ขายของออนไลน์ เสียภาษี อย่างไร ? ตอบทุกข้อสงสัยพ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์ ที่จะยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และยื่นภาษีออนไลน์ พร้อมวิธีคำนวณภาษีขายของออนไลน์ ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง

เดี๋ยวนี้การขายของออนไลน์ กลายเป็นอาชีพที่ใคร ๆ ก็ทำได้ง่าย ๆ
ไม่ต้องใช้เงินทุนสูง แถมเข้าถึงลูกค้าได้รวดเร็ว เผลอแป๊บเดียว
ร่ำรวยมีเงินแสน เงินล้านกันแบบไม่รู้ตัวก็มี แต่ก็นั่นแหละ เมื่อมีรายได้
สิ่งที่ตามมาแน่นอนก็คือเรื่องของภาษี ซึ่งหลายคนมักลืมไป
หรือไม่รู้ว่าขายของออนไลน์ก็ต้องเสียภาษีด้วย กระปุกดอทคอม
จึงจะมาแจกแจงให้เหล่าพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ทั้งหลายเข้าใจกันว่า
ขายของออนไลน์ ต้องเสียภาษีแบบไหน เท่าไหร่ และมีวิธีคำนวณภาษีอย่างไรบ้าง
ขายของออนไลน์เสียภาษีด้วยหรือ ?
เป็นคำถามที่หลายคนสงสัยและไม่เข้าใจว่า ทำไมขายของออนไลน์ ต้องเสียภาษีด้วยนะ ซึ่งก็อยากให้ทุกคนเข้าใจว่า เมื่อเราขายของ ถึงแม้จะเป็นร้านออนไลน์ก็ตาม แต่ถ้ามีรายได้เข้ามา จึงเป็นหน้าที่ของผู้มีรายได้ทุกคนที่ต้องนำไปยื่นเสียภาษีตามกฎหมาย ซึ่งการขายของออนไลน์นั้น จะเข้าข่ายเงินได้ประเภทที่ 8 คือ เงินได้จากการค้าขาย จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมขายของออนไลน์ ถึงต้องเสียภาษี
ขายของออนไลน์เสียภาษี ต้องมีรายได้เท่าไร ?
การเสียภาษีขายของออนไลน์ จะเกี่ยวข้องกับภาษี 2 ประเภท ได้แก่ ภาษีเงินบุคคลธรรมดา และภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา : พ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์ ที่จะต้องเสียภาษีก็จะอิงตามอัตราฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เช่นเดียวกับมนุษย์เงินเดือนทั่วไป คือ มีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 150,000 บาทต่อปีขึ้นไป

โดยเราต้องนำรายได้ทั้งหมดจากการขายของออนไลน์ มาหักค่าใช้จ่าย ก่อนที่จะนำไปคำนวณภาษี ซึ่งค่าใช้จ่ายคิดได้ 2 วิธี คือ "แบบเหมา" สำหรับร้านค้าออนไลน์ที่ซื้อมา ขายไป ไม่ได้ผลิตเอง จะเป็นการหักต้นทุนในสัดส่วน 60% ของรายได้ หรือก็คือการนำ 40% ของรายได้ทั้งหมดไปคิดภาษี
ส่วนอีกวิธีจะคิด "แบบตามความจำเป็น" สำหรับร้านค้าที่ผลิตสินค้าเอง คือ นำค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงจากการขายของออนไลน์ มาหักออก ซึ่งใครอยากจะหักค่าใช้จ่ายด้วยวิธีนี้ จำเป็นต้องมีใบเสร็จ เอกสารแสดงรายได้ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ถูกต้อง ครบถ้วนด้วยนะ แต่ก็สร้างความยุ่งยากพอสมควร ดังนั้น พ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์จึงมักเลือกจ่าย "แบบเหมา" มากกว่า
2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) : การเสีย VAT ที่ปัจจุบันจัดเก็บอยู่ที่ 7% จะจัดเก็บกับพ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์ที่มีรายได้มากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น สำหรับใครที่รายได้ไม่ถึงก็สบายใจได้เลย

ขายของออนไลน์ ลดหย่อนภาษีได้ไหม ?
รายได้จากการขายของออนไลน์ สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามปกติ เหมือนมนุษย์เงินเดือนและผู้ประกอบอาชีพอื่น ๆ ทั่วไป ทั้งค่าลดหย่อนส่วนตัว ซื้อประกันชีวิต ซื้อกองทุน SSF, RMF หรือเงินบริจาค เป็นต้น
ขายของออนไลน์ ยื่นภาษีตอนไหน ?
1. ภาษีครึ่งปี : เป็นการยื่นรายได้ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน ของปีนั้น ๆ หากเรามีรายได้มากกว่า 60,000 บาท ในกรณีโสด หรือกรณีมีคู่สมรส ต้องมีรายได้รวมกันเกิน 120,000 บาท โดยปกติแล้วจะเปิดให้ยื่นช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน ของปีภาษีนั้น
>>> เช็กหน่อย ใครบ้างที่ต้องยื่นภาษีครึ่งปี ?!
2. ภาษีประจำปี : เป็นการสรุปเงินได้ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปีนั้น ๆ มายื่นคำนวณภาษี ซึ่งจะเปิดให้ยื่นช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม ของทุกปี
ส่วนใครที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านต่อปี ที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ด้วย จะต้องไปยื่นคำขอจดทะเบียน VAT ที่สรรพากรพื้นที่ ภายใน 30 นับตั้งแต่วันที่มีรายได้เกิน และในทุก ๆ เดือน จะต้องนำใบกำกับภาษีไปยื่นเพื่อเสียภาษีแก่กรมสรรพากร ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
วิธีคำนวณภาษีขายของออนไลน์
การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากการขายของออนไลน์ คิดได้ 2 แบบ คือ
- วิธีแรก (เงินได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน) * อัตราภาษี
- วิธีที่สอง เงินได้ * 0.5%
โดยเราจะคำนวณวิธีที่ 2 ก็ต่อเมื่อมีรายได้ที่ไม่ใช่เงินเดือน เกิน 1 ล้านบาทต่อปี แล้วถึงมาเปรียบเทียบว่าระหว่างวิธีแรกกับวิธีที่สอง อันไหนได้ตัวเลขที่มากกว่า ก็ให้นำตัวเลขที่มากกว่านั้นไปยื่นเสียภาษี แต่ถ้ารายได้ที่ไม่ใช่เงินเดือนไม่ถึง 1 ล้านบาท คำนวณแค่วิธีแรกก็พอ แล้วนำตัวเลขนั้นไปยื่นเสียภาษีได้เลย

สมมติ นาย A มีรายได้จากการขายรองเท้าผ่านเฟซบุ๊ก 1,400,000 บาทต่อปี โดยที่ไม่มีรายได้จากงานประจำ
1. คำนวณแบบวิธีแรก : (เงินได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน) * อัตราภาษี
เงินได้ เท่ากับ 1,400,000 บาท
ค่าใช้จ่าย (60% ของรายได้ทั้งหมด) เท่ากับ 840,000
ค่าลดหย่อน สมมติ นาย A มีแค่ค่าลดหย่อนส่วนตัว จำนวน 60,000 บาท
จะได้เป็น (1,400,000 - 840,000 - 60,000 ) * อัตราภาษี
จึงทำให้เหลือเงินได้สุทธิก่อนนำไปคำนวณภาษีเท่ากับ 500,000 บาท แล้วจึงนำไปคูณอัตราภาษี ตามฐานการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่กำหนดไว้
- รายได้ 0-150,000 บาท ยกเว้นอัตราภาษี
- รายได้ 150,001-300,000 บาท อัตราภาษี 5% (ภาษีที่ต้องเสียสูงสุดในขั้นนี้ 7,500 บาท)
- รายได้ 300,001-500,000 บาท อัตราภาษี 10% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้ 20,000 บาท)
- รายได้ 500,001-750,000 บาท อัตราภาษี 15% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้ 37,500 บาท)
- รายได้ 750,001-1,000,000 บาท อัตราภาษี 20% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้ 50,000 บาท)
- รายได้ 1,000,001-2,000,000 บาท อัตราภาษี 25% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้ 250,000 บาท)
- รายได้ 2,000,001-5,000,000 บาท อัตราภาษี 30% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้ 900,000 บาท)
- รายได้ 5,000,000 บาทขึ้นไป อัตราภาษี 35%
ดังนั้น กรณีนาย A มีเงินได้สุทธิอยู่ที่ 500,000 บาท เท่ากับต้องเสียภาษีในอัตราสูงสุดที่ 10% ทำให้ต้องเสียภาษีอยู่ที่ (7,500 + 20,000) คิดเป็นเงินภาษีที่ต้องจ่ายทั้งสิ้น 27,500 บาท
เนื่องด้วยนาย A มีรายได้จากการขายรองเท้าเกิน 1 ล้านบาทต่อปี เลยต้องคิดแบบที่สองด้วย โดยจะคำนวณเงินเสียภาษีออกมาได้เท่ากับ 1,400,000 * 0.5% เท่ากับ 7,000 บาท
สรุปแล้วนาย A จะต้องเสียภาษีตามแบบที่คำนวณได้มากที่สุด นั่นคือวิธีแรกนั่นเอง ซึ่งต้องเสียภาษีทั้งหมด 27,500 บาท ส่วนภาษี VAT นั้น ไม่ต้องเสีย เพราะมีรายได้จากการขายของผ่านเฟซบุ๊กไม่ถึง 1.8 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ถ้าเราไม่ได้มีรายได้จากการขายของออนไลน์เพียงอย่างเดียว แต่มีรายได้จากส่วนอื่น ๆ ด้วย เช่น เงินเดือน ค่าจ้างทั่วไป หรือดอกเบี้ย เงินปันผลต่าง ๆ ก็จะต้องนำรายได้ส่วนนั้น ๆ มาคำนวณรวมกันด้วยนะ

ขายของออนไลน์ ไม่ยื่นภาษีมีความผิดไหม ?
พ่อค้า-แม่ค้าที่ขายของออนไลน์ แล้วมีรายได้เกิดขึ้น ต้องมีหน้าที่ไปยื่นภาษีด้วยนะ โดยหากพบการหลีกเลี่ยงยื่นภาษี จะมีความผิดและบทลงโทษทางกฎหมาย ดังนี้
1. กรณีไม่ได้ยื่นแบบภาษีภายในเวลาที่กำหนด ต้องเสียเงินเพิ่ม 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ต้องจ่าย นับตั้งแต่วันที่พ้นกำหนดให้ยื่นแบบจนถึงวันชำระภาษี และมีโทษปรับทางอาญาไม่เกิน 2,000 บาท
2. กรณียื่นเสียภาษีไม่ครบจำนวน จะต้องเสียค่าปรับ 1-2 เท่าของจำนวนภาษีที่ต้องจ่ายทั้งหมด
3. เจตนาละเลยไม่ยื่นแบบภาษีภายในกำหนดเพื่อหนีภาษี จะมีโทษปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
4. จงใจแจ้งข้อความเท็จ หรือแสดงหลักฐานเท็จเพื่อหนีภาษี จะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000-200,000 บาท
ภาษี e-payment ที่คนขายของออนไลน์ควรรู้
ตั้งแต่ปี 2563 มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.เก็บภาษีผู้ค้าออนไลน์ หรือ กฎหมายอีเพย์เมนต์ (e-Payment) เพื่อส่งข้อมูลการรับโอนเงินผ่านธนาคารให้กรมสรรพากรตรวจสอบการเสียภาษี โดยธนาคารจะส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรก็ต่อเมื่อมียอดฝากหรือรับโอนเงิน รวมกันทุกช่องทางทั้งเคาน์เตอร์ธนาคาร ตู้เอทีเอ็ม และ Internet Banking (ไม่รวมการโอนเงินให้บัญชีตนเองและคนอื่น) ในแต่ละธนาคาร ตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
1. ฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีตั้งแต่ 3,000 ครั้ง/ปี
นับเฉพาะจำนวนครั้งที่รับโอนเงิน คือถ้าปีนั้นรับโอนถึง 3,000 ครั้ง โดนตรวจสอบหมด ไม่ว่ามูลค่าเงินจะมากน้อยแค่ไหนก็ตาม
2. ฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 400 ครั้ง และมียอดเงินรวมกันตั้งแต่ 2 ล้านบาท/ปีขึ้นไป
- ต้องเข้า 2 เงื่อนไข ทั้งจำนวนครั้งและมูลค่าเงิน เช่น ยอดโอน 400 ครั้ง มูลค่ารวม 2.5 ล้านบาท แบบนี้คือโดนตรวจสอบ
- แต่ถ้าเป็นยอดโอน 400 ครั้ง มูลค่ารวม 1 ล้านบาท แบบนี้จะไม่โดนตรวจสอบ หรือยอดโอน 300 ครั้ง มูลค่า 3 ล้านบาท ก็ไม่โดนตรวจสอบเช่นกัน
ทั้งนี้ การนับยอดทำธุรกรรมจะเป็นแบบปีต่อปี คือ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม ของปีนั้น ๆ โดยข้อมูลที่่ส่งจะแยกเป็นรายสถาบันการเงิน และผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ได้รวมข้อมูลหรือเชื่อมโยงกัน
เท่ากับว่า กฎหมายฉบับนี้ส่งผลโดยตรงต่อคนขายของออนไลน์ที่มักจะรับโอนเงินเป็นจำนวนหลายครั้งในแต่ละปี ซึ่งกรมสรรพากรจะสามารถตรวจสอบได้หากผู้ค้าออนไลน์เลี่ยงการยื่นภาษีเงินได้ฯ
1. ฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีตั้งแต่ 3,000 ครั้ง/ปี
นับเฉพาะจำนวนครั้งที่รับโอนเงิน คือถ้าปีนั้นรับโอนถึง 3,000 ครั้ง โดนตรวจสอบหมด ไม่ว่ามูลค่าเงินจะมากน้อยแค่ไหนก็ตาม
2. ฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 400 ครั้ง และมียอดเงินรวมกันตั้งแต่ 2 ล้านบาท/ปีขึ้นไป
- ต้องเข้า 2 เงื่อนไข ทั้งจำนวนครั้งและมูลค่าเงิน เช่น ยอดโอน 400 ครั้ง มูลค่ารวม 2.5 ล้านบาท แบบนี้คือโดนตรวจสอบ
- แต่ถ้าเป็นยอดโอน 400 ครั้ง มูลค่ารวม 1 ล้านบาท แบบนี้จะไม่โดนตรวจสอบ หรือยอดโอน 300 ครั้ง มูลค่า 3 ล้านบาท ก็ไม่โดนตรวจสอบเช่นกัน
ทั้งนี้ การนับยอดทำธุรกรรมจะเป็นแบบปีต่อปี คือ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม ของปีนั้น ๆ โดยข้อมูลที่่ส่งจะแยกเป็นรายสถาบันการเงิน และผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ได้รวมข้อมูลหรือเชื่อมโยงกัน
เท่ากับว่า กฎหมายฉบับนี้ส่งผลโดยตรงต่อคนขายของออนไลน์ที่มักจะรับโอนเงินเป็นจำนวนหลายครั้งในแต่ละปี ซึ่งกรมสรรพากรจะสามารถตรวจสอบได้หากผู้ค้าออนไลน์เลี่ยงการยื่นภาษีเงินได้ฯ
บทความที่เกี่ยวข้องกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
- วิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ก่อนยื่นภาษี- เงินเดือนเท่าไหร่ถึงต้องเสียภาษี เช็กเลย...ถ้ามีรายได้เท่านี้ ต้องเสียภาษีกี่บาท
- เงินเดือนไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี แล้วแบบนี้ยังต้องยื่นภาษีด้วยไหม ?
- ขั้นตอนยื่นภาษีออนไลน์ ง่าย ๆ มือใหม่ก็ทำได้
- ยื่นภาษีผิดทำไงดี ไม่ต้องตกใจไป แค่ยื่นใหม่ก็จบแล้ว !
- แยกยื่นภาษีสามี-ภรรยา VS รวมยื่น แบบไหนเหมาะกับใคร