เงินได้พึงประเมิน คืออะไร
เงินได้พึงประเมิน หรือ รายได้พึงประเมิน คือ เงินได้ที่เข้าข่ายต้องนำมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ในที่นี้นับรวมทั้งเงิน ทรัพย์สิน ผลประโยชน์อื่นใดที่คำนวณได้เป็นตัวเงิน รวมทั้งเครดิตภาษีตามที่กฎหมายกำหนด
อธิบายง่าย ๆ ก็คือ เงินและผลประโยชน์ที่เราได้รับมาล้วนเป็นเงินได้พึงประเมินทั้งสิ้น เช่น เงินเดือน เงินโบนัส เงินที่ได้มาจากการประกอบอาชีพ เงินที่ได้จากการขายของ ดอกเบี้ยเงินฝาก ดอกเบี้ยหุ้นกู้ เครดิตภาษีเงินปันผล ฯลฯ ยกเว้นบางรายการที่มีกฎหมายเขียนระบุว่าเป็น "เงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษี" เช่น ดอกเบี้ยและเงินรางวัลจากสลากออมทรัพย์ ตรงนี้จะไม่นับว่าเป็นเงินได้พึงประเมินและไม่ต้องเสียภาษี
เงินได้พึงประเมิน มีกี่ประเภท
เงินได้ประเภทที่ 1
เงินได้ประเภทที่ 2
คือเงินที่ได้จากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ หรือจากการรับทำงานให้ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า ส่วนลด เบี้ยประชุม บำเหน็จ เงินโบนัส รวมถึงค่าตอบแทนต่าง ๆ ที่ไม่ได้ให้ในฐานะเจ้านายกับลูกน้อง เงินได้ประเภทนี้สามารถหักค่าใช้จ่ายได้เหมือนประเภทที่ 1 คือ หักค่าใช้จ่าย 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่มีรายได้ทั้งประเภทที่ 1 และประเภทที่ 2 จะหักค่าใช้จ่ายรวมกันได้ไม่เกิน 50% ของเงินได้ และไม่เกิน 100,000 บาท เท่านั้น
เงินได้ประเภทที่ 3
เงินได้ประเภทที่ 4
เงินได้ประเภทที่ 5
เงินได้ประเภทที่ 6
คือเงินได้จากการประกอบวิชาชีพอิสระ 6 อาชีพ ได้แก่ วิชาชีพกฎหมาย การประกอบโรคศิลปะ (แพทย์) วิศวกรรม สถาปัตยกรรม บัญชี ประณีตศิลปกรรม หรือวิชาชีพอื่นซึ่งมีพระราชกฤษฎีกากำหนดไว้
ทั้งนี้ หากเป็นแพทย์ประกอบโรคศิลปะ สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 60% หรือตามจริง ส่วนอาชีพนักกฎหมาย, วิศวกร, สถาปนิก, นักบัญชี และช่างประณีตศิลป์ หักค่าใช้จ่ายได้ 30% หรือหักตามจริง
เงินได้ประเภทที่ 7
เงินได้ประเภทที่ 8
เงินได้พึงประเมิน กับเงินได้สุทธิ
เหมือนหรือแตกต่างกัน
เงินได้พึงประเมิน แตกต่างกับ เงินได้สุทธิ เพราะ เงินได้พึงประเมิน คือเงินที่ยังไม่ได้หักค่าลดหย่อนภาษีใด ๆ จึงเป็นรายได้ที่เราได้รับทั้งหมดทั้งมวลในปีภาษีนั้น ในขณะที่ เงินได้สุทธิ เป็นรายได้ที่หักค่าใช้จ่ายและหักค่าลดหย่อนต่าง ๆ ออกไปแล้ว เพื่อนำไปคำนวณภาษีเงินได้ฯ ในปีนั้น และยื่นภาษีต่อไป
ตัวอย่างเช่น นาย A มีรายได้ทั้งปีรวม 500,000 บาท ส่วนนี้คือเงินได้พึงประเมิน แต่เมื่อหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนส่วนตัว (160,000 บาท) หักเงินสมทบประกันสังคม (9,000 บาท) หักค่าซื้อประกันชีวิต (10,000 บาท) หักค่าซื้อกองทุนรวม SSF (20,000 บาท) จะเหลือเป็นเงินได้สุทธิ 301,000 บาท โดยเงินจำนวน 301,000 บาทนี้จะต้องนำไปยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อไป
เงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษี มีอะไรบ้าง
เงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีตามกฎหมาย ไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อยื่นภาษีฯ มีอยู่หลายรายการ ยกตัวอย่างเช่น
- ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร บัญชีออมทรัพย์ทุกธนาคารที่รวมกันทั้งปีไม่เกิน 20,000 บาท
- ดอกเบี้ยเงินฝากประเภทออมทรัพย์ที่ได้รับจากสหกรณ์
- ดอกเบี้ยเงินฝากประจำปลอดภาษี 24 เดือนขึ้นไป ที่มียอดฝากไม่เกินเดือนละ 25,000 บาท และเงินฝากรวมทั้งหมดไม่เกิน 600,000 บาท
- ดอกเบี้ยและเงินรางวัลที่ได้รับจากการฝากสลากออมทรัพย์สิน ทั้งธนาคารออมสิน, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารอาคารสงเคราะห์
- เงินรางวัลจากการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล
- เงินที่ได้รับจากการประกันภัยหรือประกันชีวิต หรือการฌาปนกิจสงเคราะห์
- ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด
- เงินที่ได้รับจากกองทุนประกันสังคม เช่น เงินชราภาพ เงินค่าคลอดบุตร เงินช่วยเหลือกรณีว่างงาน
- เงินที่ได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เมื่อลาออกจากงานเพราะเกษียณอายุ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต
- เงินที่ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา เช่น เงินที่ได้รับจากมรดก จากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธี เช่น เงินสินสอด อั่งเปา
- เงินที่ได้จากการขายสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดก หรือสังหาริมทรัพย์ ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร แต่ไม่รวมถึงเรือกำปั่น เรือที่มีระวางตั้งแต่ 6 ตันขึ้นไป เรือกลไฟหรือเรือยนต์ที่มีระวางตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป หรือแพ
- เงินที่ได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นมรดก หรือได้จากการให้โดยเสน่หาที่ตั้งอยู่นอกเขตกรุงเทพฯ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเมืองพัทยา ยกเว้นภาษีเฉพาะเงินได้จากการขายในส่วนที่ไม่เกิน 200,000 บาทแรก
- ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าพาหนะที่ลูกจ้างได้รับตามความจำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่นั้น
- บำเหน็จดำรงชีพของข้าราชการบำนาญ
- เบี้ยประชุมกรรมาธิการหรือกรรมการ หรือค่าสอน ค่าสอบ ที่ทางราชการหรือสถานศึกษาของทางราชการจ่ายให้
- เงินส่วนแบ่งกำไรจากห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลซึ่งต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้ แต่ไม่รวมถึงเงินส่วนแบ่งของกำไรจากกองทุนรวม
- เงินได้ของผู้มีอายุไม่ต่ำกว่า 65 ปีบริบูรณ์ ในปีภาษีที่ได้รับ และอยู่ในประเทศไทย ได้รับยกเว้นเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 190,000 บาท ในปีภาษีนั้น