มาก็เปิดร้านได้เลย ซึ่งในงบประมาณ 50,000 บาท มีตัวเลือกแฟรนไชส์อยู่เยอะทีเดียว ถ้าเป็นที่ต้องการของตลาดหน่อยก็เห็นจะเป็นแฟรนไชส์อาหาร ทั้งคาว หวาน ของกินเล่น เครื่องดื่ม ชา กาแฟต่าง ๆ หรือจะเป็นบริการส่งพัสดุ ใน พ.ศ. นี้ก็น่าสนใจ แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ต้องมีทำเลที่ดี

         - มือใหม่อยากทำแฟรนไชส์ เริ่มแบบไหนดีถึงจะรุ่ง 
         - ชี้เป้าแฟรนไชส์อาหาร 2564 ขายอะไรดี ปี 2021 คืนทุนไว กำไรงาม
         - แนะนำ 8 แฟรนไชส์กาแฟ ลงทุนงบหลักพัน ถึงมีเงินน้อยก็เปิดร้านได้
         - ชี้ช่อง 11 แฟรนไชส์ไอศกรีมขายดี งบเบา ๆ ไม่เกิน 5,000 บาท 
         - รวม 13 แฟรนไชส์อาหารญี่ปุ่น เมนูหลากหลาย ลงทุนได้ตั้งแต่หลักพันยันหลักหมื่น
         - รวม 8 แฟรนไชส์ชานมไข่มุก ลงทุนง่าย ราคาประหยัด 
         - 12 แฟรนไชส์ขนม งบหลักพัน ถึงมีเงินน้อยก็ลงทุนได้ 


        เป็นยังไงกันบ้างครับกับหลากหลายวิธีการในการทำให้เงิน 50,000 ในกระเป๋าสามารถงอกเงยกลายเป็นเงินแสนเงินล้านได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องย้ำก็คือ ก่อนจะลงทุนอะไรต้องศึกษาข้อมูลให้ดีเสียก่อน เพราะทุกการลงทุนมีความเสี่ยง หรือถ้ายังไม่แน่ใจจริง ๆ อาจจะเก็บเงินให้เป็นกอบเป็นกำมากกว่านี้ก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะใช้เงินก้อนนี้ไปในทิศทางไหนดีครับ


* หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 22 มีนาคม 2564

ขอบคุณข้อมูลจาก

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
มีเงิน 50,000 ลงทุนอะไรดี ให้เป็นเศรษฐีในวันข้างหน้า อัปเดตล่าสุด 23 มีนาคม 2564 เวลา 16:14:03 487,858 อ่าน
TOP
x close