วิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2568 เช็กง่าย ๆ เราต้องเสียภาษีเท่าไหร่ หรือได้เงินคืนภาษี

          วิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2568 ถ้าอยากรู้ว่าต้องจ่ายภาษีเท่าไหร่ มาคำนวณภาษีให้ชัดเจนกัน จะได้หาตัวช่วยลดหย่อนภาษี 2568 ได้ทันเวลาก่อนยื่นภาษี 2569
วิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2568

          ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นสิ่งที่ผู้มีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนดต้องยื่นต่อสรรพากรทุกปี แต่หากวางแผนล่วงหน้าโดยคำนวณภาษีไว้ก่อนสิ้นปี เราจะมองเห็นยอดภาษีที่ต้องจ่ายในเบื้องต้น ทำให้เตรียมใช้สิทธิลดหย่อนภาษี 2568 ได้อย่างคุ้มค่าก่อนยื่นภาษีจริงในช่วงต้นปี 2569 วันนี้เราจึงรวบรวมวิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2568 มาให้ทำตามได้ง่าย ๆ พร้อมความรู้จัดเต็มเกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 
คืออะไร มีกี่ประเภท

          ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ ภาษีที่รัฐจัดเก็บจากรายได้ของบุคคลธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นพนักงานประจำ ฟรีแลนซ์ เจ้าของกิจการ พ่อค้า แม่ค้า หรือผู้ที่มีรายได้จากการลงทุนบางประเภท โดยพิจารณาจากรายได้สุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน แล้วนำไปคำนวณตามอัตราภาษีแบบขั้นบันได

          ทั้งนี้ ภาษีเงินได้ (ภ.ง.ด.) สำหรับบุคคลธรรมดา มี 5 ประเภท คือ

  • ภ.ง.ด. 90 คือ แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สําหรับผู้มีเงินได้กรณีทั่วไป (ได้รับเงินเดือนจากการทำงานและมีรายได้อื่น ๆ ด้วย)

  • ภ.ง.ด. 91 คือ แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สําหรับผู้มีเงินได้จากการจ้างแรงงานตามมาตรา 40(1) ประเภทเดียว

  • ภ.ง.ด. 93 คือ แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับใช้ยื่นก่อนถึงกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษี

  • ภ.ง.ด. 94 คือ แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี สำหรับผู้มีเงินได้ตามมาตรา 40 (5) (6) (7) (8) แห่งประมวลรัษฎากร

  • ภ.ง.ด. 95 คือ แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับผู้ได้รับสิทธิลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

เงินได้ประเภทไหนต้องเสียภาษีบ้าง

เงินได้ที่ต้องเสียภาษี

          กฎหมายได้แบ่งลักษณะเงินได้พึงประเมินออกเป็น 8 ประเภท เพื่อความเหมาะสมในการคำนวณภาษี ดังนี้

  • เงินได้ประเภทที่ 1 มาตรา 40 (1) คือ เงินที่ได้จากการจ้างแรงงาน เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส บำเหน็จ บำนาญ หรือเงินค่าเช่าบ้านที่ได้รับจากนายจ้าง สามารถหักค่าใช้จ่าย 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท

  • เงินได้ประเภทที่ 2 มาตรา 40 (2) คือ เงินที่ได้จากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ หรือจากการรับทำงานให้ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า ส่วนลด เบี้ยประชุม บำเหน็จ เงินโบนัส รวมถึงค่าตอบแทนต่าง ๆ ที่ไม่ได้ให้ในฐานะเจ้านายกับลูกน้อง สามารถหักค่าใช้จ่าย 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท (กรณีมีรายได้ประเภทที่ 1 และ 2 รวมกัน จะหักรวมกันได้ไม่เกิน 100,000 บาท)  

  • เงินได้ประเภทที่ 3 มาตรา 40 (3) คือ ค่าลิขสิทธิ์ต่าง ๆ ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ หรือสิทธิอย่างอื่น เงินปี หรือเงินได้ที่มีลักษณะเป็นเงินรายปีอันได้มาจากพินัยกรรม นิติกรรมอย่างอื่น หรือคำพิพากษาของศาล สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท หรือตามที่จ่ายจริง

  • เงินได้ประเภทที่ 4 มาตรา 40 (4) คือ เงินได้ที่ได้รับมาจากดอกเบี้ย (เช่น ดอกเบี้ยธนาคาร ดอกเบี้ยหุ้นกู้ ดอกเบี้ยพันธบัตร) เงินปันผล เงินส่วนแบ่งกำไร (เช่น เงินปันผลหุ้น เงินปันผลกองทุนรวม กำไรจากการซื้อ-ขายคริปโทเคอร์เรนซี กำไรจากการขายกองทุนรวม LTF / RMF / SSF) เงินลดทุน เงินเพิ่มทุน ผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนหุ้น ฯลฯ อย่างไรก็ตาม เงินได้ประเภทนี้ไม่สามารถหักค่าใช้จ่ายใด ๆ ได้

  • เงินได้ประเภทที่ 5 มาตรา 40 (5) คือ เงินหรือผลประโยชน์อื่นที่ได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน (เช่น ให้เช่าบ้าน เช่าที่ดิน เช่ายานพาหนะ) รวมทั้งเงินที่ได้จากการผิดสัญญาเช่าซื้อทรัพย์สิน หรือการผิดสัญญาซื้อ-ขายเงินผ่อน สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 10-30% (ขึ้นอยู่กับประเภททรัพย์สิน) หรือหักตามจริง 

  • เงินได้ประเภทที่ 6 มาตรา 40 (6) คือ เงินได้จากการประกอบวิชาชีพอิสระ 6 อาชีพ ได้แก่ วิชาชีพกฎหมาย การประกอบโรคศิลปะ (แพทย์) วิศวกรรม สถาปัตยกรรม บัญชี ประณีตศิลปกรรม หรือวิชาชีพอื่นซึ่งมีพระราชกฤษฎีกากำหนดไว้ หักค่าใช้จ่ายได้ 30-60% (ขึ้นอยู่กับวิชาชีพ) หรือหักตามจริง

  • เงินได้ประเภทที่ 7 มาตรา 40 (7) คือ เงินที่ได้จากการรับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องลงทุนจัดหาสัมภาระในส่วนสำคัญจากการใช้เครื่องมือ เช่น การรับเหมาก่อสร้าง เป็นการลงทุนที่ต้องรับเหมาทั้งค่าแรงและค่าของ สามารถนำไปหักค่าใช้จ่ายได้ 60% ของเงินได้ หรือหักตามค่าใช้จ่ายจริง 

  • เงินได้ประเภทที่ 8 มาตรา 40 (8) คือ เงินได้จากการทำธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง การขายอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงเงินได้อื่น ๆ ที่ไม่ใช่เงินได้ประเภทที่ 1 ถึงประเภทที่ 7 สามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 40-60% ของเงินได้ หรือหักตามจริง
     

เงินได้พึงประเมิน คืออะไร แต่ละประเภทหักค่าใช้จ่ายได้เท่าไหร่

ใครมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้
บุคคลธรรมดา

          คนที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็คือ ผู้ที่มีเงินได้เกิดขึ้นระหว่างปีที่ผ่านมา โดยมีสถานะอย่างหนึ่งอย่างใด ดังนี้

  1. บุคคลธรรมดา

  2. ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล

  3. ผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี

  4. กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง

  5. วิสาหกิจชุมชน ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน เฉพาะที่เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล

รายได้-เงินเดือนเท่าไหร่
ถึงต้องยื่นภาษี

          บางคนอาจเข้าใจว่าหากมีรายได้น้อย หรือมีเงินได้ต่อปีไม่ถึง 300,000 บาท ก็ไม่ต้องยื่นภาษี เพราะคิดว่าไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษีอยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริง กฎหมายกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำสำหรับบุคคลธรรมดาที่ต้องยื่นภาษีไว้ แม้จะไม่ต้องเสียภาษีก็ตาม โดยมีเงื่อนไขดังนี้
เงินเดือนเท่าไหร่ต้องยื่นภาษี

          จากตารางนี้หมายความว่า 

  • หากมีรายได้เฉพาะเงินเดือนและมีสถานะโสด จะต้องยื่นภาษีเมื่อมีรายได้ตั้งแต่ 120,000 บาทต่อปีขึ้นไป แต่หากมีสถานะสมรส จะต้องยื่นภาษีเมื่อมีรายได้ตั้งแต่ 220,000 บาทต่อปี

  • ในกรณีที่มีรายได้ทางอื่นนอกจากเงินเดือนด้วย เช่น ได้รับเงินปันผล ดอกเบี้ย ค่าลิขสิทธิ์ ค่าเช่าบ้าน ฯลฯ คนโสดจะต้องยื่นภาษีเมื่อมีเงินได้ตั้งแต่ 60,000 บาท/ปี ส่วนคนที่สมรสแล้วจะต้องยื่นภาษีเมื่อมีรายได้ 120,000 บาท/ปี
     

เงินเดือนเท่าไหร่ถึงต้องเสียภาษี เช็กเลย...ถ้ามีรายได้เท่านี้ ต้องเสียภาษีกี่บาท

ยื่นภาษี ไม่เท่ากับ เสียภาษี

          หลายคนสับสนระหว่างคำว่า "ยื่นภาษี" กับ "เสียภาษี" แต่จริง ๆ แล้วเป็นคนละเรื่องกัน

          การยื่นภาษี คือการแจ้งรายได้ ค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อนให้สรรพากรตรวจสอบ ถึงแม้บางคนจะมีรายได้น้อยจนไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี แต่หากเข้าเงื่อนไขขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด ก็ยังต้องยื่นแบบแสดงรายได้ให้สรรพากรทราบอยู่ดี

          โดยผลลัพธ์หลังยื่นภาษีอาจเกิดขึ้นได้ 3 แบบ คือ

     1. ยื่นภาษีแต่ไม่ต้องเสียภาษี : เช่น ผู้ที่มีรายได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท หรือมีรายได้สูงกว่านี้แต่มีรายการลดหย่อนจำนวนมากจนทำให้ภาษีสุทธิเป็นศูนย์

     2. ยื่นภาษีแล้วได้คืนภาษี : กรณีนี้มักเกิดกับคนที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้หลายรายการ และเมื่อรวมค่าลดหย่อนต่าง ๆ แล้ว พบว่าภาษีที่ควรเสียจริงต่ำกว่าส่วนที่ถูกหักไปก่อนหน้า จึงสามารถขอคืนได้

     3. ยื่นภาษีแล้วต้องชำระเพิ่ม : คือผู้ที่มีรายได้สุทธิสูง และมีค่าลดหย่อนไม่เพียงพอ ทำให้ยังมีภาษีต้องชำระเพิ่มเติมหลังคำนวณ

อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2568

          หลังจากทำความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแล้ว มาดูกันต่อว่า อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2568 เป็นอย่างไร
อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2568

          นั่นหมายความว่า หากใครมีเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท ก็จะได้รับการยกเว้น คือ ไม่ต้องเสียภาษี แต่ถ้ามีรายได้มากกว่านั้น จะต้องเสียภาษีในอัตราขั้นบันได ตั้งแต่ 5% ไปจนถึงอัตราภาษีสูงสุดที่ 35% ซึ่งเราจะมาคำนวณให้เห็นภาพชัด ๆ กัน

วิธีคำนวณ
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2568

          ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จำเป็นต้องคำนวณหา “เงินได้สุทธิ” ซึ่งมีสุตรดังนี้

เงินได้สุทธิ = รายได้ทั้งหมดในปีนั้น - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อนภาษี

ขั้นตอนที่ 1 : รวมรายได้ทั้งหมดในปีนั้น

          รวบรวมรายได้จากทุกช่องทางตลอดทั้งปี โดยแยกประเภทของเงินได้ให้ชัดเจน เนื่องจากเงินได้แต่ละประเภทมีอัตราการหักค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน

ขั้นตอนที่ 2 : หักค่าใช้จ่ายตามประเภทเงินได้

          หลังจากแยกประเภทเงินได้แล้ว ให้นำรายได้แต่ละประเภทไปหักค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายกำหนด โดยค่าใช้จ่ายในแต่ละประเภทมีทั้ง

  • แบบเหมา เช่น เงินเดือน 40 (1) หรือเงินจากตำแหน่งหน้าที่ 40 (2) หักได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท

  • แบบตามจริง สำหรับบางอาชีพ เช่น แพทย์ ทนายความ หรือผู้รับเหมาก่อสร้าง 

          เมื่อหักค่าใช้จ่ายเรียบร้อยแล้ว จะได้ “เงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย” ของแต่ละประเภท

ขั้นตอนที่ 3 : หักค่าลดหย่อนต่าง ๆ

          นำยอดเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด มาหักด้วยค่าลดหย่อนภาษีที่เรามี เช่น 

  • ค่าลดหย่อนส่วนบุคคล 60,000 บาท (หักอัตโนมัติทุกคน)

  • ค่าลดหย่อนคู่สมรสที่ไม่มีรายได้ / บุตร / บิดา-มารดา

  • ค่าลดหย่อนเงินสมทบประกันสังคม / กบข. / กอช.

  • ค่าลดหย่อนกลุ่มประกันชีวิต ประกันสุขภาพ 

  • ค่าลดหย่อนจากการซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี เช่น กองทุนรวม SSF, Thai ESG, RMF

  • ค่าลดหย่อนจากมาตรการ Easy E Receipt 2.0 (ช้อปดีมีคืน 2568) / เที่ยวดีมีคืน / ซื้อผลงานศิลปะ 

  • ค่าลดหย่อนจากการจ่ายดอกเบี้ยบ้าน / ค่าสร้างบ้านใหม่ / ติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคา

  • ค่าลดหย่อนจากการบริจาคเพื่อสาธารณกุศล
     

ตรวจสอบค่าลดหย่อนภาษี 2568 และเงื่อนไขทั้งหมดได้ที่นี่

ขั้นตอนที่ 4 : คำนวณภาษีตามขั้นบันได

          เมื่อหักค่าลดหย่อนทั้งหมดแล้ว จะได้ "เงินได้สุทธิ" ซึ่งจะถูกนำไปคำนวณภาษีตามอัตราขั้นบันได

ตัวอย่างการคำนวณ
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2568

วิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2568

          ชมพู่ เป็นมนุษย์เงินเดือน มีรายได้จากเงินเดือนตลอดทั้งปีรวม 600,000 บาท มีเบี้ยเลี้ยงและโบนัส รวม 50,000 บาท ได้รับเงินปันผลจากหุ้นและกองทุนรวม 30,000 บาท

          ค่าลดหย่อนมีดังนี้ : ประกันสังคม 9,000 บาท / เบี้ยประกันชีวิต 30,000 บาท / เบี้ยประกันสุขภาพ 20,000 บาท / ซื้อกองทุนรวม RMF 10,000 บาท / ใช้สิทธิ Easy e-Reciept 20,000 บาท / บริจาคเงินให้โรงพยาบาล 3,000 บาท และมีบุตร 1 คน อายุ 5 ขวบ

          คำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้ดังนี้

1. รวมรายได้ทั้งหมด 

          เงินเดือน 600,000 + เบี้ยเลี้ยง-โบนัส 50,000 + เงินปันผล 30,000 = 680,000 บาท

2. หักค่าใช้จ่ายตามประเภทเงินได้

  • เงินได้ 40 (1) จากเงินเดือน สามารถหักค่าใช้จ่าย 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท 

  • เงินได้ 40 (4) จากเงินปันผล ไม่สามารถหักค่าใช้จ่ายได้

          ดังนั้นจึงเหลือ 680,000-100,000 = 580,000 บาท

3. หักค่าลดหย่อนที่มี

          นำเงินได้จากข้อ 2 (580,000 บาท) มาหักค่าลดหย่อนทั้งหมด 

  • หักค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000

  • ประกันสังคม 9,000 บาท

  • เบี้ยประกันชีวิต 30,000 บาท

  • เบี้ยประกันสุขภาพ 20,000 บาท

  • ซื้อกองทุนรวม RMF 10,000 บาท

  • ใช้สิทธิ Easy e-Reciept 20,000 บาท

  • บริจาคเงินให้โรงพยาบาล 3,000 บาท (ลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า จึงหักลดได้ 6,000 บาท)

  • ค่าลดหย่อนบุตร 30,000 บาท

          คำนวณเงินได้สุทธิได้ดังนี้ 580,000-60,000- 9,000-30,000-20,000-10,000-20,000-6,000-30,000 = 395,000 บาท

4. คำนวณภาษีตามขั้นบันได

          นำตัวเลขเงินได้สุทธิ 395,000 บาท มาคำนวณภาษีตามขั้นบันได โดยฐานภาษีของชมพู่จะอยู่ในขั้นที่ 3 คือ เงินได้สุทธิ 300,001-500,000 บาท เสียภาษี 10%  

อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2568

          เราสามารถคำนวณทีละขั้นได้ดังนี้

  • เงินได้สุทธิ 150,000 บาทแรก ได้รับการยกเว้นภาษี จึงคงเหลือส่วนที่ต้องเสียภาษีอยู่ที่ (395,000-150,000) = 245,000 บาท

  • เงินได้สุทธิอีก 150,000 บาทต่อมา เสียภาษี 5% เท่ากับ 7,500 บาท และยังเหลือเงินที่ต้องนำไปคำนวณภาษีเท่ากับ (245,000-150,000) = 95,000 บาท

  • เงินได้สุทธิส่วนที่เหลือ คือ 95,000 บาท เสียภาษี 10% เท่ากับ 9,500 บาท

  • รวมแล้วชมพู่ต้องเสียภาษี 7,500+9,500 = 17,000 บาท

เลือกหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 
หรือหักตามจริงดีกว่า

          รายได้บางประเภทสามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา หรือหักค่าใช้จ่ายตามจริงได้ ซึ่งเราควรพิจารณาตามลักษณะรายได้และต้นทุนของตัวเอง ดังนี้

หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา

          คือการหักค่าใช้จ่ายตามอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น  แพทย์หักค่าใช้จ่าย 60% ของเงินได้ หรือเงินจากการค้าขาย/ธุรกิจบางประเภท หักค่าใช้จ่ายได้ 40-60% ของเงินได้

ตัวอย่าง : มีรายได้ทั้งปีรวม 1 ล้านบาท หากกฎหมายให้หักได้ 60% จะหักได้ 600,000 บาททันที

  • ข้อดี : สะดวก ไม่ต้องทำบัญชี ไม่ต้องเก็บใบเสร็จ สามารถหักตามที่กฎหมายกำหนดได้เลย 

  • ข้อเสีย : รายได้บางประเภทมีเพดานจำกัด เช่น หักได้ 50% แต่ต้องไม่เกิน 100,000 บาท ดังนั้นคนที่มีรายได้สูง ๆ อาจจะรู้สึกว่าหักได้น้อย หรือสำหรับคนทำธุรกิจ ถ้ามีต้นทุนสูงจริง 70-80% แต่หักค่าใช้จ่ายตามกฎหมายได้แค่ 60% ก็จะรู้สึกไม่คุ้มค่า และทำให้เสียภาษีสูงขึ้น

หักค่าใช้จ่ายตามจริง

          คือการหักค่าใช้จ่ายตามต้นทุนจริงที่จ่ายไป แต่ต้องมีหลักฐานพิสูจน์ เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี ใบเสร็จซื้ออุปกรณ์ วัตถุดิบ ฯลฯ

  • ข้อดี : หักได้ตามต้นทุนที่แท้จริง ไม่ได้มีเพดานจำกัดเหมือนกับการหักแบบเหมา เช่น ถ้ามีค่าใช้จ่ายจริง 800,000 บาท ก็สามารถหักได้จริง 800,000 บาท และช่วยให้ประหยัดภาษีได้มากกว่า เหมาะกับผู้มีต้นทุนสูง เช่น ค่าอุปกรณ์ ค่าแรง ค่าวัตถุดิบ

  • ข้อเสีย : ต้องเก็บเอกสารทุกแผ่น เพื่อรวมยอดและให้สรรพากรตรวจสอบอย่างละเอียด หากเอกสารไม่ครบ สรรพากรอาจไม่ยอมรับเป็นค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ บางรายการแม้จะจ่ายจริง แต่ไม่เข้าเกณฑ์ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการหารายได้ อาจหักไม่ได้

          ดังนั้น จะเลือกหักค่าใช้จ่ายแบบไหน ให้ทดลองคำนวณดูทั้ง 2 แบบแล้วเปรียบเทียบว่าแบบไหนช่วยประหยัดภาษีได้มากกว่ากัน แต่หากเลือกหักตามจริงต้องระวังเรื่องเอกสารและเก็บหลักฐานครบถ้วน เพื่อป้องกันปัญหาเวลาตรวจสอบ

โปรแกรมคำนวณภาษีออนไลน์

คำนวณภาษีออนไลน์ 2568

          สำหรับใครที่กังวลว่าจะคำนวณภาษีผิดพลาด ปัจจุบันมีเว็บไซต์หลายแห่งที่ให้บริการโปรแกรมคำนวณภาษีออนไลน์ สามารถเลือกใช้งานได้สะดวก เช่น

ลดหย่อนภาษี 2568 มีอะไรบ้าง

          หลังจากคำนวณภาษีเงินได้ฯ ของตัวเองเรียบร้อยแล้ว หากพบว่ายังมีภาษีต้องจ่ายและอยากประหยัดภาษีเพิ่ม สามารถเลือกใช้สิทธิลดหย่อนเพิ่มเติมได้ โดยศึกษาตัวช่วยลดหย่อนภาษีต่าง ๆ ได้ที่นี่เลย
 

สรุปครบ ! สิทธิลดหย่อนภาษี 2568 สำหรับมนุษย์เงินเดือน รู้ไว้ก่อนยื่นภาษี

ยื่นภาษี 2568 ได้ถึงวันที่เท่าไร

ยื่นภาษีแบบกระดาษ

          สามารถยื่นภาษีแบบกระดาษได้ที่สำนักงานสรรพากร ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 มีนาคม 2569

ยื่นภาษีออนไลน์ 2568

          กรณียื่นภาษีออนไลน์ 2568 ผ่านเว็บไซต์ https://efiling.rd.go.th/rd-cms/  จะขยายเวลาออกไปอีก 8 วัน ดังนั้นเราสามารถยื่นภาษีออนไลน์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 8 เมษายน 2569
          หากใครอยากรู้ว่าต้องจ่ายภาษีเท่าไหร่ หรือมีโอกาสขอคืนภาษีได้หรือไม่ แนะนำให้ลองคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเบื้องต้นดูก่อน จะช่วยให้วางแผนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

บทความที่เกี่ยวข้องกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

ขอบคุณข้อมูลจาก : กรมสรรพากร (1)(2)
เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
วิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2568 เช็กง่าย ๆ เราต้องเสียภาษีเท่าไหร่ หรือได้เงินคืนภาษี อัปเดตล่าสุด 20 พฤศจิกายน 2568 เวลา 13:39:56
TOP
x close