ลงทุนอะไรดี หรือจะฝากเงินแบบไหนดี ในยามที่ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ลดลงไปเยอะ ลองดูตามนี้แล้วเลือกตามความเสี่ยงที่รับได้
ในยุคที่ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ลดต่ำ ดูเหมือนว่าการเก็บเงินในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์คงไม่ใช่ทางเลือกของผู้ที่อยากได้ผลตอบแทนงอกเงยจากเงินต้นเสียแล้ว
เพราะหากเราฝากเงิน 100,000
บาท ไว้ในธนาคารออมทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ย 0.25% โดยไม่ถอนเป็นเวลา 1 ปี
พอครบกำหนดก็จะได้ดอกเบี้ยราว ๆ 250 บาทเท่านั้นเอง
เอ...แล้วจะมีทางไหนที่จะได้ผลตอบแทนมากกว่านี้ ตามกระปุกดอทคอมมาเลย
------------------------------------------------
กลุ่มความเสี่ยงต่ำ เงินต้นยังอยู่
------------------------------------------------
1. ฝากบัญชีประจำ
เมื่อเงินฝากออมทรัพย์ส่วนใหญ่ให้ดอกเบี้ยราว ๆ 0.125-0.5% แล้วเราเป็นคนไม่กล้ารับความเสี่ยงการขาดทุนเท่าไร แนะนำให้แบ่งเงินเย็นไปฝากบัญชีประจำดู ซึ่งบัญชีเงินฝากประจำ 12 เดือน อัตราดอกเบี้ยอยู่ราว ๆ 1% แต่หากฝากประจำแบบ 24 เดือน ก็จะได้ดอกเบี้ยมากกว่านี้อีกเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม การฝากแบบประจำ เรายังต้องเสียภาษีดอกเบี้ยอีก 15% ด้วย
เช่น ถ้ามีเงิน 100,000 บาท นำไปฝากประจำ 12 เดือน อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี เมื่อครบปีจะได้ดอกเบี้ย 1,000 บาท แต่ต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% จึงได้รับดอกเบี้ยจริง ๆ แค่ 850 บาท
ตรวจสอบอัตราดอกเบี้ยเงินฝากได้ที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย
2. ฝากออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง-ออมทรัพย์ดิจิทัล
หลายธนาคารมีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูงให้เลือก ซึ่งจะให้ดอกเบี้ยประมาณ 1-2% ต่อปี สามารถฝากเงินได้ตลอดเวลา แต่บางธนาคารอาจมีเงื่อนไขว่าให้ถอนได้เพียงเดือนละ 1-2 ครั้ง ดังนั้นจึงเหมาะเป็นบัญชีสำหรับออมเงินที่ให้ดอกเบี้ยพอ ๆ กับบัญชีเงินฝากประจำ แต่คล่องตัวกว่า
นอกจากนี้ ยังมีบัญชีออมทรัพย์ดิจิทัลที่เป็นรูปแบบเดียวกับบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป แต่ไม่มีสมุดคู่ฝาก และต้องเปิดบัญชี ฝาก ถอน ทำธุรกรรมทั้งหมดผ่านแอปพลิเคชัน โดยจะได้รับดอกเบี้ยประมาณ 1.5-3% ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและจำนวนเงินฝากตามที่ธนาคารกำหนด
3. เงินฝากปลอดภาษี
บัญชีนี้เหมาะสำหรับคนอยากเก็บออม เพราะจะต้องนำเงินฝากเข้าธนาคารทุกเดือน เดือนละเท่า ๆ กันตามที่เราเลือกไว้ ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นฝากที่เดือนละ 1,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท สำหรับระยะเวลาฝาก 24 เดือน หรือสูงสุดไม่เกิน 16,500 บาท สำหรับการฝาก 36 เดือน ซึ่งบัญชีฝากประจำประเภทนี้จะได้ดอกเบี้ยสูงกว่าบัญชีประเภทอื่น ๆ คือราว ๆ 2-3% (ขึ้นอยู่กับแคมเปญของธนาคารในช่วงนั้น) แถมยังไม่ต้องเสียภาษี แต่มีข้อจำกัดว่า 1 คน เปิดได้เพียง 1 บัญชีเท่านั้น ไม่ว่าจะธนาคารไหนก็ตาม
4. ซื้อสลากออมทรัพย์
ส่วนอัตราดอกเบี้ยที่รับฝากก็ขึ้นอยู่กับประเภทของสลากที่ขายในช่วงนั้น อย่างไรก็ตาม ต้องฝากให้ครบตามกำหนดเวลา หากไถ่ถอนสลากออกมาก่อนจะไม่ได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่ระบุไว้ หรือได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำลง
5. ใบรับฝากเงิน
เป็นการฝากเงินไว้กับบริษัทเงินทุน หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ตามระยะเวลาที่กำหนด ขั้นต่ำ 1 ปี เพื่อรับดอกเบี้ย ซึ่งมักให้ดอกเบี้ยสูงกว่าการฝากเงินกับธนาคาร เช่น สำหรับการฝาก 1 ปี จะได้ดอกเบี้ยประมาณ 1.25-1.75% หากฝาก 4-5 ปี จะได้ดอกเบี้ยมากกว่า 2-3% แต่ต้องเปิดบัญชีขั้นต่ำหลักแสนขึ้นไป และผู้ฝากจะต้องมีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของธนาคารใดก็ได้ เพื่อผูกบัญชีรองรับการโอนดอกเบี้ย
ทั้งนี้ บริษัทเงินทุน หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ เป็นสถาบันการเงินภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่จะนำเงินของผู้ฝากไปให้บริการด้านสินเชื่อกับประชาชนทั่วไป อีกทั้งเงินฝากของเรายังได้รับความคุ้มครองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากไม่ต่างจากธนาคารพาณิชย์ทั่วไป จึงมั่นใจได้
ตรวจสอบอัตราดอกเบี้ยของบริษัทเงินทุน และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ได้ที่ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน
6. พันธบัตรรัฐบาล หรือพันธบัตรออมทรัพย์
ภาพจาก Santibhavank P / Shutterstock.com
7. กองทุนรวมตลาดเงิน
กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) ถือเป็นแหล่งพักเงินที่ดีสำหรับคนที่อยากได้ดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ ข้อดีคือ เป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำ
เพราะเน้นลงทุนในเงินฝากของธนาคาร
หรือตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีอายุคงเหลือไม่เกิน 1 ปี
มีเงินหลักร้อยก็ลงทุนได้ แถมไม่ต้องเสียภาษีเหมือนเงินฝากประจำ
สามารถซื้อ-ขายหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ แต่จะได้รับเงินในอีก 1
วันทำการที่สั่งขายหน่วยลงทุน
อธิบายง่าย ๆ ก็คือ ซื้อง่าย ขายคล่อง ฝากได้
ถอนได้ ไม่ต่างจากบัญชีออมทรัพย์
แม้จะได้รับเงินช้ากว่าเงินฝากออมทรัพย์อย่างน้อย 1 วันทำการ
แต่มีโอกาสได้ดอกเบี้ยพอ ๆ กับเงินฝากประจำเลยทีเดียว
-----------------------------------
กลุ่มความเสี่ยงปานกลาง
-----------------------------------
1. หุ้นกู้
หุ้นกู้จะมีความเสี่ยงมาก-น้อยขึ้นอยู่กับเครดิตของบริษัทนั้น เช่น
ถ้าบริษัทมีความน่าเชื่อถือมากก็จะได้รับเครดิตสูงสุด AAA
ส่วนอันดับความน่าเชื่อถือที่ต่ำกว่า BBB-
จัดเป็นหุ้นกู้ที่ควรระมัดระวังในการลงทุน
โดยทั่วไปหุ้นกู้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำจะให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าหุ้นกู้ที่มีความน่าเชื่อถือสูง
เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น
การซื้อหุ้นกู้ไม่ควรดูแค่อัตราดอกเบี้ยสูง ๆ เท่านั้น
แต่ควรดูอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทด้วย หากสนใจอ่านเพิ่มเติมได้ที่ "หุ้นกู้ ลงทุนไม่ยากอย่างที่คิด"
2. กองทุนรวมตราสารหนี้
เป็นกองทุนรวมที่มีการลงทุนในตราสารหนี้เป็นหลัก มีให้เลือกทั้งตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุคงเหลือไม่เกิน 1 ปี) และตราสารหนี้ระยะกลางถึงยาว ซึ่งผลตอบแทนก็จะแตกต่างกันไป โดยตราสารหนี้ระยะสั้น (Short Term Bond) ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี ประมาณ 0.5-1% ส่วนตราสารหนี้ระยะยาว (Long Term Bond) ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี ประมาณ 1-3%
อย่างไรก็ตาม กองทุนรวมตราสารหนี้มีความเสี่ยงกว่ากองทุนรวมตลาดเงิน ซึ่งขึ้นอยู่กับตราสารหนี้ที่แต่ละกองทุนเลือกลงทุน หากลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศในสัดส่วนที่มากหน่อยก็ต้องระวังความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน นอกจากนี้ยังได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในตลาด และบางกองทุนไม่เปิดซื้อ-ขายทุกวันทำการ ดังนั้นควรศึกษารายละเอียดของแต่ละกองทุนให้ดีก่อนลงทุน
3. ฝากเงินกับสหกรณ์ออมทรัพย์
หากหน่วยงานที่เราสังกัดอยู่มีสหกรณ์ออมทรัพย์ก็สามารถฝากเงินไว้กับสหกรณ์ได้ ซึ่งโดยมากให้ดอกเบี้ยสูงกว่าธนาคาร เช่น เงินฝากออมทรัพย์อยู่ที่ราว ๆ 2-3% เลยทีเดียว หรือบางกรณีอาจได้ผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผล ซึ่งผลตอบแทนจะไม่ต้องเสียภาษี
อย่างไรก็ตาม การฝากเงินกับสหกรณ์จัดว่ามีความเสี่ยงสูงกว่าธนาคาร เพราะเงินฝากไม่ได้รับความคุ้มครองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝาก หากเกิดปัญหาขึ้นภายในสหกรณ์ ผู้ฝากอาจไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ จึงต้องพิจารณาในด้านความน่าเชื่อถือของหน่วยงานด้วย
------------------------------------------------
กลุ่มความเสี่ยงสูง มีโอกาสขาดทุน
------------------------------------------------
1. กองทุนรวม
นอกจากนี้สำหรับคนที่มีภาระเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในฐานสูง ๆ
คือตั้งแต่ 15% ขึ้นไป อาจเลือกลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ที่มาแทนกองทุนรวม LTF หรือกองทุน Thai ESG แต่ถ้าต้องการมีเงินเก็บไว้ยามเกษียณ จะเลือกลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
ก็ได้ ซึ่งทั้ง 3 กองทุนนี้สามารถนำเงินลงทุนไปลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน
- ทำความเข้าใจ กองทุน SSF ตัวช่วยลดหย่อนภาษีที่มาแทน LTF
- ทำความเข้าใจ กองทุน SSF ตัวช่วยลดหย่อนภาษีที่มาแทน LTF
- เริ่มต้นลงทุนกองทุนรวมอย่างมั่นใจ มือใหม่ก็ทำได้
- รู้จักกองทุนรวม..การลงทุนน่าสนใจของวัยเริ่มต้นทำงาน
- อยากซื้อกองทุนรวม ต้องเริ่มอย่างไร
- เล่นหุ้นเอง VS ซื้อกองทุนรวมหุ้น ชี้ชัด ๆ ทางเลือกไหนใช่สำหรับคุณ
2. ออมหุ้น
สำหรับคนที่อยากลงทุนในหุ้น แต่ขาดความรู้ ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี
อาจลองใช้วิธีออมหุ้นแทนไปก่อน โดยเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ที่มีบริการออมหุ้น จะให้โบรกเกอร์ช่วยซื้อหุ้นให้ หรือออมหุ้นอัตโนมัติด้วยตัวเองก็ได้ เพียงแค่คัดเลือกหุ้นที่น่าลงทุนในระยะยาว
แล้วซื้อหุ้นเป็นจำนวนเงินเท่า ๆ กันในทุกเดือน วิธีนี้เรียกว่า
Dollar-Cost Averaging หรือ DCA
ซึ่งเป็นการลงทุนด้วยเงินที่เท่ากันอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน เช่น เดือนละ
5,000 บาท โดยไม่สนใจว่าราคาหุ้นจะเป็นเท่าไร
3. ออมทอง
ไม่ต้องใช้เงินหลักหมื่นหลักแสนก็ลงทุนในทองคำได้เช่นกัน เพราะเดี๋ยวนี้มีโปรแกรมออมทองที่ให้เรากำหนดเงินลงทุนเอง แล้วทยอยซื้อทองคำจากโบรกเกอร์ บางเจ้าให้เราลงทุนเริ่มต้นแค่ 10 บาท จะซื้อเดือนละครั้ง หรือซื้อเมื่อไรก็ได้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของโบรกเกอร์นั้น ๆ
ข้อดีคือ ไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ในการซื้อทอง แต่เป็นการทยอยซื้อทองสะสม จึงช่วยเฉลี่ยราคาทองคำที่ผันผวนได้ อีกทั้งไม่ได้รับทองจริง ๆ ถ้าจำนวนที่ซื้อยังไม่ถึงตามกำหนด ดังนั้นก็ไม่ต้องกังวลว่าทองที่เราเป็นเจ้าของจะสูญหายไปไหน หากสนใจลองดูวิธีลงทุนทองคำผ่านโปรแกรมออมทองกันเลย
- รวมวิธีลงทุนทองคำ มีเงินหลักสิบ-หลักพันก็ซื้อได้ ไม่ต้องใช้เงินก้อนโต
ข้อดีคือ ไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ในการซื้อทอง แต่เป็นการทยอยซื้อทองสะสม จึงช่วยเฉลี่ยราคาทองคำที่ผันผวนได้ อีกทั้งไม่ได้รับทองจริง ๆ ถ้าจำนวนที่ซื้อยังไม่ถึงตามกำหนด ดังนั้นก็ไม่ต้องกังวลว่าทองที่เราเป็นเจ้าของจะสูญหายไปไหน หากสนใจลองดูวิธีลงทุนทองคำผ่านโปรแกรมออมทองกันเลย
- รวมวิธีลงทุนทองคำ มีเงินหลักสิบ-หลักพันก็ซื้อได้ ไม่ต้องใช้เงินก้อนโต
4. คริปโทเคอร์เรนซี
การลงทุนคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ได้รับความนิยมสูงมากในช่วง 3-4 ปีหลังมานี้ ทำให้ราคาของหลาย ๆ เหรียญพุ่งทะยานเป็นร้อยเป็นพันเปอร์เซ็นต์ เช่น บิตคอยน์ที่เคยมีราคาสูงถึง 2 ล้านบาท ต่อ 1 บิตคอยน์ หรือพวก Altcoin อย่าง BTC, Ethereum, Polkadot, Dogecoin ราคาก็พุ่งแรงเช่นกัน
แน่นอนว่าแม้จะเห็นโอกาสทำกำไรมหาศาล แต่ก็มีโอกาสขาดทุนสูงไม่น้อย เพราะราคาผันผวนได้ตลอดเวลา บางครั้งก็ไม่มีปัจจัยพื้นฐานอะไรรองรับเลยด้วย ดังนั้น หากคิดจะเล่นคริปโต ไม่ว่าจะเป็นสายขุด สายเทรด หรือสายฟาร์ม ต้องศึกษาหาความรู้ให้มากที่สุด และควรใช้เงินลงทุนจำนวนน้อย ๆ ที่เราคิดว่ายอมเสียได้ เพื่อหาประสบการณ์ดูก่อน เวลาขาดทุนจะได้ไม่เสียหายมากนัก
แน่นอนว่าแม้จะเห็นโอกาสทำกำไรมหาศาล แต่ก็มีโอกาสขาดทุนสูงไม่น้อย เพราะราคาผันผวนได้ตลอดเวลา บางครั้งก็ไม่มีปัจจัยพื้นฐานอะไรรองรับเลยด้วย ดังนั้น หากคิดจะเล่นคริปโต ไม่ว่าจะเป็นสายขุด สายเทรด หรือสายฟาร์ม ต้องศึกษาหาความรู้ให้มากที่สุด และควรใช้เงินลงทุนจำนวนน้อย ๆ ที่เราคิดว่ายอมเสียได้ เพื่อหาประสบการณ์ดูก่อน เวลาขาดทุนจะได้ไม่เสียหายมากนัก
- ขุดบิตคอยน์ (Bitcoin) ทำยังไง ทำไมคนทั่วโลกสนใจเป็นชาวเหมือง ?
- เล่นคริปโต บิตคอยน์ เสียภาษีไหม ไขข้อสงสัยที่นักลงทุนอยากรู้ ?
- เล่นคริปโต บิตคอยน์ เสียภาษีไหม ไขข้อสงสัยที่นักลงทุนอยากรู้ ?
ใครกำลังมองหาที่เก็บเงิน หรืออยากเริ่มต้นลงทุน ลองนำทางเลือกเหล่านี้ไปใช้ดูได้ แต่ขอย้ำอีกครั้งว่าหากใครจะเลือกลงทุนอะไร
ต้องศึกษารายละเอียดและข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจ เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง
บทความที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน
- มีเงิน 10,000 บาท ลงทุนอะไรดี ปี 2567 แชร์หลากไอเดียต่อยอดเงินออมให้งอกเงย
- แฟรนไชส์น่าลงทุน รวมธุรกิจน่าสนใจ กำไรดี สำหรับคนอยากเปิดร้าน
- ลงทุนอย่างไรเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงิน
- 7 วิธีเล่นหุ้นฉบับคนไม่มีเวลา มนุษย์เงินเดือนทำได้ ไม่ต้องนั่งเฝ้าจอทั้งวัน
- แฟรนไชส์น่าลงทุน รวมธุรกิจน่าสนใจ กำไรดี สำหรับคนอยากเปิดร้าน
- ลงทุนอย่างไรเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงิน
- 7 วิธีเล่นหุ้นฉบับคนไม่มีเวลา มนุษย์เงินเดือนทำได้ ไม่ต้องนั่งเฝ้าจอทั้งวัน