เมื่อมีการจัดพอร์ตการลงทุนแล้วควรมีการติดตามดูแลพอร์ต เพื่อให้สัดส่วนการลงทุนเป็นไปตามที่กำหนดไว้
การลงทุนแบบจัดพอร์ตการลงทุน (Asset Allocation) คือการแบ่งเงินไปลงทุนในสินทรัพย์การลงทุนต่าง ๆ ตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เช่น หากรับความเสี่ยงได้สูง สามารถแบ่งเงินในสัดส่วนที่มากหน่อยเพื่อมาลงทุนในหุ้น แต่หากรับความเสี่ยงได้ไม่มาก ก็ควรกระจายเงินมาเน้นลงทุนในตราสารหนี้อย่างพันธบัตร หุ้นกู้ หรือเงินฝาก แทนการลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว วิธีนี้จะช่วยให้เราลงทุนในสไตล์ที่เหมาะกับตัวเองมากยิ่งขึ้น แถมช่วยลดอาการกินไม่ได้ นอนไม่หลับ เมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลงแรงอีกด้วย
เราควรจัดพอร์ตการลงทุนอย่างไร K-Expert ได้ออกแบบพอร์ตการลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ 3 แบบด้วยกันคือ สูง กลาง และต่ำ โดยมีรายละเอียดตามตารางด้านล่างนี้ค่ะ
สำหรับใครที่ยังไม่ทราบว่าตัวเองรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน แนะนำให้ทำแบบสอบถามเพื่อประเมินระดับความเสี่ยงในการลงทุนที่เหมาะสม (Customer Risk Profile) ของตัวเองได้ที่ธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หรือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เพื่อให้ทราบระดับความเสี่ยงที่เรารับได้ก่อนตัดสินใจลงทุนค่ะ
เมื่อทราบระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และได้จัดสรรเงินลงทุนตามพอร์ตการลงทุนไปแล้ว ก็ควรติดตามดูแลพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่า สัดส่วนการลงทุนของเราไม่ต่างจากสัดส่วนที่ตั้งใจลงทุนไว้ในตอนแรก
เช่น ถ้ารับความเสี่ยงได้สูง ซึ่งกำหนดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยไว้ที่ 40% ต่อมา หากตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้น ทำให้สัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยสูงขึ้นเป็น 50% แบบนี้เราต้องมีวินัยที่จะขายทำกำไรหุ้นไทยออกไปแล้วอาจนำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้หรือเงินฝาก เพื่อให้สัดส่วนในหุ้นไทยกลับมาสู่ระดับ 40% ตามที่กำหนดไว้ค่ะ หากใครกังวลว่า ตัวเองไม่มีเวลามาคอยปรับพอร์ตอยู่เรื่อย ๆ การลงทุนในกองทุนผสมที่มีการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับพอร์ตที่ได้แนะนำไว้ ถือเป็นตัวเลือกหนึ่งในการลงทุนที่น่าสนใจค่ะ
K-Expert Action
- ทำแบบสอบถามเพื่อประเมินระดับความเสี่ยงในการลงทุนที่เหมาะสมเพื่อให้ทราบว่า ควรจัดสรรเงินลงทุนอย่างไร
- กันเงินไว้เป็นสภาพคล่องเผื่อฉุกเฉิน 6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือนก่อนลงทุน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมานี้ ต้องยอมรับว่า
การลงทุนในหุ้นไทยทำกำไรได้ไม่ง่ายนัก เนื่องจากมีปัจจัยต่าง ๆ
มากมายที่มากระทบตลาดหุ้นไทย ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง
หรือภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ฯลฯ
เมื่อเจอภาวะแบบนี้หลายคนถึงขั้นกินไม่ได้ นอนไม่หลับ
เพราะหุ้นที่ตัวเองถืออยู่ราคาปรับตัวลงไปเรื่อย ๆ ครั้นจะคัทลอสก็ไม่กล้า
กลัวขายไปแล้ว ราคาจะปรับขึ้นมา หรือจะซื้อถัวก็กลัวว่า
ถ้าซื้อแล้วราคาจะลงต่อไปอีก หากใครมีอาการแบบนี้อาจจะไม่เหมาะกับการลงทุนในหุ้นสักเท่าไร
เพราะยังรับกับราคาหุ้นที่ขึ้นลงผันผวนไม่ค่อยได้ แล้วเราควรลงทุนแบบไหนดี
K-Expert ขอแนะนำการลงทุนแบบจัดพอร์ต ซึ่งเป็นอย่างไรนั้น มาดูกันค่ะ
การลงทุนแบบจัดพอร์ตการลงทุน (Asset Allocation) คือการแบ่งเงินไปลงทุนในสินทรัพย์การลงทุนต่าง ๆ ตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เช่น หากรับความเสี่ยงได้สูง สามารถแบ่งเงินในสัดส่วนที่มากหน่อยเพื่อมาลงทุนในหุ้น แต่หากรับความเสี่ยงได้ไม่มาก ก็ควรกระจายเงินมาเน้นลงทุนในตราสารหนี้อย่างพันธบัตร หุ้นกู้ หรือเงินฝาก แทนการลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว วิธีนี้จะช่วยให้เราลงทุนในสไตล์ที่เหมาะกับตัวเองมากยิ่งขึ้น แถมช่วยลดอาการกินไม่ได้ นอนไม่หลับ เมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลงแรงอีกด้วย
เราควรจัดพอร์ตการลงทุนอย่างไร K-Expert ได้ออกแบบพอร์ตการลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ 3 แบบด้วยกันคือ สูง กลาง และต่ำ โดยมีรายละเอียดตามตารางด้านล่างนี้ค่ะ
ระดับความเสี่ยง |
หุ้นไทย |
หุ้นต่างประเทศ |
ตราสารหนี้ไทย |
ตราสารหนี้ต่างประเทศ |
สูง | 40% | 15% | 30% | 15% |
กลาง | 20% |
10% |
50% |
20% |
ต่ำ | 0% | 0% | 80% | 20% |
สำหรับใครที่ยังไม่ทราบว่าตัวเองรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน แนะนำให้ทำแบบสอบถามเพื่อประเมินระดับความเสี่ยงในการลงทุนที่เหมาะสม (Customer Risk Profile) ของตัวเองได้ที่ธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หรือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เพื่อให้ทราบระดับความเสี่ยงที่เรารับได้ก่อนตัดสินใจลงทุนค่ะ
เมื่อทราบระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และได้จัดสรรเงินลงทุนตามพอร์ตการลงทุนไปแล้ว ก็ควรติดตามดูแลพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่า สัดส่วนการลงทุนของเราไม่ต่างจากสัดส่วนที่ตั้งใจลงทุนไว้ในตอนแรก
เช่น ถ้ารับความเสี่ยงได้สูง ซึ่งกำหนดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยไว้ที่ 40% ต่อมา หากตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้น ทำให้สัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยสูงขึ้นเป็น 50% แบบนี้เราต้องมีวินัยที่จะขายทำกำไรหุ้นไทยออกไปแล้วอาจนำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้หรือเงินฝาก เพื่อให้สัดส่วนในหุ้นไทยกลับมาสู่ระดับ 40% ตามที่กำหนดไว้ค่ะ หากใครกังวลว่า ตัวเองไม่มีเวลามาคอยปรับพอร์ตอยู่เรื่อย ๆ การลงทุนในกองทุนผสมที่มีการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับพอร์ตที่ได้แนะนำไว้ ถือเป็นตัวเลือกหนึ่งในการลงทุนที่น่าสนใจค่ะ
อ่านเพิ่มเติม ข่าวหุ้นวันนี้ <<การลงทุนที่น่าสนใจได้ที่นี่
หวังว่า
การจัดพอร์ตการลงทุนที่แนะนำข้างต้นจะช่วยให้ทุกคนสามารถลงทุนได้ตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
และได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้นนะคะ และที่สำคัญ
เงินลงทุนที่ตั้งใจจะนำมาจัดพอร์ตการลงทุนนั้น
ควรเป็นเงินเย็นที่ยังไม่มีแผนจะใช้ทำอะไรอย่างน้อยในช่วง 5 ปีข้างหน้านี้
เพื่อให้สามารถลงทุนได้ยาว ๆ
และได้รับผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องในอนาคตค่ะ
K-Expert Action
- ทำแบบสอบถามเพื่อประเมินระดับความเสี่ยงในการลงทุนที่เหมาะสมเพื่อให้ทราบว่า ควรจัดสรรเงินลงทุนอย่างไร
- กันเงินไว้เป็นสภาพคล่องเผื่อฉุกเฉิน 6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือนก่อนลงทุน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก