หุ้นกู้ คืออะไร อีกหนึ่งทางเลือกในยุคดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ แต่ต้องศึกษาข้อมูล ผลตอบแทน ระยะเวลาลงทุน และเงื่อนไขให้ดี
ในภาวะที่เงินฝากให้ดอกเบี้ยไม่สูงนัก ในขณะที่หุ้นก็ให้ผลตอบแทนที่ไม่แน่นอนเนื่องจากมีความผันผวนสูง การลงทุนในหุ้นกู้จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้ไม่สูงนัก แต่ต้องการผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอและมากกว่าเงินฝาก ทั้งนี้ ก่อนนำเงินไปลงทุนในหุ้นกู้ มีหลายเรื่องที่ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ ซึ่งจะมีเรื่องไหนบ้างนั้น K-Expert มีคำแนะนำมาฝากค่ะ
เมื่อซื้อหุ้นกู้ เราจะมีฐานะเป็น "เจ้าหนี้" ส่วนบริษัทที่ออกหุ้นกู้จะมีฐานะเป็น "ลูกหนี้" ซึ่งความเป็นเจ้าหนี้ของเราสามารถเป็นได้หลายแบบตามลักษณะของหุ้นกู้ เช่น มีประกันหรือไม่มีประกัน ด้อยสิทธิหรือไม่ด้อยสิทธิ
ถ้าเป็นหุ้นกู้มีประกัน แสดงว่า หุ้นกู้นี้มีการให้หลักประกันแก่เรา เช่น ที่ดิน อาคาร หากบริษัทมีปัญหา ไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยหรือเงินต้นให้เราได้ เราจะมีสิทธิในหลักประกันนั้นเพื่อนำมาชำระหนี้ให้เราก่อนเจ้าหนี้รายอื่น
สำหรับหุ้นกู้ด้อยสิทธิ หมายถึงมีสิทธิด้อยกว่าเจ้าหนี้รายอื่น แต่ก็ยังสูงกว่าเจ้าของหรือผู้ถือหุ้น หากบริษัทมีปัญหาหรือล้มละลายขึ้นมา เราในฐานะผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิจะได้รับชำระเงินคืนเมื่อเจ้าหนี้รายอื่นซึ่งมีลำดับสิทธิที่เหนือกว่า เช่น ผู้ถือหุ้นกู้มีประกัน ผู้ถือหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ได้รับชำระหนี้ในส่วนของตัวเองแล้ว
ผลตอบแทน/ดอกเบี้ยเป็นเท่าไร
หุ้นกู้มีการกำหนดผลตอบแทนหรือดอกเบี้ยที่จะได้รับเอาไว้ โดยทั่วไปมีรูปแบบการจ่ายดอกเบี้ย 2 รูปแบบหลัก ๆ คือ
1. กำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์ที่แน่นอนตายตัวตลอดระยะเวลาของหุ้นกู้ เช่น หุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.5% ต่อปี
2. กำหนดเป็นแบบขั้นบันได ปกติจะกำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นตามระยะเวลาที่เพิ่มขึ้น เช่น หุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-2 เท่ากับ 3% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ 4% ต่อปี และปีที่ 4-5 เท่ากับ 5% ต่อปี
อัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทของหุ้นกู้ อายุของหุ้นกู้ โดยทั่วไป หุ้นกู้ด้อยสิทธิจะให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ และหุ้นกู้ที่มีอายุยาวกว่าจะให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าหุ้นกู้ที่มีอายุสั้นกว่า
นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดงวดของการจ่ายดอกเบี้ย เช่น จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน หรือ 6 เดือน โดยดอกเบี้ยที่ได้รับจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ค่ะ เช่น อัตราดอกเบี้ย 5.5% ต่อปี เมื่อหักภาษี ณ ที่จ่าย จะได้รับดอกเบี้ยสุทธิเท่ากับ 4.675% ต่อปี อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีฐานภาษีไม่ถึง 15% สามารถขอคืนภาษีส่วนที่ถูกหักไว้เกินคืนได้ตอนยื่นแบบภาษีเงินได้ประจำปีค่ะ
ระยะเวลาลงทุนนานแค่ไหน
หุ้นกู้มักมีการกำหนดอายุของหุ้นกู้เอาไว้ เช่น 3 ปี 5 ปี 10 ปี เป็นต้น เมื่อครบกำหนดบริษัทจะคืนเงินต้นให้เรา เราจึงควรลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอายุสอดคล้องกับระยะเวลาลงทุนที่ต้องการ ทั้งนี้ มีหุ้นกู้ประเภทที่กำหนดเงื่อนไข "ไถ่ถอนก่อนกำหนดได้" ซึ่งมี 2 กรณี
กรณีที่ 1 บริษัทสามารถไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนด หรือการที่ผู้กู้ขอคืนเงินกู้ก่อนครบกำหนด และกรณีที่ 2 ผู้ถือหุ้นกู้สามารถไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนด หรือการที่ผู้ให้กู้ขอเงินกู้คืนก่อนครบกำหนด ซึ่งเรามักจะเห็นแบบแรกมากกว่าแบบที่สองค่ะ
เช่น หุ้นกู้อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.5% ต่อปี ซึ่งบริษัทมีสิทธิไถ่ถอนก่อนกำหนดตั้งแต่ปีที่ 6 เป็นต้นไป ถ้าบริษัทใช้สิทธิไถ่ถอนเสมือนเป็นการยกเลิกหุ้นกู้ตัวนั้น บริษัทจะคืนเงินต้นให้กับผู้ลงทุน ซึ่งหุ้นกู้ที่บริษัทสามารถไถ่ถอนก่อนกำหนดได้นี้มักให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าหุ้นกู้ที่ไม่มีเงื่อนไขดังกล่าว เพื่อชดเชยความเสี่ยงของการถูกไถ่ถอนก่อนกำหนดค่ะ
บริษัทน่าเชื่อถือหรือไม่
การซื้อหุ้นกู้คือการให้บริษัทกู้ยืมเงิน ดังนั้น ก่อนซื้อหุ้นกู้จึงต้องดูให้แน่ใจก่อนว่า บริษัทมีความมั่นคงมากน้อยแค่ไหน ฐานะการเงินเป็นอย่างไร เพราะสะท้อนว่าบริษัทมีเงินจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นคืนให้เราได้หรือไม่ ซึ่งเราสามารถดูได้จากอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ที่จัดทำโดยบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agency)
อันดับความน่าเชื่อถือนี้จะใช้สัญลักษณ์เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ 4 ตัวคือ A B C และ D โดยอันดับความน่าเชื่อถือสูงสุดเท่ากับ AAA และในแต่ละขั้นยังมีการย่อยเป็นบวกและลบ เช่น AA+ A- BBB+ เป็นต้น ซึ่งอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ BBB- ขึ้นไปถึง AAA จัดเป็นหุ้นกู้ที่อยู่ในระดับน่าลงทุน
ส่วนอันดับความน่าเชื่อถือที่ต่ำกว่า BBB- ถือเป็นหุ้นกู้ที่ควรระมัดระวังในการลงทุน โดยทั่วไปหุ้นกู้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำจะให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าหุ้นกู้ที่มีความน่าเชื่อถือสูง เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น การซื้อหุ้นกู้ไม่ควรดูแค่อัตราดอกเบี้ยสูง ๆ เท่านั้น แต่ควรดูอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทด้วย
ใครบ้างที่ลงทุนได้
การเสนอขายหุ้นกู้ในบ้านเรามี 2 แบบ แบบที่ 1 Public Offering เป็นการขายให้บุคคลทั่วไป ไม่มีข้อจำกัดเรื่องคุณสมบัติหรือรายได้ และแบบที่ 2 Private Placement เสนอขายเฉพาะเจาะจงให้แก่นักลงทุนสถาบัน หรือนักลงทุนรายใหญ่ ซึ่งนักลงทุนรายใหญ่จะต้องมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังนี้
1. มีสินทรัพย์สุทธิตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป ไม่รวมที่พักอาศัย
2. มีรายได้ต่อปีตั้งแต่ 4 ล้านบาทขึ้นไป
3. มีเงินลงทุนโดยตรงในหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป
โดยทั่วไปหุ้นกู้ที่ขายแบบ Private Placement จะมีเอกสารให้เซ็นรับรองว่าเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่มีคุณสมบัติที่กำหนด หากภายหลังตรวจสอบพบว่า ผู้ถือหุ้นกู้เป็นบุคคลทั่วไป ไม่ใช่นักลงทุนรายใหญ่ อาจทำให้ไม่ได้รับผลตอบแทนหรือดอกเบี้ยตามที่กำหนดไว้ในหุ้นกู้ก็ได้ ดังนั้น ต้องดูว่าหุ้นกู้ที่บริษัทเสนอขายนั้นกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่สามารถซื้อได้เอาไว้หรือไม่
ก่อนลงทุนในหุ้นกู้ ควรศึกษาข้อมูลและรายละเอียดของหุ้นกู้ให้ดี ทั้งลักษณะ ผลตอบแทน ระยะเวลาลงทุน และเงื่อนไขของหุ้นกู้ โดยสามารถศึกษาข้อมูลของหุ้นกู้ออกใหม่ได้ที่ thaibma.or.th และอย่าลืมนะคะว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลในหนังสือชี้ชวนก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้งค่ะ
K-Expert Action
• ก่อนนำเงินไปลงทุน ควรมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินอย่างน้อย 6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน
• เลือกลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอายุสอดคล้องกับระยะเวลาในการลงทุน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก