เล่นหุ้นเริ่มต้นอย่างไร ใครกำลังเป็นมือใหม่หัดเล่นหุ้น ก่อนลงสนามจริงต้องศึกษาข้อมูลเบื้องต้นไว้ก่อนเลย

รู้จักสักนิด หุ้น คืออะไร
หุ้น (Stock) ก็คือตราสารทุนที่บริษัทนั้นออกและเสนอขายให้ประชาชนทั่วไป เพื่อระดมทุนนำเงินที่ได้ไปลงทุนในกิจการของบริษัทนั้น ทั้งนี้ เมื่อเราลงทุนไปในหุ้นของบริษัทใด เราจะมีฐานะเป็น "เจ้าของกิจการ" ของบริษัทนั้น ถ้าบริษัทดำเนินไปได้ดี เราก็จะได้กำไร แต่ถ้าบริษัทมีปัญหา เราก็ประสบปัญหาขาดทุนได้ นี่ก็คือความเสี่ยงที่ได้จากการลงทุนในหุ้น ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนในรูปแบบอื่น เช่น พันธบัตร หุ้นกู้ แต่ก็เป็นทางเลือกที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงเช่นกัน

ไม่ว่าคุณอยากจะเล่นหุ้นเพื่อเก็งกำไร หรือลงทุนในหุ้นระยะยาว ก่อนจะก้าวเข้าสู่ตลาดหุ้นก็ต้องเริ่มจากขั้นตอนต่อไปนี้
1. เปิดบัญชีหุ้น
การจะเล่นหุ้นได้ ขั้นแรกต้องเปิดบัญชีหุ้นเสียก่อน โดยยื่นเอกสารสมัครได้ที่บริษัทหลักทรัพย์ หรือที่นักลงทุนเรียกว่า "โบรกเกอร์" (Broker) ซึ่งมีอยู่หลายบริษัทให้เลือก (ตรวจสอบบริษัทหลักทรัพย์ทั้งหมดได้ที่นี่)
แต่ถ้าใครมีบัญชีเงินเดือนอยู่ธนาคารไหน สามารถเข้าไปสมัครที่ธนาคารสาขาต่าง ๆ ได้เลย แล้วธนาคารจะส่งเรื่องต่อไปยังบริษัทหลักทรัพย์ของตนเองอีกที เช่น บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ของธนาคารกรุงเทพ, บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ของธนาคารกรุงศรีฯ
นอกจากนี้ บางธนาคารยังสามารถสมัครทางออนไลน์ได้เลย เช่น บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ของธนาคารกสิกรไทย ฯลฯ ที่แค่กรอกข้อมูลและส่งเอกสารผ่านทางออนไลน์ก็สามารถเปิดบัญชีได้ โดยไม่ต้องไปสมัครถึงธนาคาร หรือของบริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด ก็สามารถเปิดบัญชีผ่านทางเว็บไซต์ได้เลยโดยไม่ต้องใช้เอกสารใด ๆ
สำหรับเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการสมัคร ทั่ว ๆ ไปก็คือ
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- สำเนาใบแจ้งรายการบัญชีผ่านธนาคาร หรือสำเนาสมุดคู่ฝากบัญชีออมทรัพย์ย้อนหลัง 6 เดือน
- ค่าอากรแสตมป์ 30 บาท
อย่างไรก็ตาม ควรติดต่อสอบถามจากบริษัทหลักทรัพย์ที่คุณจะสมัครอีกครั้ง เพราะแต่ละแห่งเรียกขอเอกสารไม่เหมือนกัน และที่ต้องรู้อีกข้อก็คือ ผู้ที่จะเปิดบัญชีหุ้นได้ต้องมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปเท่านั้น ถ้าอายุต่ำกว่า 18 ปี ต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองก่อน
สำหรับการเลือกโบรกเกอร์นั้น บางบริษัทอาจคิดค่าธรรมเนียมขั้นต่ำในการเทรดแต่ละครั้ง หรือบางแห่งอาจมีเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้เรามากกว่า ดังนั้นต้องลองศึกษาให้ดีก่อนเปิดบัญชี
2. เลือกให้ดีจะเปิดบัญชีแบบไหน
ในการเปิดบัญชีซื้อ-ขายหุ้นนั้น เราต้องเลือกด้วยว่าจะเปิดบัญชีแบบบัญชีเงินสด (Cash Account), บัญชีเงินฝาก (Cash Balance) หรือบัญชีเงินกู้ยืม (Credit Balance Account) ซึ่งแต่ละบัญชีแตกต่างกันตามนี้



3. ศึกษาโปรแกรม Streaming Pro สำหรับเล่นหุ้น
เมื่อได้รับอนุมัติเปิดบัญชีแล้ว เราจะได้เลขที่บัญชี และรหัสผ่านเพื่อล็อกอินเข้าไปในหน้าเว็บของโบรกเกอร์ เมื่อเข้าไปแล้วเราจะรู้จักกับโปรแกรมที่ชื่อว่า Streaming Pro ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ให้เราใช้ส่งคำสั่งซื้อ-ขายเรียลไทม์ สามารถใช้เองได้ไม่ยากเลย โดยใช้ได้ทั้งทาง PC หรือโหลดแอปพลิเคชันลงในสมาร์ทโฟน (ศึกษาวิธีการใช้ได้ที่ settrade.com)

ภาพจาก settrade.com
*หมายเหตุ : บางโบรกเกอร์อาจใช้โปรแกรมอื่น ๆ นอกเหนือจาก Streming Pro แนะนำให้ศึกษาการใช้งานของโปรแกรมนั้น ๆ ให้เข้าใจก่อนเล่นหุ้นจริง ๆ
ในโปรแกรมจะมีคำศัพท์ภาษาอังกฤษอยู่หลายตัว แต่ศัพท์สำคัญที่เราจำเป็นต้องรู้ เพื่อใช้ในการส่งคำสั่งซื้อ-ขายหุ้นก็คือ
- Market จะเป็นส่วนแสดงข้อมูลภาพรวมของตลาดแบบเรียลไทม์
- Portfolio ส่วนแสดงพอร์ตการลงทุนของเรา ว่าได้กำไรหรือขาดทุนเท่าไร
- Account No. คือ หมายเลขบัญชีของเรา
- Credit Line คือ วงเงินอนุมัติจากทางบริษัท เราจะสามารถซื้อหุ้นได้ไม่เกินมูลค่า Credit ที่ปรากฏ
- Line Available คือ อำนาจซื้อที่แท้จริง ณ ขณะนั้น ๆ หมายถึงเราสามารถซื้อหุ้นได้เพิ่มเติมอีกไม่เกินมูลค่า Line ที่ปรากฏ เช่น หากโอนเงินเข้าบัญชี 10,000 บาท มูลค่า Line ตั้งต้นจะเท่ากับ 10,000 บาท เมื่อเราสั่งซื้อหุ้นไป 3,000 บาท มูลค่า Line จะถูกหักออก 3,000 บาท เท่ากับเรามีอำนาจซื้อเพิ่มเติมได้อีกไม่เกิน 7,000 บาท
- Cash คือ มูลค่าเงินสดที่อยู่ในบัญชีของเรา ณ ขณะนั้น ซึ่งมูลค่านี้จะไม่อัพเดทแบบเรียลไทม์ เพราะกระบวนการชำระราคาในการซื้อ-ขายหุ้นจะใช้เวลา 2 วันหลังการซื้อ-ขาย (T+2) ดังนั้น หากซื้อหุ้นวันนี้ 20,000 บาท มูลค่า Cash จะยังไม่ปรับลดลงทันที แต่จะลดลงในวันที่ 2 หลังวันทำการ (T+2)
(หมายเหตุ : เดิมตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดให้เป็น T+3 ต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนเป็น T+2 โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2561 เป็นต้นไป)
ทั้งนี้ หากต้องการถอนเงินจากบัญชีหุ้น โดยโอนกลับเข้าบัญชีเงินเดือน ต้องรอให้ช่อง Cash อัพเดทเท่ากับ Line Available เสียก่อน จึงจะทำการถอนตามจำนวนที่ขายหุ้นออกไปได้ และเพื่อความสะดวกในช่วงเริ่มต้น แนะนำให้ใช้ บลจ.ธนาคารเดียวกับบัญชีเงินเดือนของคุณ จะสามารถระบุให้โอนเข้าบัญชีออนไลน์ได้ทันที
- T+2 คือ วันทำการที่ 2 นับจากวันซื้อ-ขายหลักทรัพย์ โดยไม่นับรวมวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดของสถาบันการเงินตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น หากซื้อหุ้นวันศุกร์ ให้นับไปอีก 2 วันทำการ เงินจะตัดจากบัญชีในวันอังคาร เช่นเดียวกับการขายหุ้น เงินจะเข้าบัญชีในอีก 2 วันทำการเช่นกัน
ทั้งนี้ หากเป็น T+1, T+3 หรือตัวเลขอื่น ๆ ที่มักใช้ในการซื้อ-ขายกองทุน ตัวเลขด้านหลังก็คือกี่วันทำการนั้น ๆ เหมือนกับ T+2
- Volume คือ ปริมาณของหุ้นที่ซื้อ-ขาย หรืออธิบายง่าย ๆ ก็คือ จำนวนหุ้นที่ซื้อ-ขายกันในวันนั้น
- Value คือ มูลค่าการซื้อ-ขายของหุ้น หรือ ในวันนั้นมีการซื้อ-ขายเป็นเงินเท่าไร
- Buy คือ ต้องการซื้อหุ้นเข้า Port ของเรา
- Sell คือ ต้องการขายหุ้นของเราออกไป
- Opened หรือ Queuing (SX) คือ คำสั่งซื้อ-ขายที่รอการจับคู่ หรือมีการจับคู่ได้บางส่วนแต่ยังจับคู่ได้ไม่หมด
- Matched คือ คำสั่งซื้อ-ขายได้รับการจับคู่แล้ว
- Approved คือ คำสั่งซื้อ-ขายที่ไม่อนุมัติ อาจเกิดจากจำนวนเงินไม่เพียงพอในการซื้อ-ขาย
- Bid คือ ราคาเสนอซื้อเข้ามาสูงสุด ณ ขณะนั้น
- Offer คือ ราคาเสนอขายเข้ามาสูงสุด ณ ขณะนั้น
เพื่อให้เข้าใจคำว่า Bid และ Offer ลองมาดูตัวอย่างกัน

หุ้น KTB (ธนาคารกรุงไทย)
Bid คือราคาที่เสนอซื้อเข้ามาสูงสุด ณ ขณะนั้น โดยราคาสูงสุดอยู่ที่ 22.00 บาท มีคนรอซื้อราคา อยู่จำนวน 2,236,700 หุ้น (ตรงช่อง Volume) ส่วนคนที่รอซื้อราคา 21.90 บาท มีอยู่ 5,207,900 หุ้น
หากเราต้องการซื้อหุ้น KTB ที่ราคา 22.00 บาท เมื่อเราเคาะราคาไป เราจะยังไม่ได้หุ้นในทันที เราต้องรอให้คนที่เสนอซื้อ 2,236,700 หุ้นก่อนหน้าเรา ซื้อได้หมดก่อน จึงจะถึงคิวของเรา
* ข้อสังเกต เมื่อส่งคำสั่งซื้อ จะมีคำว่า Queuing ในขั้นตอนนี้หากส่งคำสั่งผิด สามารถ Cancel ได้ แต่หากมีคำว่า Match แล้วแสดงว่าคุณได้หุ้นตัวนั้นเรียบร้อยแล้ว ยกเลิกไม่ได้
ส่วน Offer ราคาเสนอขายที่สูงสุด ณ ขณะนั้น อยู่ที่ 22.10 บาท มีคนรอขายจำนวน 8,532,700 หุ้น ส่วนราคา 22.20 บาท จำนวน 9,395,000 หุ้น ไล่เรียงกันไป
ทั้งนี้ หากเราไม่อยากรอคิวซื้อที่ราคา 22.00 บาท เราอาจจะเสนอซื้อที่ราคา 22.10 บาท ซึ่งจะทำให้เราได้หุ้นทันที เพราะมีคนเสนอขายเราที่ราคา 22.10 บาทอยู่แล้ว จำนวน 8,532,700 หุ้น
สำหรับตัวหนังสือที่เป็นสีต่าง ๆ นั้นคือ
- สีเขียว แสดงว่าราคานั้นสูงกว่าราคาหุ้นที่ปิดตลาดเมื่อวาน
- สีแดง แสดงว่าราคานั้นต่ำกว่าราคาหุ้นที่ปิดตลาดเมื่อวาน
- สีเหลือง แสดงว่าราคานั้นเท่ากับราคาหุ้นที่ปิดตลาดเมื่อวาน
ในที่นี้ หุ้น KTB ณ ขณะนี้ราคา 22.00 บาท บวกเพิ่มจากราคาปิดเมื่อวาน 0.20 บาท แสดงว่าเมื่อวานราคาปิดอยู่ที่ 21.80 บาท Volume คือ ปริมาณการซื้อ-ขายในขณะนี้ อยู่ที่ 50,353,400 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า (Value) 1,109,668 ล้านบาท

5. โอนเงินเข้าบัญชีเพื่อเตรียมซื้อหุ้น
สำหรับมือใหม่ อาจทดลองเล่นหุ้นด้วยเงินจำนวนไม่มากก่อน ซึ่งขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท ก็สามารถเล่นหุ้นได้ (โปรดตรวจสอบกับแต่ละบริษัทหลักทรัพย์ที่คุณสมัครก่อนอีกครั้ง ซึ่งเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่า "โบรกเกอร์")
จากนั้นทำตามขั้นตอนนี้
5.1 โอนเงินเข้าบัญชีโบรกเกอร์ (ตรวจสอบเลขที่บัญชีได้จากโบรกเกอร์ที่สมัครไว้)
5.2 เมื่อโอนเงินแล้วจะต้องแจ้งวันเวลาที่โอนเงิน จำนวนเงินที่โอนกับโบรกเกอร์ โดยสามารถโทรศัพท์แจ้งกับเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์) ของโบรกเกอร์นั้น หรือแจ้งทางระบบอินเทอร์เน็ตก็ได้ (ขึ้นอยู่กับระบบของแต่ละโบรกเกอร์เอง)
5.3 ตรวจสอบยอดเงินในโปรแกรม Streaming Pro ว่ายอดเงินตรงกับที่เราโอนเข้าไปหรือไม่

ถ้าเราคิดว่าตัวเองพร้อมแล้ว อยากลองเสี่ยงดู ก็เริ่มซื้อ-ขายหุ้นได้เลย โดยอาจเลือกซื้อ-ขายหุ้นในราคาต่ำ ๆ เช่น 1-5 บาท และปริมาณน้อย ๆ ก่อน โดยขั้นต่ำของการซื้อหุ้นแต่ละครั้งคือ 100 หุ้น เพื่อทดลองลงทุนดู แต่ถ้าใครยังกลัว ๆ ไม่กล้าเสี่ยง ก็ควรศึกษาปัจจัยต่าง ๆ หาความรู้ก่อนลงทุนจริง
อย่างไรก็ตาม หากใครยังจับจังหวะการซื้อ-ขายไม่ถูก ไม่แน่ใจว่าควรซื้อช่วงไหนดี ก็สามารถใช้วิธีการซื้อเฉลี่ยแบบ DCA (dollar-cost averaging) คือการถัวเฉลี่ยต้นทุน โดยสามารถตั้งคำสั่งซื้อแบบรายเดือนหรือรายสัปดาห์ก็ได้ในโปรแกรม Streaming Pro แล้วระบบจะช่วยซื้อหุ้นให้เราอัตโนมัติตามระยะเวลาที่เราต้องการ
ข้อดีของการ DCA จะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนได้ เพราะไม่ต้องคำนึงถึงภาวะตลาดและจังหวะในการเข้าซื้อ แนวคิดนี้จะทำให้เราซื้อหุ้นได้จำนวนมากขึ้นเมื่อราคาลดลง และซื้อหุ้นได้จำนวนน้อยลงเมื่อราคาสูงขึ้น ซึ่งทำให้ต้นทุนเฉลี่ยของพอร์ตลดลง
และนี่ก็คือภาพรวมของการเล่นหุ้น ซึ่งไม่ยากอย่างที่คิด ขั้นต่อไปก็ถึงเวลาเติมความรู้ให้ตัวเองมากขึ้น ติดตามข่าวสารทั้งในและต่างประเทศ ทั้งเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่อาจมากระทบต่อตลาดหุ้นในบ้านเราได้
นอกจากนี้ ยังสามารถหาความรู้เพิ่มเติมเรื่องการเล่นหุ้นได้จากบทความข้างล่างนี้
- เล่นหุ้นเอง VS ซื้อกองทุนรวมหุ้น ชี้ชัด ๆ ทางเลือกไหนใช่สำหรับคุณ
- 3 สาเหตุที่ลงทุนในหุ้นแล้วไม่รวย ได้กำไรน้อย ขาดทุนเยอะ
- 5 วิธีเจ๋ง ๆ ทำเงินด้วยหุ้นแบบวอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีระดับโลก
- หุ้นผันผวนขนาดนี้ จัดพอร์ตยังไงดี
***หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2562