ไปพบกับอาชีพออนไลน์ที่มีอยู่จริง และได้เงินจริง ๆ ไม่ต้องมีทุน และแทบไม่ต้องออกแรง เพียงแค่มีเวลานิดหน่อย ก็มีรายได้เสริมเพิ่มชนิดที่อาจรวยไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็เป็นไปได้
แม้โลกจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปเท่าไร หรือเศรษฐกิจจะดีหรือจะแย่แค่ไหน ถ้าคนเราไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ยังไงก็มีทางออกเสมอ เหมือนกับบุคคลที่ร่ำรวยระดับโลกไงครับ คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมเวลาที่เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำมาก ๆ แต่พวกเค้าก็ยังไม่หมดเนื้อหมดตัว ใช่ครับ สิ่งหนึ่งที่มหาเศรษฐีเหล่านี้มีกันก็คือวิสัยทัศน์
ถามว่าแล้ววิสัยทัศน์เกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร ก็เพราะบรรดามหาเศรษฐีเหล่านี้รู้จักมองโลก มองเศรษฐกิจไงครับ พวกเขารู้ดีว่าธุรกิจที่ตัวเองทำมีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน แล้วอะไรคือวิธีการป้องกันในกรณีที่ถึงจุดตกต่ำที่สุด ใช่ครับ...พวกเขาไม่เคยลำบากชนิดเข้าตาจน เพราะทุกปัญหามีทางออกเสมอ และถึงแม้ ณ ขณะนี้ เศรษฐกิจโลกจะไม่ดีเอาซะเลย แต่ถ้าคนเรารู้จักพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส และกล้าที่จะลงมือทำ ก็จะเห็นว่าช่องทางทำมาหากินในโลกนี้มีอีกมาก
การหารายได้เสริมออนไลน์เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ง่ายครับ แต่ไม่รับประกันความสำเร็จ เพราะอันนี้ต้องขึ้นอยู่กับเทคนิคการทำการตลาด เทคนิคการขาย การทำแบรนด์ดิ้งของแต่ละบุคคล แต่เราจะพูดถึงคือบนโลกออนไลน์ทุกคนมีต้นทุนเท่ากัน บนโลกออนไลน์เปรียบเสมือนตลาดครับ แต่เป็นตลาดที่ใหญ่ ใครจะมาจับจองพื้นที่ก็ได้ ขายอะไรก็ได้ และที่สำคัญมันฟรีและเป็นสากลเอามาก ๆ เลย คุณจะเห็นได้ว่าคนทุกวันนี้เล่นอินเทอร์เน็ตเยอะกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วมาก คิดดูว่าทุกวันนี้เด็กประถมก็ยืนถือแท็บเล็ตเล่นอินเทอร์เน็ต ดู Youtube กันแล้ว แล้วจะไม่ให้คนหัวการค้ามองมันเป็นธุรกิจได้อย่างไร
ทีนี้เรามาเข้าเรื่องดีกว่า วันนี้กระปุกดอทคอมจะมาแนะนำอาชีพออนไลน์ที่น่าสนใจที่คัดเน้น ๆ เนื้อ ๆ รับรองเด็ดจริง เพราะนอกจากจะเสรีแล้ว ยังไม่ต้องมีทุน ขอแค่มี 1 สมอง (ไอเดีย) กับ 2 มือ (เอาไว้คลิกรับตังค์) ก็สามารถประกอบอาชีพออนไลน์ได้แล้ว อยากรู้ว่ามีอาชีพอะไรบ้าง งั้นไปดูกัน
ภาพจาก google
ปัจจุบัน Google ไม่ได้เป็นเพียงแค่ Search Engine หรือเครื่องมือค้นหาคำอีกต่อไป เพราะปัจจุบัน Google มีแคมเปญที่มีชื่อว่า Google Adsense โดยแคมเปญนี้จะอนุญาตให้ผู้ที่มีเว็บไซต์หรือบล็อกเป็นของตัวเอง สมัครเป็นผู้เผยแพร่โฆษณาให้กับ Google โดยใช้พื้นที่บนเว็บไซต์ของตนเองในการเผยแพร่ โดยเงินที่ Google นำมาจ่ายให้กับเว็บหรือบล็อกเกอร์ก็มาจากผู้ที่จ่ายค่าโฆษณาให้กับ Google Adwords (การทำโฆษณาบนเว็บไซต์ Google) ซึ่งเงื่อนไขที่ทางเว็บไซต์จะได้นั้นจะมีทั้งการแสดงโฆษณาครบ 1,000 ครั้ง หรือการคลิกที่ตัวโฆษณา ซึ่งบางเว็บไซต์อาจมีรายได้ถึง 1,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือนก็มี
สำหรับใครที่สนใจอยากรู้ว่าสมัครยังไง หรือต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมก็สามารถเข้าไปที่ Google Adsense
Youtube
Youtube คือเว็บไซต์ที่มีผู้ใช้บริการในการรับชมวิดีโอมากเป็นอันดับที่ 1 ของโลก คนเข้าเว็บ Youtube วันหนึ่งเป็นหลายร้อยล้านคน ถามว่า Youtube เป็นแหล่งหาเงินยังไง คำตอบก็คือ เมื่อไม่นานมานี้ Youtube ได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีช่องหรือ Channel บน Youtube สามารถหารายได้เพิ่มขึ้นนอกเหนือไปจาการมีแถบโฆษณามาแปะอยู่ด้านล่างวิดีโอ ซึ่งช่องทางการหารายได้เพิ่มตรงนี้มีชื่อว่า Youtube Partner โดยเป็นการอนุญาตให้โฆษณาปรากฎขึ้นบนวิดีโอของเจ้าของ Channel นั่นเอง โดยรายได้นั้นจะขึ้นอยู่กับจำนวนการรับชม หรือการกดคลิกบนโฆษณา
สำหรับใครที่มีความสามารถหรือไอเดียในการทำคลิปวิดีโอเจ๋ง ๆ ก็อย่ารอช้า เพราะรายได้จากการโฆษณาอาจเป็นของคุณก็ได้ เข้าไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Youtube Partner ได้ที่ Youtube Partner
ทุกวันนี้ผู้คนบางกลุ่มมีรายได้จากการทำธุรกิจผ่านทาง Facebook เป็นกอบเป็นกำ ไม่ว่าจะเป็นการขายของผ่าน Facebook หรือรายได้จากโฆษณา ส่วนที่จะมาพูดถึงกันในวันนี้คือการสร้าง Fanpage
หลายคนรู้จัก Fanpage ใน Facebook เป็นอย่างดี แล้วก็มีคนที่ทำแฟนเพจจนโด่งดังและมีคนติดตามเป็นแสนเป็นล้าน เช่น ตัน ภาสกรนที, พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี), YouLike, คนอะไรเป็นแฟนหมี และอีกมากมายที่ดังเป็นพลุแตกเพราะมีคอนเทนท์ที่น่าสนใจ
การหารายได้จากวิธีนี้จะเป็นการรับโฆษณาเสียส่วนใหญ่ ซึ่งราคาต่อครั้งนั้นขึ้นอยู่กับจำนวนผู้กดถูกใจเพจ ถ้าคนกดไลค์เพจมากก็มีสิทธิที่คนจะเห็นโฆษณาได้มาก ซึ่งประเภทของโฆษณาสินค้าก็ควรจะสอดคล้องกับแนวทางของเพจด้วย เพื่อให้เพจไม่สูญเสียความเป็นตัวตนและฐานแฟนคลับของเพจไป
นอกจากจากการรับโพสต์โฆษณาต่าง ๆ แล้ว ทุกวันนี้ยังมีการซื้อขายเพจ เปลี่ยนมือคนดูแลเพจกันอีกด้วย ซึ่งจะมองว่าเป็นเรื่องของคนดูแลเพจที่ไม่มีเวลาก็ได้ หรือจะมองว่าเป็นเรื่องของธุรกิจก็ได้ เพราะเมื่อซื้อขายเพจแล้วเจ้าของเพจก็จะได้เป็นเงินก้อนมา ซึ่งราคาก็นับว่าสูงทีเดียว ทั้งนี้ราคาก็ขึ้นอยู่กับจำนวนคนกดไลค์เพจนั่นแหละครับ
Line
แอพพลิเคชั่น Line ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงจากบรรดาผู้ใช้งาน (โดยเฉพาะในประเทศไทย) โดยสิ่งที่เป็นจุดขายอย่างหนึ่งของ Line ก็คือ สติ๊กเกอร์ !
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ถ้าหากเล่นไลน์ก็คงจะได้เห็นสติ๊กเกอร์ตัวการ์ตูนชื่อดัง หรืออวตารของบุคคลที่มีชื่อเสียงไปปรากฎอยู่บนหน้าจอมือถือของคุณอยู่ จากที่เมื่อก่อนเราจะเห็นแค่สติ๊กเกอร์ที่ทาง Line แถมมา หรือออกแบบแล้ววางขายเอง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าในบางครั้งเราไม่สามารถส่งสติ๊กเกอร์แทนทุกความรู้สึกได้ทั้งหมด เมื่อทางบริษัท Line ทราบแบบนี้แล้วจึงเปิดโอกาสให้คนทั่วไปสามารถออกแบบสติ๊กเกอร์มาวางขายเองได้ เริ่มตั้งแต่ในปี 2557 ที่ผ่านมา โดยได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากบรรดา Ilustrator ทั้งหลาย ที่บรรจงแต่งแต้มความคิดสร้างสรรค์ผ่านสติ๊กเกอร์ไลน์
โดยโปรเจคท์ที่ทาง Line เปิดให้คนทั่วไปเรามาร่วมครีเอทสติ๊กเกอร์มีชื่อว่า Line Creator Market โดยราคาขายสติ๊กเกอร์ที่เราออกแบบเองนั้นอยู่ที่ 30 บาท และทางบริษัท Line จะแบ่งกำไรไป 50% ของราคาขาย ซึ่งหลังจากสติ๊กเกอร์ที่เราออกแบบได้ถูกนำออกจำหน่าย เราก็เพียงแค่รอว่าจะมีคนดาวน์โหลดมากน้อยแค่ไหน นี่ก็เปรียบเหมือนรายได้แบบ Passive Income เหมือนกันนะครับ ซึ่งถ้าใครมีความสามารถทางด้านศิลปะผสมผสานกับการออกแบบการทำสติ๊กเกอร์ Line ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจเหมือนกันนะครับ
Dropship
Dropship คือ การนำสินค้าของคนอื่นมาขาย โดยเราสามารถบวกกำไรเข้าไปอยู่ในตัวสินค้านั้น ๆ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องส่งสินค้าหรือประกันสินค้าใด ๆ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ เราเป็นตัวกลาง โดยนำสินค้าของโรงงานไปขายนั่นเอง
ขั้นตอนในการทำ Dropship ก็ไม่ยาก เริ่มต้นด้วยการค้นหาสินค้า ซึ่งเราอาจจะไปขอถ่ายรูปจากสินค้าจริง ๆ มาลง แล้วก็หาลูกค้า ทีนี้พอลูกค้าสนใจ ลูกค้าก็จะโอนเงินมาให้เรา (ในราคาที่เรากำหนด) ทีนี้เราก็แจ้งไปยังผู้ขายหรือผู้ผลิตสินค้าให้ทำการส่งสินค้าอีกที เท่านี้เราก็จะได้เงินแบบง่าย ๆ สบาย ๆ ไม่ต้องลงทุนอะไร แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือราคาสินค้า เนื่องจากว่าราคาสินค้าที่เราตั้งนั้นบวกกำไรเข้าไป (เชื่อว่าบางทีก็ไม่น้อย) ดังนั้นสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญคือคุณภาพของสินค้าและการจัดส่ง ถ้าสินค้าไม่ดี มีคุณภาพต่ำ หรือการจัดส่งล่าช้า อาจทำให้เราเสียเครดิตได้ง่าย ๆ
ถามว่าตอนนี้เทรนด์ Dropship เป็นอย่างไร บอกได้เลยว่าตอนนี้กำลังฮอตฮิตมาก เพราะผู้จำหน่ายสินค้าต้องการร่วมงาน Dropship มาก ๆ เนื่องจากไม่ต้องไปลงทุนโฆษณาด้วยตัวเอง ไม่ต้องไปหาลูกค้าเอง รอส่งของเพียงอย่างเดียว ซึ่งถ้าธุรกิจเจริญรุ่งเรือง ออเดอร์ก็จะเข้ามาเรื่อย ๆ
ทีนี้ถามว่าเราจะเริ่มต้นการเป็น Dropship อย่างไร
เริ่มแรกเราก็แค่เปิดแฟนเพจหรือเว็บไซต์ขึ้นมาเพื่อให้เป็นหน้าร้านในการโปรโมทสินค้า ยกตัวอย่างเราอาจตั้งราคาขายเสื้อไว้ที่ 300 บาท เมื่อมีผู้สนใจติดต่อเข้ามาซื้อ เราก็รับเงิน และสั่งสินค้าไปยังผู้จำหน่ายสินค้า ซึ่งในกรณีที่เราทำธุรกิจร่วมกับร้านค้า แน่นอนว่าร้านค้าก็จะขายสินค้าให้เราในราคาพิเศษ เช่น เสื้อแบบนี้ให้ราคาเรา (Dropship) ที่ 150 บาท ซึ่งพอมีออเดอร์ไปยังร้านค้า ร้านค้าก็จะจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้า ในนามของร้านเรา เราก็จ่ายค่าเสื้อแค่ 150 บาท ได้กำไรถึง 150 บาทต่อเสื้อ 1 ตัว
Affiliate
Affiliate ยังไม่เป็นที่แพร่หลายในเมืองไทย แต่ก็เป็นทางเลือกที่ดีไม่แพ้การทำ Dropship เช่นกัน
Affiliate คือการที่เราโฆษณา โปรโมทสินค้าของร้านค้า ด้วยวิธีการต่าง ๆ จากนั้นส่งลูกค้าไปยังเว็บไซต์หลักของผู้ขาย หากเกิดการซื้อขายขึ้นจะทำให้เราได้ค่าคอมมิชชั่นจากเจ้าของสินค้า โดยจะมีการแจ้งไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าสินค้าชิ้นนั้นจะได้ค่าคอมฯ คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นของราคาสินค้า
Amazon และ Clickbank เป็น 2 เว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมมากในการทำ Affiliate ถามว่า 2 เจ้านี้แตกต่างกันอย่างไร คำตอบคือ แตกต่างกันในเรื่องของรูปแบบสินค้า ทาง Amazon จะเน้นขายสินค้าทั่วไปแบบจับต้องได้ ส่วน Clickbank จะเน้นสินค้าพวกไอทีเป็นหลักครับ
วิธีการทำ Affiliate ก็ไม่ยากครับ เพียงแค่เราสมัครเป็นสมาชิก Affiliate จากทางเว็บไซต์เสียก่อน เช่น Amazon จากนั้นเราก็เข้าไปหาว่าอยากจะขายสินค้าตัวไหน เมื่อได้สินค้าตามที่ต้องการแล้ว เราก็จะได้ลิงก์ในการโปรโมทสินค้าตัวนั้นมา จากนั้นเราก็อาจจะทำบล็อกหรือเว็บเพจขึ้นมาเพื่อทำการรีวิวสินค้าตัวนั้น จากนั้นก็ใส่ลิงก์ที่ได้มาเข้าไปในการระบุถึงตัวผลิตภัณฑ์ เมื่อมีคนสนใจคลิกเข้าไปดูสินค้าจนเกิดการซื้อขายสินค้าชิ้นนั้น เราก็จะได้ส่วนแบ่งค่าคอมมิชชั่น โดยทางเว็บไซต์จะมีระบบให้เราตรวจสอบว่ามีคนคลิกที่ลิงก์นั้น ๆ แล้วกี่ครั้ง และได้ซื้อสินค้าหรือไม่ ใครที่สนใจสามารถอ่านรายได้เอียดเพิ่มเติมได้จาก Amazon และ Clickbank
E-Book
ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบเขียนหนังสือ การหารายได้เสริมจากงานที่รักก็เป็นคำตอบหนึ่งของชีวิตเช่นกัน ซึ่งรูปแบบการทำ E-Book ก็คือเราเพียงเขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งและนำไปฝากขายที่ตลาดฝากขาย E-Book ตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ซึ่งก็จะมีการตรวจสอบจากเว็บไซต์ว่าเราไม่ได้ไปก็อปของใครมา ใช้เวลาประมาณ 1 - 3 วัน จากนั้นเว็บไซต์ก็จะเริ่มวางขายหนังสือของเราให้ผู้อ่านเข้ามาเลือกซื้อหาหนังสือได้เลยครับ
ในส่วนของรายได้ที่เกิดขึ้นจากการขาย E-Book นั้น จะขึ้นอยู่กับราคาที่เรากำหนดขึ้นครับ อาจจะมีการหักส่วนแบ่งไปบ้างจากเว็บไซต์ ขึ้นอยู่กับแต่ละเว็บไซต์ และยังต้องมีการเสียภาษีอีกด้วยนะครับ แต่ถ้ามองถึงเรื่องความคุ้มค่าก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะเป็นรายได้ระยะยาวครับ เหล่านี้คือเว็บไซต์ตลาด E-Book เช่น EBOOK, MEBMARKET, OOKBEE
งานเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของงานบนโลกออนไลน์ ยังมีงานอีกมากมายที่สามารถทำให้คุณมีรายได้ง่าย ๆ เพียงแค่มีไอเดียและต้องลงมือทำอย่างจริงจัง เพราะบนโลกออนไลน์เรียกได้ว่าแทบจะมีทุกสิ่งทุกอย่างเตรียมไว้ให้คุณแล้ว ขอแค่เพียงคุณลองมองและค้นหามันให้เจอ เชื่อแน่ว่ามันจะต้องผลิดอกออกผลไม่วันใดก็วันหนึ่ง และที่สำคัญงานเหล่านี้ไม่ต้องมีเงินทุน ขอแค่มีใจรักและมุ่งมั่นกับสิ่งที่ทำอย่างเต็มที่ครับ