x close

ลดหย่อนภาษี 2565 มีอะไรบ้าง คำนวณให้ดี ก่อนยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

          ลดหย่อนภาษี 2565 สำหรับบุคคลธรรมดา จะใช้สิทธิช้อปดีมีคืน ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ หรือบริจาคได้เท่าไร ลองมาคำนวณกันก่อนยื่นภาษี 2565
         สำหรับมนุษย์เงินเดือน หรือฟรีแลนซ์ที่มีรายได้ถึงเกณฑ์กำหนด จะต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นประจำทุกปี แน่นอนว่าคนที่มีเงินเดือนสูง หรือมีรายได้จากส่วนอื่น ๆ เพิ่มเข้ามา หากไม่บริหารภาษีให้ดีก็อาจต้องเสียภาษีถึงหลักหมื่น หลักแสน แต่ถ้าได้ลองคำนวณภาษีไว้ล่วงหน้า แล้วหาตัวช่วยมาลดหย่อนภาษี คงประหยัดภาษีได้มากเลยทีเดียว ว่าแต่…ในปีนี้เราสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากอะไรได้บ้าง ลองมาศึกษาเพื่อวางแผนก่อนยื่นภาษี 2565 ในช่วงต้นปี 2566
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2565
ใครต้องยื่นภาษีบ้าง ?
ลดหย่อนภาษี 2565

         ก่อนอื่นต้องทราบว่า คนกลุ่มไหนที่ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2565 บ้าง ซึ่งจะอ้างอิงจากจำนวนเงินได้ที่ได้รับในปีนั้น

คนโสด

  • กรณีมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) เพียงประเภทเดียว จะต้องยื่นแบบภาษีเมื่อมีรายได้เกิน 120,000 บาท

  • กรณีมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) และมีเงินได้ประเภทอื่นด้วย เช่น มีรายได้จากการค้าขาย ค่าลิขสิทธิ์ เงินปันผล รายได้จากการเป็นฟรีแลนซ์ ฯลฯ จะต้องยื่นแบบภาษีเมื่อมีเงินได้เกิน 60,000 บาท

  • กรณีมีเฉพาะเงินได้ประเภทอื่นที่ไม่ใช่เงินได้จากการจ้างแรงงาน จะต้องยื่นแบบภาษีเมื่อมีเงินได้เกิน 60,000 บาท

คนมีคู่

  • กรณีมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) เพียงประเภทเดียว จะต้องยื่นแบบภาษีเมื่อมีเงินได้เกิน 220,000 บาท

  • กรณีมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) และมีเงินได้ประเภทอื่นด้วย จะต้องยื่นแบบภาษีเมื่อมีเงินได้เกิน 120,000 บาท

  • กรณีมีเฉพาะเงินได้ประเภทอื่นที่ไม่ใช่เงินได้จากการจ้างแรงงาน จะต้องยื่นแบบภาษีเมื่อมีเงินได้เกิน 120,000 บาท

คํานวณภาษี 2565 ได้อย่างไร

          เราสามารถคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ ดังนี้

     1. นำรายได้ทุกประเภทที่มีในปีนั้นมารวมกัน ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้าง เงินเดือน โบนัส เงินจากการทำธุรกิจ เงินปันผล ฯลฯ

     2. นำค่าลดหย่อนต่าง ๆ มาลบออกจากรายได้ เช่น

          - กรณีมีเงินได้จากเงินเดือน ค่าจ้าง โบนัส เบี้ยเลี้ยง เงินได้จากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ หรือจากการรับทำงานให้ ค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า ฯลฯ สามารถหักค่าใช้จ่าย 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท

          - หักค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท

          - หักค่าลดหย่อนภาษีอื่น ๆ ตามที่เรามี

     3. หลังจากนำค่าลดหย่อนทั้งหมดมาลบออกจากรายได้แล้ว เงินส่วนที่เหลือจะเรียกว่า "เงินได้สุทธิ" ซึ่งจะต้องนำเงินจำนวนนี้ไปคำนวณภาษี เพื่อเสียภาษีตามขั้นบันได 5-35% ดังนี้

ลดหย่อนภาษี 2565

          หากมีเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี จะได้รับการยกเว้นภาษี เท่ากับว่าคนที่มีเงินเดือนไม่เกิน 25,833 บาท และไม่มีรายได้ส่วนอื่น ๆ จะไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพราะเมื่อรวมรายได้ทั้งปีจะไม่เกิน 310,000 บาท หลังจากหักค่าใช้จ่าย 100,000 บาท และค่าลดหย่อนส่วนบุคคล 60,000 บาท ก็จะเหลือเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาทนั่นเอง

          แต่ถ้าใครยังคำนวณไม่เป็น ก็ลองมาดูวิธีคำนวณภาษีเงินได้ที่นี่ หรือเช็กจากตารางเงินเดือนได้เลย
 

วิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ก่อนยื่นภาษี

ลดหย่อนภาษี 2565 มีอะไรบ้าง

        เราสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษี 2565 ได้หลายกลุ่ม ดังนี้

  • กลุ่มค่าลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัว

  • กลุ่มประกัน เงินออม และการลงทุน

  • กลุ่มค่าลดหย่อนเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์

  • กลุ่มเงินบริจาค

  • กลุ่มค่าลดหย่อนตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ

          ลองไปดูรายละเอียดของแต่ละกลุ่มกันเลย

ลดหย่อนภาษี
กลุ่มค่าลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัว
ลดหย่อนภาษี 2565

1. ค่าลดหย่อนส่วนบุคคล

  • จำนวน : 60,000 บาท

  • เงื่อนไข : ลดหย่อนภาษีได้ทันทีที่ยื่นแบบฯ

2. ค่าลดหย่อนจากคู่สมรสที่ไม่มีเงินได้

  • จำนวน : 60,000 บาท

  • เงื่อนไข :

          - สำหรับสามี-ภรรยาที่จดทะเบียนสมรส

          - คู่สมรสต้องไม่มีเงินได้ หรือมีเงินได้แต่เลือกนำมาคำนวณภาษีพร้อมกัน ไม่ได้แยกยื่นแบบฯ

3. ลดหย่อนภาษีบุตร

  • จำนวน : ลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท (ไม่จำกัดจำนวนบุตร)

  • เงื่อนไข :                  

            - หากเป็นบุตรตามกฎหมาย สามารถนำมาหักลดหย่อนได้ไม่จำกัดจำนวนบุตร

            - หากเป็นบุตรบุญธรรม สามารถนำมาหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 3 คน

            - หากมีทั้งบุตรบุญธรรมและบุตรชอบด้วยกฎหมาย ให้นำบุตรชอบด้วยกฎหมายทั้งหมดมาหักก่อน แล้วจึงนำบุตรบุญธรรมมาหัก รวมกันได้ไม่เกิน 3 คน

            - กรณีมีบุตรชอบด้วยกฎหมายที่มีชีวิตอยู่รวมเป็นจำนวนตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป จะนำบุตรบุญธรรมมาหักไม่ได้

      นอกจากนี้ บุตรที่จะนำมาหักลดหย่อนภาษีต้องมีคุณสมบัติตามนี้ด้วย

            - บุตรมีอายุอยู่ระหว่างแรกเกิดจนถึง 20 ปี ในปีภาษีนั้น

            - ถ้าบุตรมีอายุระหว่าง 21-25 ปี ในปีภาษีนั้น ต้องกำลังศึกษาในระดับอนุปริญญา (ปวส.) ขึ้นไป

            - ถ้าบุตรมีอายุ 25 ปีขึ้นไป ในปีภาษีนั้น ต้องเป็นบุคคลไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ

            - บุตรต้องไม่มีเงินได้ในปีภาษีตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไป (ยกเว้นเงินปันผล) หรือรายได้ที่มีนั้นได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย เช่น บุตรที่อายุไม่เกิน 20 ปี และรับเงินปันผล ซึ่งเงินปันผลนั้นจะถือว่าเป็นเงินของผู้ปกครอง และไม่ถือว่าบุตรมีรายได้

4. ลดหย่อนภาษี บุตรคนที่ 2 เป็นต้นไป

  • จำนวน : 30,000 บาทต่อคน (เมื่อรวมกับค่าลดหย่อนบุตรอีก 30,000 บาท เท่ากับลดหย่อนบุตรคนที่ 2 รวม 60,000 บาท)

  • เงื่อนไข :

            - ต้องเป็นบุตรคนที่ 2 เป็นต้นไป ที่คลอดตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป

            - ต้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย

            - นับลำดับของบุตรทุกคน ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม

5. ลดหย่อนภาษี ฝากครรภ์และคลอดบุตร

  • จำนวน : หักค่าใช้จ่ายได้ตามจริง สูงสุดไม่เกิน 60,000 บาท/การคลอดบุตร 1 ครั้ง

  • เงื่อนไข :          

            - ต้องเป็นค่าใช้จ่ายฝากครรภ์และค่าคลอดบุตรในช่วงวันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2565 

            - กรณีตั้งครรภ์ปีนี้ แต่คลอดบุตรปีหน้า ให้ลดหย่อนได้ตามปีที่ใช้สิทธิ์ แต่ไม่เกิน 60,000 บาท เช่น ตั้งครรภ์ปี 2565 จ่ายค่าฝากครรภ์ไปจำนวน 25,000 บาท ก็จะสามารถหักลดหย่อนภาษี ปี 2565 ได้ 25,000 บาท และเมื่อคลอดบุตรในปี 2566 จะสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี ปี 2566 ได้อีกไม่เกิน 35,000 บาท

            - กรณีคลอดบุตรแฝด สามารถหักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 60,000 บาท เนื่องจากเป็นการตั้งครรภ์คราวเดียว

            - สามารถนำค่าใช้จ่ายจากการตั้งครรภ์และคลอดบุตรมาหักลดหย่อนภาษีได้ ไม่ว่าทารกที่คลอดจะมีชีวิตรอดหรือไม่

            - สามีสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีค่าคลอดบุตรได้ไม่เกิน 60,000 บาท หากภรรยาไม่มีเงินได้ หรือมีเงินได้แต่ยื่นภาษีรวมกัน

            - สิทธิ์ลดหย่อนภาษีดังกล่าว เมื่อนำไปรวมกับสิทธิ์การเบิกค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตรจากสวัสดิการภาครัฐและเอกชน ต้องไม่เกิน 60,000 บาท

         กรณีอื่น ๆ รวมทั้งหลักฐานที่ใช้ประกอบการยื่นภาษี สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่นี่
 

สรุปอีกครั้ง ! ตั้งครรภ์ หรือคลอดลูก ลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่

6. ลดหย่อนภาษี พ่อแม่ (ค่าเลี้ยงดูอุปการะบิดา-มารดา)

  • จำนวน : ลดหย่อนจากบิดา-มารดา (ตัวเอง) และบิดา-มารดาคู่สมรส ได้คนละ 30,000 บาท มากสุดคือ 4 คน ไม่เกิน 120,000 บาท

  • เงื่อนไข :

          - บิดา-มารดาต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีรายได้ในปีภาษีนั้นไม่เกิน 30,000 บาท

          - หากเป็นบิดา-มารดาของคู่สมรส จะใช้ลดหย่อนภาษีได้ก็ต่อเมื่อคู่สมรสต้องไม่มีรายได้

          - บิดา-มารดาออกหนังสือรับรองการเลี้ยงดู (ลย.03) ให้กับบุตรที่จะขอลดหย่อนภาษีด้วย

          - หากมีลูกหลายคนจะสามารถใช้สิทธิ์ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น เช่น หากลูกคนโตใช้ไปแล้ว ลูกคนอื่น ๆ ก็ไม่สามารถใช้สิทธิ์นี้ได้อีก

7. ลดหย่อนภาษี ค่าอุปการะคนพิการหรือคนทุพพลภาพ

  • จำนวน : 60,000 บาทต่อคน

  • เงื่อนไข :

          - ต้องเป็นผู้ที่ดูแลคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ

          - ผู้พิการต้องมีบัตรประจำตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ หรือเป็นคนทุพพลภาพที่มีเงินได้พึงประเมินไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี

          ทั้งนี้ หากผู้พิการหรือทุพพลภาพเป็นบิดา-มารดา-บุตร-คู่สมรสของผู้มีเงินได้ ก็สามารถใช้สิทธิ์ควบคู่กันได้เลย เช่น มารดาอายุเกิน 60 ปี เป็นผู้พิการ ไม่มีรายได้ เราสามารถนำมาลดหย่อนได้สูงสุด (30,000+60,000 บาท) เท่ากับ 90,000 บาท

         หรือหากคู่สมรสเป็นผู้พิการและไม่มีรายได้ ก็สามารถนำมาลดหย่อนได้สูงสุด 120,000 บาท (ค่าลดหย่อนคู่สมรส 60,000 + ค่าลดหย่อนอุปการะผู้พิการ 60,000)

ลดหย่อนภาษี กลุ่มประกัน
การออมและการลงทุน
ลดหย่อนภาษี 2565

1. ลดหย่อนภาษี ประกันสังคม

  • จำนวน : ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง 

    • ผู้ประกันตน มาตรา 33 สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 6,300 บาท (จากปกติ 9,000 บาท) เนื่องจากมีการปรับลดเงินสมทบประกันสังคมในเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2565 และตุลาคม-ธันวาคม 2565

    • ผู้ประกันตน มาตรา 39 สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 3,585 บาท เนื่องจากมีการปรับลดเงินสมทบประกันสังคมในเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2565 และตุลาคม-ธันวาคม 2565

    • ผู้ประกันตน มาตรา 40 ได้ปรับลดเงินสมทบตั้งแต่เดือนมกราคม-กรกฎาคม 2565 ทำให้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 532-2,280 บาท ตามที่จ่ายจริง

2. ลดหย่อนภาษี ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ หรือเงินฝากเพื่อสงเคราะห์ชีวิต

  • จำนวน : ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท

  • เงื่อนไขประกันชีวิต :

          - ต้องเป็นประกันชีวิตที่มีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป

          - มีผลตอบแทนคืนไม่เกิน 20% ของเบี้ยสะสม (เงินปันผลหรือเบี้ยคืนรายปี)

          - ต้องเป็นกรมธรรม์ที่ซื้อจากบริษัทประกันชีวิตที่ดำเนินกิจการในไทย

          - หากเวนคืนกรมธรรม์ก่อนครบ 10 ปี ถือว่าผิดเงื่อนไข จะไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้

  • เงื่อนไขเงินฝากเพื่อสงเคราะห์ชีวิต :

          - ต้องเปิดบัญชีเงินฝากเพื่อสงเคราะห์ชีวิต (ปัจจุบันมี 2 ธนาคาร คือ ออมสิน และ ธ.ก.ส.)

          - ฝากเงินตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป

          - ผู้มีเงินได้เป็นผู้จ่ายเงินฝากเท่านั้น

          - กรณีได้รับเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนคืนทุกปี ต้องไม่เกิน 20% ของเงินฝากรายปี

          - มีหลักฐานจากธนาคารผู้รับฝากเงิน

          - หักลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่ฝากเงินจริง แต่เมื่อรวมกับเงินที่ได้จ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิตแล้ว ต้องไม่เกิน 100,000 บาท

          ตัวอย่างเช่น หากจ่ายเบี้ยประกันชีวิตในปีนั้นไปแล้ว 70,000 บาท เราจะมีสิทธิ์นำเงินฝากสงเคราะห์ชีวิตไปลดหย่อนภาษีได้อีก 30,000 บาท

3. ลดหย่อนภาษี ประกันชีวิตคู่สมรสที่ไม่มีเงินได้

  • จำนวน : หักตามจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท

  • เงื่อนไข : 

          - ต้องเป็นการซื้อประกันชีวิตให้คู่สมรสตามกฎหมายที่ไม่มีรายได้

          - ต้องเป็นสามี-ภรรยาตลอดทั้งปีภาษี ดังนั้น หากเพิ่งแต่งงานกันในปี 2565 จะยังไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้ เพราะความเป็นสามี-ภรรยา ไม่ได้มีอยู่ตลอดทั้งปี

4. ลดหย่อนภาษี ประกันสุขภาพตัวเอง

  • จำนวน : ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 25,000 บาทต่อปี แต่เมื่อรวมเบี้ยประกันชีวิต และเงินฝากสงเคราะห์ชีวิตแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท 

  • เงื่อนไข : ประกันสุขภาพที่นำมาลดหย่อนได้ มีดังนี้

          - ประกันให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลอันเกิดจากการเจ็บป่วยและการบาดเจ็บ การชดเชยการทุพพลภาพและการสูญเสียอวัยวะเนื่องจากการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ

          - ประกันอุบัติเหตุเฉพาะที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล การทุพพลภาพ การสูญเสียอวัยวะ และการแตกหักของกระดูก

          - ประกันภัยโรคร้ายแรง

          - ประกันภัยการดูแลระยะยาว
 

ประกันสุขภาพเหมาจ่ายที่ไหนดี ปี 2565 เปรียบเทียบแผนค่ารักษา 1 ล้านบาท

5. ลดหย่อนภาษี ประกันสุขภาพบิดา-มารดา

  • จำนวน : ลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท

  • เงื่อนไข :

          - บิดา-มารดาต้องไม่มีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ขอหักลดหย่อนเกิน 30,000 บาทขึ้นไป

          - บิดาหรือมารดาต้องอยู่ในไทยไม่ต่ำกว่า 180 วัน ในปีภาษีนั้น

          - ลูกที่จะใช้สิทธิ์ต้องเป็นบุตรตามกฎหมายเท่านั้น บุตรบุญธรรมไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้

          - ลูกสามารถใช้สิทธิ์ได้หลายคน โดยหารเฉลี่ยกัน เช่น ลูก 2 คน ร่วมกันซื้อประกันสุขภาพให้บิดา จำนวน 15,000 บาท ดังนั้น ลูกแต่ละคนสามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพบิดาไปลดหย่อนภาษีได้คนละ 7,500 บาท

          - แบบประกันสุขภาพของบิดา-มารดาที่นำมาลดหย่อนภาษีได้จะต้องเป็นความคุ้มครองด้านใดด้านหนึ่งใน 4 ด้านเท่านั้น คือ ค่ารักษาพยาบาลหรือเงินชดเชย กรณีเจ็บป่วยทั่วไป, ค่ารักษาพยาบาลหรือเงินชดเชย กรณีอุบัติเหตุ, ประกันคุ้มครองโรคร้ายแรง และประกันคุ้มครองการพยาบาลสำหรับการเจ็บป่วยระยะยาว (Long Term Care)

6. ลดหย่อนภาษี ประกันชีวิตแบบบำนาญ

  • จำนวน : 15% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท

  • เงื่อนไข :

          - ต้องเป็นประกันที่มีระยะเวลาเอาประกัน 10 ปีขึ้นไป

          - ต้องเป็นกรมธรรม์ที่ซื้อจากบริษัทประกันชีวิตที่ดำเนินกิจการในไทย

          - จ่ายผลตอบแทนให้ผู้เอาประกันตั้งแต่อายุ 55 ปี ต่อเนื่องไปจนถึงอายุ 85 ปี หรือมากกว่านั้น

          - เมื่อรวมค่าเบี้ยประกันที่จ่ายให้กับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือกองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน หรือกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

          - หากมีประกันชีวิตแบบทั่วไปอยู่แล้ว แต่ยังไม่ครบ 1 แสนบาท สามารถนำค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญไปรวมกับสิทธิ์ลดหย่อนประกันชีวิตแบบทั่วไปให้ครบ 1 แสนบาทก่อน ส่วนที่เหลือก็ยังสามารถนำมาลดหย่อนโดยใช้สิทธิ์เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญได้ 15% ของเงินได้ที่เสียภาษี แต่ไม่เกิน 200,000 บาท

7. ลดหย่อนภาษี SSF หรือ กองทุนรวมเพื่อการออม (Super Savings Fund)

ลดหย่อนภาษี 2565

          กองทุนรวม SSF หรือ Super Savings Fund เป็นกองทุนรวมเพื่อการออมที่ลงทุนหลักทรัพย์ได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ กองทุนดัชนี ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ ปรับรูปแบบมาจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF (Long Term Equity Fund) ที่ลงทุนในหุ้นเป็นหลัก

  • จำนวน : สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาท

  • เงื่อนไข :

          - ต้องซื้อระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2565 จึงจะใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีในปี 2565 ได้

          - ต้องถือครองอย่างน้อย 10 ปี (วันชนวัน) โดยไม่สามารถขายได้ หากขายก่อนครบกำหนด จะถือว่าทำผิดเงื่อนไขลดหย่อนภาษี และต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับการยกเว้น

          - จำนวนเงินที่ซื้อกองทุน SSF เมื่อรวมกับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF), กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.), กองทุนครูโรงเรียนเอกชน, กองทุนการออมแห่งชาติ และประกันชีวิตแบบบำนาญ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ในแต่ละปีภาษี

8. ลดหย่อนภาษี RMF หรือ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund)

  • จำนวน : หักลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 500,000 บาท 

  • เงื่อนไข :

          - ไม่มีขั้นต่ำในการซื้อ

          - ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี หรืออย่างน้อยปีเว้นปี

          - ต้องลงทุนอย่างน้อย 5 ปีเต็ม นับจากวันที่ลงทุนวันแรก โดยนับเฉพาะปีที่มีการซื้อหน่วยลงทุน คือ ปีใดไม่ลงทุนจะไม่นับว่ามีการลงทุนในปีนั้น

          - ต้องลงทุนต่อเนื่องจนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์

          - เมื่อซื้อ RMF รวมกับกองทุนรวม SSF + กบข. + กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ + กองทุนครูโรงเรียนเอกชน + ประกันชีวิตแบบบำนาญ + กองทุนการออมแห่งชาติ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

9. ลดหย่อนภาษี กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

  • จำนวน : ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินปีละ 10,000 บาท ส่วนจำนวนเงินที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 15% ของรายได้ และไม่เกิน 490,000 บาท จะได้รับยกเว้น ไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเงินได้ เพื่อเสียภาษี โดยสามารถนำเงินส่วนเกินนี้ไปหักออกจากเงินได้ก่อนหักค่าใช้จ่ายได้

  • เงื่อนไข : เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เมื่อรวมกับกองทุนรวม SSF, กองทุนรวม RMF, กบข., กองทุนครูโรงเรียนเอกชน, ประกันชีวิตแบบบำนาญ, กองทุนการออมแห่งชาติ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

10. ลดหย่อนภาษี กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)

  • จำนวน : ลดหย่อนภาษีได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี 

  • เงื่อนไข : เมื่อรวมกับกองทุนรวม SSF, RMF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนครูโรงเรียนเอกชน, ประกันชีวิตแบบบำนาญ, กองทุนการออมแห่งชาติ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

11. ลดหย่อนภาษี กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน

  • จำนวน : ลดหย่อนภาษีได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี

  • เงื่อนไข : เมื่อรวมกับกองทุนรวม SSF, กบข., RMF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, ประกันชีวิตแบบบำนาญ, กองทุนการออมแห่งชาติ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

12. ลดหย่อนภาษี กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)

  • จำนวน : ตามจำนวนที่จ่ายจริง สูงสุดปีละ 13,200 บาท

  • เงื่อนไข : เมื่อรวมกับกองทุนรวม SSF, กบข., RMF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, ประกันชีวิตแบบบำนาญ, กองทุนครูโรงเรียนเอกชน ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

13. ลดหย่อนภาษี เงินลงทุนธุรกิจ Social Enterprise (วิสาหกิจเพื่อสังคม)

  • จำนวน : ตามจำนวนที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท

  • เงื่อนไข : 

          - สำหรับบุคคลธรรมดาที่ลงหุ้น หรือลงทุน (ทั้งกรณีจัดตั้งและเพิ่มทุน) ในธุรกิจ Social Enterprise (วิสาหกิจเพื่อสังคม) โดยธุรกิจนั้นต้องจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมประเภทไม่ประสงค์แบ่งปันกำไร

          - ผู้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีต้องถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนจนกว่าวิสาหกิจเพื่อสังคมนั้นเลิกกิจการ เว้นแต่กรณีที่กำหนด

ลดหย่อนภาษี กลุ่มอสังหาริมทรัพย์
ลดหย่อนภาษี 2565

1. ลดหย่อนภาษี ดอกเบี้ยบ้าน

  • จำนวน : ดอกเบี้ยจากเงินกู้ยืมเพื่อการมีที่อยู่อาศัย สามารถใช้ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท

  • เงื่อนไข :

          - เป็นดอกเบี้ยจากเงินกู้การเช่าซื้อบ้าน คอนโด หรือที่อยู่อาศัย โดยเราต้องอยู่อาศัยในบ้านหลังนี้ด้วย

          - ต้องเป็นการกู้เพื่อซื้อหรือสร้างที่อยู่บนที่ดินของตัวเอง หรือกู้เพื่อซื้อคอนโดมิเนียม

          - ต้องเป็นการกู้ยืมจากสถาบันการเงินภายในประเทศ เช่น ธนาคารพาณิชย์และธนาคารของรัฐต่าง ๆ โดยทรัพย์สินที่กู้ต้องใช้มาเป็นหลักในการค้ำประกันการกู้ (จำนอง) ด้วย

          - หากมีการกู้สำหรับที่อยู่อาศัยมากกว่า 1 แห่ง สามารถใช้ลดหย่อนรวมกันได้ทุกแห่ง แต่ต้องไม่เกิน 100,000 บาท

          - กรณีกู้ร่วมกันหลายคน ก็ให้แบ่งดอกเบี้ยคนละเท่า ๆ กัน โดยไม่สนใจว่าผู้กู้ร่วมมีรายได้ที่จะเสียภาษีหรือไม่ และรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท

ลดหย่อนภาษี กลุ่มเงินบริจาค
ลดหย่อนภาษี 2565

          แบ่งเป็นกลุ่มเงินบริจาคที่ลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า และกลุ่มเงินบริจาคที่ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง
เงินบริจาคที่ลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า

1. เงินบริจาคเพื่อสนับสนุนการศึกษา

  • จำนวน : 2 เท่าของจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอย่างอื่น  

  •  เงื่อนไข :

          - ต้องเป็นสถานศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด ได้แก่ สถานศึกษาของรัฐ / โรงเรียนเอกชน แต่ไม่รวมถึงโรงเรียนนอกระบบ / สถาบันอุดมศึกษาเอกชน / สถานศึกษาที่จัดตั้งขึ้นในประเทศไทยตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับทบวงการชำนัญพิเศษแห่งสหประชาชาติ / สถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ

          - ต้องบริจาคและบันทึกข้อมูลผ่านระบบ e-Donation เท่านั้น (หากบริจาคเป็นเงินสด ไม่ได้ผ่านระบบ e-Donation จะลดหย่อนภาษีได้ 1 เท่า) โดยเป็นการบริจาคตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567

ตรวจสอบรายชื่อสถานศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด ให้ใช้สิทธิ์ลดหย่อนเงินบริจาค

2. เงินบริจาคให้แก่สถานพยาบาลของรัฐ

  • จำนวน : 2 เท่าของจำนวนที่จ่ายจริง แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคอื่นแล้วต้องไม่เกิน 10% ของเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนอื่น ๆ แล้ว

  •  เงื่อนไข :

          - เป็นการบริจาคให้สถานพยาบาลต่าง ๆ ของราชการ ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการศึกษา องค์การมหาชน หรือหน่วยงานต่าง ๆ (แต่ถ้าบริจาคให้มูลนิธิของโรงพยาบาลจะลดหย่อนภาษีได้ 1 เท่า)

          - ต้องมีหลักฐานใบเสร็จรับเงิน หรือมีการบันทึกข้อมูลบริจาคผ่านระบบ e-Donation ซึ่งส่งข้อมูลถึงกรมสรรพากรโดยตรง

          - การบริจาคเงินให้สภากาชาดไทยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ก็สามารถลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า

ตรวจสอบรายชื่อสถานพยาบาลของทางราชการที่หักลดหย่อนเงินบริจาคได้ 2 เท่า

3. เงินบริจาคสนับสนุนการกีฬา

  • จำนวน : 2 เท่าของจำนวนที่จ่ายจริง แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคอื่นแล้วต้องไม่เกิน 10% ของเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนอื่น ๆ แล้ว

  • เงื่อนไข :

          - เป็นการบริจาคเงินให้หน่วยงานด้านกีฬาที่สังกัดสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย

          - มีหลักฐานใบเสร็จรับเงิน หรือมีการบันทึกข้อมูลบริจาคผ่านระบบ e-Donation ซึ่งส่งข้อมูลถึงกรมสรรพากรโดยตรง

ตรวจสอบรายชื่อหน่วยงานด้านกีฬาที่หักลดหย่อนได้ 2 เท่า

ตรวจสอบรายชื่อหน่วยรับบริจาคที่ใช้ระบบ e-Donation

4. เงินบริจาคเพื่อการพัฒนาสังคม

  • จำนวน : 2 เท่าของจำนวนที่จ่ายจริง แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคอื่นแล้วต้องไม่เกิน 10% ของเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนอื่น ๆ แล้ว

  • เงื่อนไข : ต้องบริจาคให้หน่วยงานเพื่อการพัฒนาสังคม เช่น 

          - กองทุนพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการจัดตั้งขึ้น

          - องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อพัฒนาเด็กเล็ก  

          - โครงการฝึกอบรมอาชีพและการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟู และสงเคราะห์เด็กและเยาวชนของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนหรือศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน ในกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม 

          - กองทุนยุติธรรม

          - การจัดหาหนังสือหรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อส่งเสริมการอ่าน 

          - การบริจาคเงินให้แก่กองทุนเพื่อการพัฒนาระบบมาตรวิทยา กองทุนเพื่อการพัฒนาระบบสาธารณสุข กองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม

          - มูลนิธิภัทรมหาราชานุสรณ์ ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี

          - กองทุนเสมอภาคทางการศึกษา

5. เงินบริจาคให้แก่มูลนิธิด้านสาธารณสุข

  • จำนวน : 2 เท่าของจำนวนที่จ่ายจริง แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคอื่นแล้วต้องไม่เกิน 10% ของเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนอื่น ๆ แล้ว

  • เงื่อนไข : 

กลุ่ม 6 มูลนิธิด้านสาธารณสุข ได้แก่

1. มูลนิธิโรคมะเร็ง โรงพยาบาลศิริราช

2. มูลนิธิโรงพยาบาลราชวิถี

3. มูลนิธิสมเด็จพระปิ่นเกล้า

4. มูลนิธิโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

5. มูลนิธิโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

6. มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กองทัพเรือ ในพระบรมราชินูปถัมภ์

           โดยการบริจาคให้ 6 มูลนิธิ ต้องบริจาคและบันทึกข้อมูลผ่านระบบ e-Donation เท่านั้น และต้องบริจาคตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน - 31 ธันวาคม 2565

กลุ่ม 3 มูลนิธิด้านสาธารณสุข ได้แก่

1. มูลนิธิชัยพัฒนา

2. มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 

3. มูลนิธิรามาธิบดี ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

              โดยการบริจาคให้ 3 มูลนิธิ ต้องบริจาคและบันทึกข้อมูลผ่านระบบ e-Donation เท่านั้น  และสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี 2 เท่าได้ เมื่อบริจาคในวันที่ 26 กรกฎาคม 2565 - 31 ธันวาคม 2567 (กรณีต้องการลดหย่อนภาษี 2565 ต้องบริจาคในช่วงวันที่ 26 กรกฎาคม 2565 - 31 ธันวาคม 2565)
 

เช็กลิสต์ ! บริจาคเงินแบบไหน...ลดหย่อนภาษี 2565 ได้ 2 เท่า

เงินบริจาคที่ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง

1. เงินบริจาคให้กองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม

  • จำนวน : ตามที่บริจาคจริง แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคอื่นแล้วต้องไม่เกิน 10% ของเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนอื่น ๆ แล้ว

  • เงื่อนไข : 

          - ต้องบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Donation ให้แก่กองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม

          - สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ สำหรับการบริจาคตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2564 - 31 ธันวาคม 2566 (กรณีต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี 2565 จะต้องบริจาคในวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2565)

2. เงินบริจาคทั่วไป

  • จำนวน : ตามที่บริจาคจริง แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคอื่นแล้วต้องไม่เกิน 10% ของเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนอื่น ๆ แล้ว

  • เงื่อนไข :

          - เป็นการบริจาคเงินเพื่อสาธารณกุศล ให้แก่วัดวาอาราม มูลนิธิ สมาคม สถานสาธารณกุศล สถานสงเคราะห์ ฯลฯ

ตรวจสอบรายชื่อมูลนิธิ สมาคม สถานสาธารณกุศล ที่หักลดหย่อนเงินบริจาคได้

ตรวจสอบรายชื่อสถานสงเคราะห์ สถานพักฟื้นบำบัดและฟื้นฟูเด็ก คนชรา คนพิการ ที่หักลดหย่อนเงินบริจาคได้

3. เงินบริจาคให้พรรคการเมือง

  • จำนวน : ตามจำนวนที่บริจาคจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท
ลดหย่อนภาษี กลุ่มโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ
ลดหย่อนภาษี 2565

1. ลดหย่อนภาษี ช้อปดีมีคืน

  • จำนวน : ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท 

  • เงื่อนไข :

          - ต้องซื้อสินค้าหรือรับบริการในประเทศไทย 

          - ซื้อสินค้าจากร้านค้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เช่น ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เกต ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารที่จดทะเบียน VAT หรือร้านค้าทั่วไปที่ออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปได้เท่านั้น 

          - สินค้าที่ซื้อต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% 

          - ซื้อหนังสือ และหนังสือที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต หรือ E-book

          - ซื้อสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ที่ได้ลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชนแล้ว และมีหลักฐานเป็นใบเสร็จรับเงิน หรือใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปที่ระบุว่าเป็นรายการซื้อสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ 

          - ใช้สำหรับการซื้อสินค้าในช่วงวันที่ 1 มกราคม - 15 กุมภาพันธ์ 2565 
 

ช้อปดีมีคืน 2565 ใช้กับคนละครึ่งได้ไหม ลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่ มาเช็กเงื่อนไขกัน !

กรณียกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

ผู้พิการ

          ผู้มีเงินได้ที่เป็นผู้พิการ มีบัตรประจำตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550  ผู้อยู่ในประเทศไทย และมีอายุไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์ ในปีภาษี จะได้รับยกเว้นเงินได้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 190,000 บาท ในปีภาษีนั้น

ผู้สูงอายุ

          กรณีเป็นผู้สูงอายุ มีอายุไม่ต่ำกว่า 65 ปีบริบูรณ์ ในปีภาษี จะได้รับยกเว้นเงินได้เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 190,000 บาท ในปีภาษีนั้น

เครดิตภาษีเงินปันผล

           สำหรับคนที่ลงทุนในหุ้น ใช้ยกเว้นภาษีได้ตามสัดส่วนที่ได้รับจากเงินปันผล โดยสามารถดาวน์โหลดเอกสารเงินปันผลจากศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แล้วยื่นภาษีทางออนไลน์ได้เลย โดยไม่ต้องคำนวณเครดิตภาษีเอง
สรุปรายการลดหย่อนภาษี 2565
ลดหย่อนภาษี 2565

ลดหย่อนภาษี 2565

ลดหย่อนภาษี 2565

ลดหย่อนภาษี 2565

ลดหย่อนภาษี 2565

          ทั้งนี้ อย่าลืมเตรียมเอกสารและหลักฐานการลดหย่อนภาษีให้ครบถ้วน เพื่อจะได้ยื่นภาษีและขอคืนภาษี 2565 ได้เร็วขึ้น ซึ่งหากใครต้องการได้เงินคืนภาษีไว ๆ แนะนำให้ยื่นภาษีออนไลน์ และผูกบัญชีพร้อมเพย์กับบัตรประชาชนไว้ล่วงหน้าเลย
 

บทความที่เกี่ยวข้องกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

* หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 22 กันยายน 2565
 

ขอบคุณข้อมูลจาก : กรมสรรพากร (1), (2), (3), (4), รัฐบาลไทย

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ลดหย่อนภาษี 2565 มีอะไรบ้าง คำนวณให้ดี ก่อนยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา อัปเดตล่าสุด 1 มกราคม 2566 เวลา 09:47:28 93,063 อ่าน
TOP