x close

เงินได้พึงประเมิน คืออะไร ต้องมีรายได้พึงประเมินเท่าไรถึงเข้าเกณฑ์ได้รับดิจิทัลวอลเล็ต

           เงินได้พึงประเมิน คืออะไร มีกี่ประเภท มาไขข้อข้องใจ พร้อมหาคำตอบว่าเราจะได้รับเงินดิจิทัลวอลเล็ตหรือไม่
เงินได้พึงประเมิน คืออะไร

          เป็นที่ชัดเจนแล้วสำหรับโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ที่รัฐบาลแถลงว่าจะให้สิทธิกับคนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป, มีเงินฝากรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท และมีเงินได้พึงประเมินไม่เกิน 840,000 บาทต่อปีภาษี ประเด็นนี้ทำให้หลายคนเกิดความสงสัยว่า เงินได้พึงประเมิน คืออะไร หมายถึงต้องมีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 70,000 บาท ตามเงื่อนไขเดิมหรือไม่ เช่นนั้นแล้วก็มาทำความเข้าใจกับคำว่า เงินได้พึงประเมิน หรือที่บางคนเรียกว่า รายได้พึงประเมิน กันอีกสักครั้ง

เงินได้พึงประเมิน คืออะไร

          เงินได้พึงประเมิน หรือ รายได้พึงประเมิน คือ เงินได้ที่เข้าข่ายต้องนำมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ในที่นี้นับรวมทั้งเงิน ทรัพย์สิน ผลประโยชน์อื่นใดที่คำนวณได้เป็นตัวเงิน รวมทั้งเครดิตภาษีตามที่กฎหมายกำหนด 

          อธิบายง่าย ๆ ก็คือ เงินและผลประโยชน์ที่เราได้รับมาล้วนเป็นเงินได้พึงประเมินทั้งสิ้น เช่น เงินเดือน เงินโบนัส เงินที่ได้มาจากการประกอบอาชีพ เงินที่ได้จากการขายของ ดอกเบี้ยเงินฝาก ดอกเบี้ยหุ้นกู้ เครดิตภาษีเงินปันผล ฯลฯ ยกเว้นบางรายการที่มีกฎหมายเขียนระบุว่าเป็น "เงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษี" เช่น ดอกเบี้ยและเงินรางวัลจากสลากออมทรัพย์ ตรงนี้จะไม่นับว่าเป็นเงินได้พึงประเมินและไม่ต้องเสียภาษี

เงินได้พึงประเมิน มีกี่ประเภท

เงินได้พึงประเมิน 8 ประเภท

          เงินได้พึงประเมิน แบ่งออกเป็น 8 ประเภท ซึ่งแหล่งที่มาของเงินและการหักค่าใช้จ่ายในการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแตกต่างกัน ดังนี้

เงินได้ประเภทที่ 1

          คือเงินที่ได้จากการจ้างแรงงาน เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส บำเหน็จ บำนาญ หรือเงินค่าที่พักที่ได้รับจากนายจ้าง เป็นต้น สามารถหักค่าใช้จ่าย 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท

เงินได้ประเภทที่ 2

          คือเงินที่ได้จากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ หรือจากการรับทำงานให้ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า ส่วนลด เบี้ยประชุม บำเหน็จ เงินโบนัส รวมถึงค่าตอบแทนต่าง ๆ ที่ไม่ได้ให้ในฐานะเจ้านายกับลูกน้อง เงินได้ประเภทนี้สามารถหักค่าใช้จ่ายได้เหมือนประเภทที่ 1 คือ หักค่าใช้จ่าย 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท 

          อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่มีรายได้ทั้งประเภทที่ 1 และประเภทที่ 2 จะหักค่าใช้จ่ายรวมกันได้ไม่เกิน 50% ของเงินได้ และไม่เกิน 100,000 บาท เท่านั้น

เงินได้ประเภทที่ 3

          คือค่าลิขสิทธิ์ต่าง ๆ ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ หรือสิทธิอย่างอื่น เงินปี หรือเงินได้ที่มีลักษณะเป็นเงินรายปีอันได้มาจากพินัยกรรม นิติกรรมอย่างอื่น หรือคำพิพากษาของศาล สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท หรือตามที่จ่ายจริง

เงินได้ประเภทที่ 4

           คือเงินได้ที่ได้รับมาจากดอกเบี้ย (เช่น ดอกเบี้ยธนาคาร ดอกเบี้ยหุ้นกู้) เงินปันผล เงินส่วนแบ่งกำไร (เช่น เงินปันผลหุ้น เงินปันผลกองทุนรวม กำไรจากการซื้อ-ขายคริปโทเคอร์เรนซี กำไรจากการขายกองทุนรวม LTF / RMF / SSF) เงินลดทุน เงินเพิ่มทุน ผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนหุ้น ฯลฯ โดยเงินได้ประเภทนี้ไม่สามารถหักค่าใช้จ่ายใด ๆ ได้

เงินได้ประเภทที่ 5

          คือเงินหรือผลประโยชน์อื่นที่ได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน (เช่น ให้เช่าบ้าน เช่าที่ดิน เช่ายานพาหนะ) เงินที่ได้จากการผิดสัญญาเช่าซื้อทรัพย์สิน หรือการผิดสัญญาซื้อ-ขายเงินผ่อน สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 10-30% (ขึ้นอยู่กับประเภททรัพย์สิน) หรือหักตามจริง

เงินได้ประเภทที่ 6

          คือเงินได้จากการประกอบวิชาชีพอิสระ 6 อาชีพ ได้แก่ วิชาชีพกฎหมาย การประกอบโรคศิลปะ (แพทย์) วิศวกรรม สถาปัตยกรรม บัญชี ประณีตศิลปกรรม หรือวิชาชีพอื่นซึ่งมีพระราชกฤษฎีกากำหนดไว้ 

          ทั้งนี้ หากเป็นแพทย์ประกอบโรคศิลปะ สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 60% หรือตามจริง ส่วนอาชีพนักกฎหมาย, วิศวกร, สถาปนิก, นักบัญชี และช่างประณีตศิลป์ หักค่าใช้จ่ายได้ 30% หรือหักตามจริง  

เงินได้ประเภทที่ 7

          คือเงินที่ได้จากการรับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องลงทุนจัดหาสัมภาระในส่วนสำคัญจากการใช้เครื่องมือ เช่น การรับเหมาก่อสร้าง เป็นการลงทุนที่ต้องรับเหมาทั้งค่าแรงและค่าของ สามารถนำไปหักค่าใช้จ่ายได้ 60% ของเงินได้ หรือหักตามค่าใช้จ่ายจริง ทั้งนี้ หากเป็นการรับเหมาเฉพาะค่าแรง ไม่ได้ซื้อวัสดุอุปกรณ์ จะถือเป็นการว่าจ้างธรรมดาตามรายได้ประเภทที่ 2

เงินได้ประเภทที่ 8

          คือ เงินได้จากการทำธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง การขายอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงเงินได้อื่น ๆ ที่ไม่ใช่เงินได้ประเภทที่ 1 ถึงประเภทที่ 7 และไม่ได้รับการยกเว้นภาษี อาทิ รายได้ที่ได้รับจากต่างประเทศ เงินที่ได้จากการขายที่ดิน เงินได้จากการแสดง เงินได้จากการขายของ เป็นต้น สามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 40-60% ของเงินได้ หรือหักตามจริง

เงินได้พึงประเมิน กับเงินได้สุทธิ 
เหมือนหรือแตกต่างกัน

เงินได้สุทธิ

          เงินได้พึงประเมิน แตกต่างกับ เงินได้สุทธิ เพราะ เงินได้พึงประเมิน คือเงินที่ยังไม่ได้หักค่าลดหย่อนภาษีใด ๆ จึงเป็นรายได้ที่เราได้รับทั้งหมดทั้งมวลในปีภาษีนั้น ในขณะที่ เงินได้สุทธิ เป็นรายได้ที่หักค่าใช้จ่ายและหักค่าลดหย่อนต่าง ๆ ออกไปแล้ว เพื่อนำไปคำนวณภาษีเงินได้ฯ ในปีนั้น และยื่นภาษีต่อไป

          ตัวอย่างเช่น นาย A มีรายได้ทั้งปีรวม 500,000 บาท ส่วนนี้คือเงินได้พึงประเมิน แต่เมื่อหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนส่วนตัว (160,000 บาท) หักเงินสมทบประกันสังคม (9,000 บาท) หักค่าซื้อประกันชีวิต (10,000 บาท) หักค่าซื้อกองทุนรวม SSF (20,000 บาท) จะเหลือเป็นเงินได้สุทธิ 301,000 บาท โดยเงินจำนวน 301,000 บาทนี้จะต้องนำไปยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อไป

เงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษี มีอะไรบ้าง

           เงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีตามกฎหมาย ไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อยื่นภาษีฯ มีอยู่หลายรายการ ยกตัวอย่างเช่น

  • ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร บัญชีออมทรัพย์ทุกธนาคารที่รวมกันทั้งปีไม่เกิน 20,000 บาท
  • ดอกเบี้ยเงินฝากประเภทออมทรัพย์ที่ได้รับจากสหกรณ์
  • ดอกเบี้ยเงินฝากประจำปลอดภาษี 24 เดือนขึ้นไป ที่มียอดฝากไม่เกินเดือนละ 25,000 บาท และเงินฝากรวมทั้งหมดไม่เกิน 600,000 บาท
  • ดอกเบี้ยและเงินรางวัลที่ได้รับจากการฝากสลากออมทรัพย์สิน ทั้งธนาคารออมสิน, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารอาคารสงเคราะห์ 
  • เงินรางวัลจากการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล
  • เงินที่ได้รับจากการประกันภัยหรือประกันชีวิต หรือการฌาปนกิจสงเคราะห์
  • ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด  
  • เงินที่ได้รับจากกองทุนประกันสังคม เช่น เงินชราภาพ เงินค่าคลอดบุตร เงินช่วยเหลือกรณีว่างงาน
  • เงินที่ได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เมื่อลาออกจากงานเพราะเกษียณอายุ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต
  • เงินที่ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา เช่น เงินที่ได้รับจากมรดก จากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธี เช่น เงินสินสอด อั่งเปา
  • เงินที่ได้จากการขายสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดก หรือสังหาริมทรัพย์ ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร แต่ไม่รวมถึงเรือกำปั่น เรือที่มีระวางตั้งแต่ 6 ตันขึ้นไป เรือกลไฟหรือเรือยนต์ที่มีระวางตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป หรือแพ
  • เงินที่ได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นมรดก หรือได้จากการให้โดยเสน่หาที่ตั้งอยู่นอกเขตกรุงเทพฯ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเมืองพัทยา ยกเว้นภาษีเฉพาะเงินได้จากการขายในส่วนที่ไม่เกิน 200,000 บาทแรก
  • ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าพาหนะที่ลูกจ้างได้รับตามความจำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่นั้น 
  • บำเหน็จดำรงชีพของข้าราชการบำนาญ
  • เบี้ยประชุมกรรมาธิการหรือกรรมการ หรือค่าสอน ค่าสอบ ที่ทางราชการหรือสถานศึกษาของทางราชการจ่ายให้
  • เงินส่วนแบ่งกำไรจากห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลซึ่งต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้ แต่ไม่รวมถึงเงินส่วนแบ่งของกำไรจากกองทุนรวม
  • เงินได้ของผู้มีอายุไม่ต่ำกว่า 65 ปีบริบูรณ์ ในปีภาษีที่ได้รับ และอยู่ในประเทศไทย ได้รับยกเว้นเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 190,000 บาท ในปีภาษีนั้น
          ทั้งนี้ หากอยากทราบว่าตัวเองมีรายได้พึงประเมินเท่าไร ให้นำรายได้ประเภทที่ 1-8 ที่เราได้รับมาทั้งหมดในปีภาษีนั้น ๆ มารวมกัน โดยไม่ต้องรวมกับรายได้ในส่วนที่ได้รับยกเว้นภาษี หรือถ้าใครยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีนี้ไปแล้ว สามารถตรวจสอบรายได้พึงประเมินของตัวเองจากข้อมูลในแบบภาษีได้เช่นกัน

บทความที่เกี่ยวข้องกับเงินได้พึงประเมินและดิจิทัลวอลเล็ต

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เงินได้พึงประเมิน คืออะไร ต้องมีรายได้พึงประเมินเท่าไรถึงเข้าเกณฑ์ได้รับดิจิทัลวอลเล็ต อัปเดตล่าสุด 11 เมษายน 2567 เวลา 17:22:32 8,563 อ่าน
TOP