ยื่นภาษี 2565 อย่างไร พร้อมวิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่หลายคนมีคำถาม

ทุก ๆ ปี คนไทยทุกคนที่มีรายได้ถึงเกณฑ์กำหนดจะต้องยื่นแสดงรายได้และจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับกรมสรรพากร โดยในปีภาษี 2565 (ที่จะยื่นแบบในปี 2566) จะใช้โครงสร้างภาษีเหมือนที่ปรับใหม่ในปี 2560 ซึ่งมีการเพิ่มค่าลดหย่อนใหม่หลายประเภท คือ
2. เพิ่มวงเงินหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 50 แต่รวมกันต้องไม่เกิน 100,000 บาท
3. เพิ่มค่าลดหย่อนผู้มีเงินได้เป็น 60,000 บาท ค่าลดหย่อนคู่สมรส 60,000 บาท รวมทั้งค่าลดหย่อนบุตร ลดหย่อนได้ 30,000 บาทต่อคน และไม่จำกัดคน
4. กรณีที่สามีภริยาต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ ให้หักลดหย่อนรวมกันได้ไม่เกิน 120,000 บาท
5. กองมรดก ให้หักลดหย่อนเพิ่มเป็น 60,000 บาท
อ่านเพิ่มเติม : ลดหย่อนภาษี มีอะไรบ้าง รู้ไว้ก่อนยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

จากโครงสร้างภาษีใหม่จะทำให้เราเสียภาษีน้อยลง และคนที่มีเงินเดือนไม่ถึง 25,833 บาทก็จะไม่ต้องเสียภาษีเลย แต่จะคำนวณภาษีอย่างไรนั้น วันนี้กระปุกดอทคอมนำข้อมูลเกี่ยวกับการยื่นภาษี พร้อมวิธีคำนวณภาษีมาแจกแจงให้ทราบกัน ลองไปอ่านกันเลย
อ่านเพิ่มเติม : 6 วิธี ขอคืนภาษี แบบได้รับเงินเร็วทันใจ ไม่ต้องรอนาน
ใครมีหน้าที่ยื่นภาษี 2565
หลายคนมักเข้าใจผิดว่า ถ้ามีเงินได้มากกว่าเดือนละ 25,833 บาท หรือมีเงินได้ต่อปีสูงกว่า 300,000 บาท จึงจะมีหน้าที่ยื่นเสียภาษี ซึ่งความเข้าใจนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องค่ะ เพราะกรมสรรพากรได้กำหนดให้คนที่มีเงินได้แม้มีเงินได้ไม่ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี ก็ต้องมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายได้ ในกรณีต่อไปนี้
คนโสด
- กรณีมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) เพียงประเภทเดียว จะต้องยื่นแบบภาษีเมื่อมีเงินได้เกิน 120,000 บาท
- กรณีมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) และมีเงินได้ประเภทอื่นด้วย จะต้องยื่นแบบภาษีเมื่อมีเงินได้เกิน 60,000 บาท
- กรณีมีเฉพาะเงินได้ประเภทอื่นที่ไม่ใช่เงินได้จากการจ้างแรงงาน จะต้องยื่นแบบภาษีเมื่อมีเงินได้เกิน 60,000 บาท
- คนมีคู่
- กรณีมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) เพียงประเภทเดียว จะต้องยื่นแบบภาษีเมื่อมีเงินได้เกิน 220,000 บาท
- กรณีมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) และมีเงินได้ประเภทอื่นด้วย จะต้องยื่นแบบภาษีเมื่อมีเงินได้เกิน 120,000 บาท
- กรณีมีเฉพาะเงินได้ประเภทอื่นที่ไม่ใช่เงินได้จากการจ้างแรงงาน จะต้องยื่นแบบภาษีเมื่อมีเงินได้เกิน 120,000 บาท

ยื่นภาษีแบบไหน
แบบยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีด้วยกัน 2 แบบ คือ แบบ ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91 ดูง่าย ๆ ว่าใครจะยื่นแบบไหนคือ คนมีเงินเดือน โบนัส ค่าครองชีพก็ยื่นแบบ ภ.ง.ด.91 ส่วนคนที่มีรายได้อื่น ๆ หรือมีทั้งเงินเดือนและรายได้อื่น ๆ ให้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90
ยื่นภาษีผ่านอินเทอร์เน็ต
สำหรับคนที่ต้องการยื่นภาษี สามารถยื่นแบบแสดงรายการภาษีผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้เลย >> ยื่นภาษีผ่านเน็ต
ยื่นภาษี 2565 ได้ถึงวันที่เท่าไร
โดยปกติจะสามารถยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 มีนาคม 2566 แต่หากยื่นแบบแสดงรายการภาษีผ่านทางอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th หรือยื่นผ่าน Rd smart tax application ทางโทรศัพท์มือถือ จะได้รับสิทธิ์ขยายเวลาการยื่นแบบฯ ออกไปอีก 8 วัน (ไม่รวมวันหยุด) ดังนั้นจะสามารถยื่นภาษีได้จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2566
อ่านเพิ่มเติม : ขั้นตอนยื่นภาษีออนไลน์ ง่าย ๆ มือใหม่ก็ทำได้
ตรวจสอบค่าลดหย่อนภาษี
ก่อนที่จะไปคำนวณภาษีกัน ผู้เสียภาษีควรทราบข้อมูลของค่าลดหย่อนต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในการคำนวณภาษีด้วยเหมือนกัน ลองตรวจสอบค่าลดหย่อนภาษีต่าง ๆ ได้ที่นี่เลย
นอกจากนี้ยังมีกรณียกเว้นเงินได้เพิ่มเติมคือ
* กรณีเป็นผู้พิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ และมีอายุไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์ ในปีภาษีที่ได้รับเงินได้พึงประเมิน ได้รับยกเว้นเงินได้ จำนวนเงิน 190,000 บาท
* กรณีเป็นผู้สูงอายุ มีอายุไม่ต่ำกว่า 65 ปีบริบูรณ์ ในปีภาษี ได้รับยกเว้นเงินได้เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 190,000 บาท ในปีภาษีนั้น
* กรณีเป็นผู้พิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ และมีอายุไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์ ในปีภาษีที่ได้รับเงินได้พึงประเมิน ได้รับยกเว้นเงินได้ จำนวนเงิน 190,000 บาท
* กรณีเป็นผู้สูงอายุ มีอายุไม่ต่ำกว่า 65 ปีบริบูรณ์ ในปีภาษี ได้รับยกเว้นเงินได้เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 190,000 บาท ในปีภาษีนั้น
เช็กลิสต์เอกสารประกอบการยื่นภาษี
ก่อนยื่นภาษี อย่าลืมตรวจสอบเอกสารต่าง ๆ ให้ครบก่อนนะคะ เพราะจะทำให้มีความสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ในกรณีที่สรรพากรต้องการตรวจสอบเอกสาร จะได้จัดส่งได้โดยเร็วค่ะ โดยอาจมีเอกสารหลักฐานต่าง ๆ เช่น
1. หนังสือรับรองเงินเดือนและการหักภาษี (50 ทวิ) ซึ่งได้รับจากนายจ้าง โดยหนังสือรับรองจะระบุผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย จำนวนเงินได้ทั้งปี (รวมเงินเดือน โบนัสและเงินพิเศษต่าง ๆ) ภาษีที่หักและนำส่งไว้ รวมถึงเงินที่จ่ายเข้า กบข./กสจ./กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน กองทุนประกันสังคม และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
2. ทะเบียนสมรส กรณีกรมสรรพากรเรียกตรวจ หากใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีคู่สมรสที่ไม่มีเงินได้ หรือมีเงินได้แต่เลือกนำมาคำนวณภาษีพร้อมกัน
3. เอกสารรับรองบุตร หรือสูติบัตรของบุตร กรณีสรรพากรเรียกตรวจ
4. หนังสือรับรองการหักลดหย่อนค่าเลี้ยงดูบิดา-มารดา สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนบิดา-มารดาของตัวเองได้คนละ 30,000 บาท รวมทั้งบิดา-มารดาของคู่สมรส อีกคนละ 30,000 บาท โดยบิดา-มารดาต้องมีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป และผู้มีเงินได้เป็นผู้เลี้ยงดูบิดา-มารดา ทั้งนี้บิดา-มารดาต้องมีเงินได้ในปีภาษีไม่เกิน 30,000 บาท
5. เอกสารชำระค่าเบี้ยประกันสุขภาพบิดา-มารดา ลดหย่อนได้สูงสุดตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท โดยบิดา-มารดาต้องมีเงินได้ในปีภาษีไม่เกิน 30,000 บาท
6. เอกสารชำระค่าเบี้ยประกันสุขภาพ ลดหย่อนได้สูงสุดตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 25,000 บาท เมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิต ต้องไม่เกิน 100,000 บาท
7. หนังสือรับรองการชำระเบี้ยประกันชีวิต สามารถนำมาหักลดหย่อนได้ตามจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ส่วนประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถลดหย่อนได้ตามจริง สูงสุดไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาท ทั้งนี้ เมื่อรวมค่าเบี้ยประกันแบบบำนาญกับเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือเงินสะสมเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือเงินสะสมเข้ากองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพแล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ในแต่ละปีภาษี
8. หนังสือรับรองการหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพ ลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท โดยมีเงื่อนไขดังนี้
- คนพิการ จะต้องมีบัตรประจำตัวคนพิการ และระบุชื่อผู้มีเงินได้เป็นผู้ดูแลในบัตรประจำตัวคนพิการ โดยคนพิการต้องมีเงินได้ในปีภาษีไม่เกิน 60,000 บาท
- คนทุพพลภาพ จะต้องเป็นผู้ทุพพลภาพมาแล้วไม่น้อยกว่า 180 วัน มีใบรับรองแพทย์ที่ออกในปีภาษีที่ขอใช้สิทธิ์หักลดหย่อน และมีหนังสือรับรองการเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูคนทุพพลภาพ
9. ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อที่อยู่อาศัย สามารถหักลดหย่อนได้ตามจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
10. หลักฐานการเป็นสมาชิกและจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนต่าง ๆ ที่ใช้ลดหย่อนภาษีได้
11. ใบเสร็จรับเงินบริจาค เพื่อสาธารณกุศลทั่วไป สามารถหักลดหย่อนได้ตามจริง สูงสุดไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้สุทธิ แต่หากเป็นเงินสนับสนุนการศึกษา การช่วยเหลือสังคม โรงพยาบาล และเงินบริจาคให้กองทุนยุติธรรม สามารถหักลดหย่อนได้เป็น 2 เท่าของเงินบริจาค
13. เอกสารเครดิตภาษีเงินปันผล สำหรับคนที่ลงทุนในหุ้น แนะนำให้สมัครสมาชิกที่เว็บไซต์ ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แล้วดาวน์โหลดเอกสารไปใช้ยื่นสรรพากรโดยที่เราไม่ต้องคำนวณให้ยุ่งยาก
14. หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย กองทุนรวมต่าง ๆ กรณีที่เราลงทุนในกองทุนรวมที่มีการจ่ายปันผล เงินปันผลที่ได้รับนั้นจะถูกหักภาษี 10%
15. หนังสือหรือเอกสารรับรองเงินได้อื่น ๆ นอกเหนือจากเงินเดือน
ทั้งนี้ หากใครยื่นภาษีเป็นประจำทุกปี แล้วเคยยื่นเอกสาร อาทิ ทะเบียนสมรส สูติบัตรของบุตร หนังสือรับรองการหักลดหย่อนค่าเลี้ยงดูบิดา-มารดา ฯลฯ ไปแล้ว ในปีต่อ ๆ ไป ทางสรรพากรอาจไม่เรียกตรวจเอกสารอีก แต่เตรียมพร้อมไว้ก่อนก็ดีนะคะ จะได้ไม่ล่าช้าหากถูกเรียกตรวจ
10. หลักฐานการเป็นสมาชิกและจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนต่าง ๆ ที่ใช้ลดหย่อนภาษีได้
11. ใบเสร็จรับเงินบริจาค เพื่อสาธารณกุศลทั่วไป สามารถหักลดหย่อนได้ตามจริง สูงสุดไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้สุทธิ แต่หากเป็นเงินสนับสนุนการศึกษา การช่วยเหลือสังคม โรงพยาบาล และเงินบริจาคให้กองทุนยุติธรรม สามารถหักลดหย่อนได้เป็น 2 เท่าของเงินบริจาค
12. ค่าใช้จ่ายฝากครรภ์และค่าคลอดบุตร นำมาหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 60,000 บาท ตามจำนวนที่จ่ายจริงสำหรับการตั้งครรภ์ในแต่ละครั้ง สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีกับค่าใช้จ่ายที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 เป็นต้นไป >> [ลดหย่อนภาษีได้เท่าไร ถ้าตั้งครรภ์ หรือคลอดลูกในปี 2565 เรื่องที่คุณแม่ต้องรู้ !]
14. หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย กองทุนรวมต่าง ๆ กรณีที่เราลงทุนในกองทุนรวมที่มีการจ่ายปันผล เงินปันผลที่ได้รับนั้นจะถูกหักภาษี 10%
15. หนังสือหรือเอกสารรับรองเงินได้อื่น ๆ นอกเหนือจากเงินเดือน
ทั้งนี้ หากใครยื่นภาษีเป็นประจำทุกปี แล้วเคยยื่นเอกสาร อาทิ ทะเบียนสมรส สูติบัตรของบุตร หนังสือรับรองการหักลดหย่อนค่าเลี้ยงดูบิดา-มารดา ฯลฯ ไปแล้ว ในปีต่อ ๆ ไป ทางสรรพากรอาจไม่เรียกตรวจเอกสารอีก แต่เตรียมพร้อมไว้ก่อนก็ดีนะคะ จะได้ไม่ล่าช้าหากถูกเรียกตรวจ
* หมายเหตุ : ตั้งแต่ปีภาษี 2565 เป็นต้นไป ผู้ซื้อกองทุนรวม SSF และ RMF จะต้องแจ้งความประสงค์ต่อ บลจ. ว่าต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี เพื่อให้ บลจ. ส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรโดยตรง เราจึงสามารถใช้สิทธิลดหย่อนจากการซื้อกองทุนรวมได้ หากไม่แจ้งความประสงค์จะไม่สามารถใช้สิทธิได้ เนื่องจากกรมสรรพากรจะยอมรับหลักฐานการซื้อหน่วยลงทุนจาก บลจ. โดยตรงเท่านั้น

วิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90 - ภ.ง.ด.91)
สำหรับใครที่ยังไม่ทราบว่า แบบภาษี ภ.ง.ด.90 กับ ภ.ง.ด.91 แตกต่างกันอย่างไร ก่อนจะไปคิดคำนวณภาษีกันลองมาทำความเข้าใจแบบง่าย ๆ กันก่อน เมื่อรูัแล้วก็ลองไปดูวิธีคิดภาษีกันได้เลย
- ภ.ง.ด.90 คือ ผู้ที่มีรายได้นอกเหนือจากเงินเดือนที่ได้รับ เช่น ค้าขายแบบบุคคลธรรมดา เงินปันผล หรืออื่น ๆ
- ภ.ง.ด.91 คือ ผู้ที่มีรายได้เป็นเงินเดือนเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีรายได้ทางอื่น
เช็กอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2565

แต่หากใครมีรายได้สุทธิมากกว่า 310,000 บาท แสดงว่าเราต้องยื่นภาษี แต่จะเสียภาษีมาก-น้อยแค่ไหนนั้น ต้องคิดคำนวณจากค่าลดหย่อนด้วย โดยมีวิธีคำนวณภาษีดังนี้
(รายได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน) x อัตราภาษี
ขั้นตอนที่ 1 นำรายได้ทั้งปีมาหักค่าใช้จ่าย
นำรายได้ตลอดทั้งปีมาหักค่าใช้จ่าย แยกตามประเภทของรายได้ และหักลดหย่อนตามรายการต่าง ๆ เพื่อหารายได้สุทธิ
ตัวอย่างที่ 1
หากนาย A เป็นฟรีแลนซ์ มีรายได้ทั้งปี 600,000 บาท จะต้องหักค่าใช้จ่ายเบื้องต้นดังนี้
- หักค่าใช้จ่าย 50% ของเงินได้ (แต่ไม่เกิน 100,000 บาท) = 100,000 บาท
จะเหลือรายได้สุทธิ 500,000 บาท
ขั้นตอนที่ 2 นำรายได้ที่เหลือมาหักค่าลดหย่อน
จากนั้น ลองสำรวจดูว่าเรามีค่าลดหย่อนอะไรบ้าง แล้วนำค่าลดหย่อนนั้นมาลบออกจาก 500,000 บาท
เช่น หากปีนี้ นาย A ซึ่งมีภรรยา 1 คน มีรายได้ไม่ถึง 30,000 บาท ทั้งคู่จดทะเบียนสมรสกันแล้ว แต่ไม่มีบุตร, มีบิดาอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ต้องเลี้ยงดู 1 คน, ซื้อ SSF ไป 50,000 บาท, ซื้อประกันสุขภาพ 9,000 บาท ก็สามารถนำค่าลดหย่อนทั้งหมดมาหักออกจาก 500,000 บาท ดังนี้
- หักค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
- หักค่าลดหย่อนคู่สมรส 60,000 บาท
- หักค่าลดหย่อนเลี้ยงดูบิดา 1 คน จำนวน 30,000 บาท
- หักค่าซื้อ SSF ไป 50,000 บาท
- หักค่าประกันสุขภาพ 9,000 บาท
รวมหักไป 209,000 บาทจะเหลือรายได้สุทธิ 291,000 บาท
ขั้นตอนที่ 3 นำรายได้สุทธิที่ได้ มาเทียบอัตราภาษี
ปัจจุบันใช้วิธีเสียภาษีแบบขั้นบันได ซึ่งอัตราภาษีในปี 2565 เป็นดังนี้
อัตราภาษีแบบขั้นบันได
- รายได้ 0-150,000 บาท ยกเว้นอัตราภาษี
- รายได้ 150,001-300,000 บาท อัตราภาษี 5% (ภาษีที่ต้องเสียสูงสุดในขั้นนี้คือ 7,500 บาท)
- รายได้ 300,001-500,000 บาท อัตราภาษี 10% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้คือ 20,000 บาท)
- รายได้ 500,001-750,000 บาท อัตราภาษี 15% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้คือ 37,500 บาท)
- รายได้ 750,001-1,000,000 บาท อัตราภาษี 20% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้คือ 50,000 บาท)
- รายได้ 1,000,001-2,000,000 บาท อัตราภาษี 25% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้คือ 250,000 บาท)
- รายได้ 2,000,001-5,000,000 บาท อัตราภาษี 30% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้คือ 900,000 บาท)
- รายได้ 5,000,000 บาทขึ้นไป อัตราภาษี 35%
กรณีของนาย A มีรายได้สุทธิอยู่ที่ 291,000 บาท เท่ากับต้องเสียภาษีในอัตราสูงสุดที่ 5% แต่ในจำนวนนี้ 150,000 บาทแรก ได้รับการยกเว้นภาษี จึงคงเหลือส่วนที่ต้องเสียภาษีอยู่ที่ (291,000-150,000) = 141,000 บาท ที่อัตรา 5% คิดเป็นเงินภาษี 7,050 บาท
- รายได้ 0-150,000 บาท ยกเว้นอัตราภาษี
- รายได้ 150,001-300,000 บาท อัตราภาษี 5% (ภาษีที่ต้องเสียสูงสุดในขั้นนี้คือ 7,500 บาท)
- รายได้ 300,001-500,000 บาท อัตราภาษี 10% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้คือ 20,000 บาท)
- รายได้ 500,001-750,000 บาท อัตราภาษี 15% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้คือ 37,500 บาท)
- รายได้ 750,001-1,000,000 บาท อัตราภาษี 20% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้คือ 50,000 บาท)
- รายได้ 1,000,001-2,000,000 บาท อัตราภาษี 25% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้คือ 250,000 บาท)
- รายได้ 2,000,001-5,000,000 บาท อัตราภาษี 30% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้คือ 900,000 บาท)
- รายได้ 5,000,000 บาทขึ้นไป อัตราภาษี 35%
กรณีของนาย A มีรายได้สุทธิอยู่ที่ 291,000 บาท เท่ากับต้องเสียภาษีในอัตราสูงสุดที่ 5% แต่ในจำนวนนี้ 150,000 บาทแรก ได้รับการยกเว้นภาษี จึงคงเหลือส่วนที่ต้องเสียภาษีอยู่ที่ (291,000-150,000) = 141,000 บาท ที่อัตรา 5% คิดเป็นเงินภาษี 7,050 บาท

ตัวอย่างที่ 2
นางสาวบี ทำงานมีรายได้จากเงินเดือนเพียงอย่างเดียว รวมทั้งปี 350,000 บาท
ส่งเงินสมทบประกันสังคม 7,200 บาท (อัตราเงินสมทบประกันสังคมในปี 2565 เหลือ 6,300 บาท) ซื้อประกันชีวิตไว้ 40,000 บาท
บริจาคเงินสาธารณกุศล 2,000 บาท
คำนวณภาษีได้ดังนี้
- หักค่าใช้จ่าย 50% ของเงินได้ (แต่ไม่เกิน 100,000 บาท) = 100,000 บาท
- หักค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
- หักค่าประกันสังคม 6,300 บาท
- หักค่าซื้อประกันชีวิต 40,000 บาท
ดังนั้น รายได้สุทธิของนางสาวบี คือ 350,000-208,300 เท่ากับมีรายได้สุทธิอยู่ที่ 141,700 บาท จึงไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปี 2565 เพราะรายได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท จะได้รับการยกเว้น
- หักค่าใช้จ่าย 50% ของเงินได้ (แต่ไม่เกิน 100,000 บาท) = 100,000 บาท
- หักค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
- หักค่าประกันสังคม 6,300 บาท
- หักค่าซื้อประกันชีวิต 40,000 บาท
- หักเงินบริจาค 1 เท่า คือ 2,000 บาท
รวมหักค่าลดหย่อนไป 208,300 บาท
ดังนั้น รายได้สุทธิของนางสาวบี คือ 350,000-208,300 เท่ากับมีรายได้สุทธิอยู่ที่ 141,700 บาท จึงไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปี 2565 เพราะรายได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท จะได้รับการยกเว้น
ตัวอย่างที่ 3
นายซี ทำงานมีรายได้รวมทั้งปี 800,000 บาท เลี้ยงดูบุตรอายุ 6 ขวบ และ 4 ขวบ ส่งเงินสมทบประกันสังคม 6,300 บาท ซื้อประกันชีวิตไว้ 50,000 บาท เลี้ยงดูบิดา-มารดา 2 คน คำนวณภาษีได้ดังนี้
- หักค่าใช้จ่าย 50% ของเงินได้ (แต่ไม่เกิน 100,000 บาท) = 100,000 บาท
- หักค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
- หักค่าลดหย่อนบุตร 2 คน รวม 60,000 บาท
- หักค่าเลี้ยงดูบิดา-มารดา 2 คน รวม 60,000 บาท
- หักค่าประกันสังคม 6,300 บาท
- หักค่าซื้อประกันชีวิต 50,000 บาท
- หักค่าซื้อประกันชีวิต 50,000 บาท
รวมหักค่าลดหย่อนไป 336,300 บาท
- 150,000 บาทแรก ไม่เสียภาษี
จึงเหลือเงินที่ต้องไปคำนวณ (463,700-150,000) = 313,700 บาท
- ส่วนต่อมาเสียภาษี 5% ซึ่งจำนวนเงินภาษีของฐาน 5% คือ 7,500 บาท
จึงเหลือเงินที่ต้องไปคำนวณต่อที่ฐาน 10% (313,700-150,000) = 163,700 บาท
- เงินส่วนที่เหลือ 163,700 บาท นำมาคิดภาษีที่ฐาน 10% จะเท่ากับ 16,370 บาท
นำเงินภาษีแต่ละขั้นมารวมกัน (7,500+16,370) เท่ากับนายซีต้องเสียภาษี 23,870 บาท
หรือถ้าบางคนยังงง ๆ
กับการคิดภาษีของนายซีว่าทำไมต้องคิดที่ฐาน 5% ด้วย แล้วจะคิดฐาน 10%
ทีเดียวเลยไม่ได้เหรอ งั้นลองมาคิดง่าย ๆ ที่ฐาน 10% ทีเดียวเลยก็ได้ค่ะ
ก็คือ นายซีมีเงินได้สุทธิ 463,700 บาท ก็จะตกฐานภาษี 10% ดังนั้นนายซีต้องจ่ายภาษีสะสมในขั้น 5% คือ 7,500 บาทแล้วแน่ ๆ
ทีนี้ส่วนที่เหลือคือ เงินได้สุทธิ - 300,000 จะเท่ากับ 463,700-300,000 = 163,700 ให้นำมาคิดที่ฐาน 10%
ดังนั้น 10% ของ 163,7800 บาท จะเท่ากับ 16,370 บาท เมื่อรวมกับภาษีสะสมของขั้น 5% คือ 7,500 บาท จะเท่ากับว่านายซีต้องเสียภาษี 7,500+16,370 = 23,870 บาท เช่นกันค่ะ
ก็คือ นายซีมีเงินได้สุทธิ 463,700 บาท ก็จะตกฐานภาษี 10% ดังนั้นนายซีต้องจ่ายภาษีสะสมในขั้น 5% คือ 7,500 บาทแล้วแน่ ๆ
ทีนี้ส่วนที่เหลือคือ เงินได้สุทธิ - 300,000 จะเท่ากับ 463,700-300,000 = 163,700 ให้นำมาคิดที่ฐาน 10%
ดังนั้น 10% ของ 163,7800 บาท จะเท่ากับ 16,370 บาท เมื่อรวมกับภาษีสะสมของขั้น 5% คือ 7,500 บาท จะเท่ากับว่านายซีต้องเสียภาษี 7,500+16,370 = 23,870 บาท เช่นกันค่ะ
กรณีมีเงินได้ประเภทอื่น
สำหรับคนที่มีเงินได้ประเภทอื่นนอกจากเงินเดือนด้วย จะมีการหักค่าใช้จ่ายที่ต่างกันไป ซึ่งต้องนำไปคำนวณอีกที ได้แก่
- เงินได้ประเภทที่ 1 (เงินได้จากการจ้างแรงงาน เช่น เงินเดือน โบนัส ค่าคอมมิชชัน เบี้ยเลี้ยง บำเหน็จ บำนาญ) : หัก 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
- เงินได้ประเภทที่ 2 (เงินได้จากตำแหน่งงานที่ทำ หรือการรับทำงานให้ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า เบี้ยประชุม ฟรีแลนซ์) : หัก 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
- เงินได้ประเภทที่ 3 (ค่าลิขสิทธิ์) : หัก 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท หรือ หักเฉพาะค่าสิทธิ
- เงินได้ประเภทที่ 4 (ดอกเบี้ย, เงินปันผล) : หักค่าใช้จ่ายไม่ได้
- เงินได้ประเภทที่ 5 (ค่าเช่า) : หักค่าใช้จ่ายได้ 10-30% หรือหักตามจริง
- เงินได้ประเภทที่ 6 (ค่าวิชาชีพอิสระ) : แพทย์ประกอบโรคศิลปะ หักค่าใช้จ่ายได้ 60% หรือตามจริง ส่วนอาชีพนักกฎหมาย, วิศวกร, สถาปนิก, นักบัญชี และช่างประณีตศิลป์ หักค่าใช้จ่ายได้ 30% หรือหักตามจริง
- เงินได้ประเภทที่ 7 (ค่ารับเหมาทั้งค่าแรงและค่าของ) : หักค่าใช้จ่ายได้ 60% หรือหักตามจริง
- เงินได้ประเภทที่ 8 (อื่น ๆ) : หักค่าใช้จ่ายได้ 60% (เฉพาะกิจการ 43 ประเภท) หรือหักตามจริง
- เงินได้ประเภทที่ 4 (ดอกเบี้ย, เงินปันผล) : หักค่าใช้จ่ายไม่ได้
- เงินได้ประเภทที่ 5 (ค่าเช่า) : หักค่าใช้จ่ายได้ 10-30% หรือหักตามจริง
- เงินได้ประเภทที่ 6 (ค่าวิชาชีพอิสระ) : แพทย์ประกอบโรคศิลปะ หักค่าใช้จ่ายได้ 60% หรือตามจริง ส่วนอาชีพนักกฎหมาย, วิศวกร, สถาปนิก, นักบัญชี และช่างประณีตศิลป์ หักค่าใช้จ่ายได้ 30% หรือหักตามจริง
- เงินได้ประเภทที่ 7 (ค่ารับเหมาทั้งค่าแรงและค่าของ) : หักค่าใช้จ่ายได้ 60% หรือหักตามจริง
- เงินได้ประเภทที่ 8 (อื่น ๆ) : หักค่าใช้จ่ายได้ 60% (เฉพาะกิจการ 43 ประเภท) หรือหักตามจริง
และหากมีเงินได้ประเภทอื่น ๆ นอกจากเงินได้ประเภทที่ 1 (เงินเดือน โบนัส ค่าคอมมิชชัน เบี้ยเลี้ยง บำเหน็จ บำนาญ) รวมกันเกิน 1 ล้านบาทต่อปี จะต้องลองใช้วิธีคำนวณภาษีแบบเหมา คือ
(เงินได้ทั้งหมด - เงินได้ประเภทที่ 1) x 0.5%
แล้วเปรียบเทียบกันดูว่า
1. วิธีคำนวณภาษีแบบปกติ คือ (รายได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน) x อัตราภาษี
กับ 2. วิธีคำนวณภาษีแบบเหมา คือ (เงินได้ทั้งหมด - เงินได้ประเภทที่ 1) x 0.5%
แบบไหนต้องจ่ายภาษีมากกว่าก็ให้ใช้วิธีนั้นในการคำนวณเพื่อเสียภาษี
อ้อ ! สำหรับใครกำลังจะยื่นภาษีออนไลน์ด้วยตัวเอง เข้าไปดูวิธียื่นได้ที่ ขั้นตอนยื่นภาษีออนไลน์ ด้วยตัวเอง
ตรวจสอบการขอคืนภาษี
หลังจากยื่นเอกสารไปแล้ว 1 วันทำการ สามารถสอบถามข้อมูลการขอคืนภาษี ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91 ได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร สอบถามข้อมูลการขอคืนภาษี
อ่านเพิ่มเติม: 6 วิธี ขอคืนภาษี 2565 แบบได้รับเงินเร็วทันใจ ไม่ต้องรอนาน

ภาพจาก : กรมสรรพากร
* หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2566