สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนลงทุน
1. เงินที่นำมาลงทุนเป็นเงินเย็นแค่ไหน
2. เรามีเงินสำรองเพียงพอแล้วหรือยัง
3. จุดประสงค์การลงทุนเพื่ออะไร
4. ต้องการลงทุนในระยะเวลาเท่าไร
5. อัตราผลตอบแทนที่ต้องการเป็นเท่าไร และรับความเสี่ยงได้แค่ไหน
High Risk High Return การลงทุนมีความเสี่ยง ยิ่งเสี่ยงมากก็ยิ่งให้ผลตอบแทนมาก แต่โอกาสขาดทุนก็สูงมากตามไปด้วย ดังนั้นชั่งใจให้ดี ๆ ว่าถ้าวันหนึ่งเงินที่เราลงทุนไปขาดทุนมากกว่า 50% เราจะรับไหวไหม แต่หากไม่ชอบความเสี่ยงสูงก็ยังมีสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำที่ปลอดภัยกว่าให้เลือก ซึ่งแน่นอนว่าผลตอบแทนก็ไม่ได้สูงมาก
ทั้งนี้ สิ่งที่ควรย้ำอีกครั้งก็คือ ก่อนลงทุนใด ๆ ควรศึกษาหาความรู้ในสิ่งที่จะลงทุนให้มาก ๆ เพื่อทำความเข้าใจรูปแบบของการลงทุนนั้น ๆ นะคะ
มีเงิน 10,000 บาท ลงทุนอะไรดี
1. ฝากเงินในบัญชีดอกเบี้ยสูง
สำหรับคนที่รับความเสี่ยงไม่ได้เลย และไม่อยากให้เงินต้นหาย ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือการฝากเงินไว้กับธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยสูง ๆ ซึ่งมีทั้งเงินฝากออมทรัพย์ดิจิทัล และเงินฝากประจำ เพื่อรับอัตราดอกเบี้ย 1.50-3% ต่อปี โดยหากฝากเงินไว้ 10,000 บาท และไม่ถอนเงินออกมาเลย จะได้รับผลตอบแทนโดยประมาณ ดังนี้
- ฝาก 10,000 บาท ดอกเบี้ย 1.50% ต่อปี ครบ 1 ปี จะได้ดอกเบี้ย 150 บาท
- ฝาก 10,000 บาท ดอกเบี้ย 2% ต่อปี ครบ 1 ปี จะได้ดอกเบี้ย 250 บาท
- ฝาก 10,000 บาท ดอกเบี้ย 3% ต่อปี ครบ 1 ปี จะได้ดอกเบี้ย 300 บาท
แม้ดอกเบี้ยที่รับมาจะดูเป็นจำนวนเล็กน้อย แต่ถ้าเทียบกับฝากเงินไว้ในบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป ซึ่งให้ดอกเบี้ย 0.25-0.50% ต่อปี ก็ยังถือว่าได้ผลตอบแทนสูงกว่าหลายเท่านะคะ ใครยังไม่รู้ว่าจะเปิดบัญชีแบงก์ไหนดี เรารวบรวมบัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูงมาให้เลือกกัน
- 6 เงินฝากดิจิทัลดอกเบี้ยสูง ปี 2023 ฝากออนไลน์แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยเกิน 1.50% ต่อปี
- รวมเงินฝากออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง ปี 2566 แบบมีสมุด ออมได้ไม่ต้องเปิดบัญชีออนไลน์
- รวมบัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูง 2% ขึ้นไป ฝากแบงก์ไหน ถูกใจสายออม ปี 2566
ข้อดี : เงินต้นไม่หาย ไม่ขาดทุน ฝาก-ถอนได้ทุกเมื่อ และได้รับดอกเบี้ยตามกำหนด
ข้อเสีย : ผลตอบแทนน้อย
2. สลากออมทรัพย์
เป็นวิธีออมเงินที่เงินต้นยังอยู่ครบเช่นกัน แม้อัตราดอกเบี้ยจะไม่สูงมาก แต่มีดีตรงที่ได้ลุ้นโชคทุกงวด ซึ่งหากดวงดีถูกรางวัลขึ้นมา ผลตอบแทนจะยิ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม กรณีมีเงินลงทุนเพียง 10,000 บาท คงซื้อสลากออมทรัพย์ได้ไม่ครบวงจรที่จะถูกรางวัลขั้นต่ำทุกงวดนะคะ ดังนั้นบางงวดอาจจะไม่ถูกรางวัลเลย อยู่ที่ดวงล้วน ๆ ทีนี้ลองมาดูกันว่า ในงบประมาณเท่านี้ เราสามารถซื้อสลากออมทรัพย์ของธนาคารไหนได้บ้าง
- สลากออมสินพิเศษดิจิทัล 1 ปี หน่วยละ 20 บาท : ซื้อได้ 500 หน่วย เมื่อฝากครบ 1 ปี ได้ดอกเบี้ย 25 บาท ได้ลุ้นรางวัลที่ 1 มีมูลค่า 3 ล้านบาท
- สลากออมสินพิเศษ 2 ปี หรือสลากออมสินพิเศษดิจิทัล 2 ปี หน่วยละ 100 บาท : ซื้อได้ 100 หน่วย เมื่อฝากครบ 2 ปี จะได้ดอกเบี้ย 80 บาท มีรางวัลที่ 1 มูลค่า 10 ล้านบาท
- สลากดิจิทัล ธ.ก.ส. 2 ปี หน่วยละ 50 บาท : ซื้อได้ 200 หน่วย ฝากครบ 2 ปี จะได้ดอกเบี้ย 14 บาท มีรางวัลที่ 1 มูลค่า 5 ล้านบาท
- สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุด ขาลเพิ่มพูน ปี 2566 หน่วยละ 1,000 บาท : ซื้อได้ 10 หน่วย ฝากครบ 3 ปี ได้ดอกเบี้ย 300 บาท ได้ลุ้นรางวัลที่ 1 มูลค่า 2 ล้านบาท
- สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุด เกล็ดดาว Plus หน่วยละ 5,000 บาท : ซื้อได้ 2 หน่วย ฝากครบ 2 ปี ได้ดอกเบี้ย 130 บาท ได้ลุ้นรางวัลที่ 1 มูลค่า 1 ล้านบาท
ข้อดี : เงินต้นไม่หาย (ถ้าไม่ไถ่ถอนก่อน 3 เดือน) และยังได้ลุ้นรางวัลตลอดระยะเวลาฝาก เงินรางวัลไม่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย
ข้อเสีย : ถ้าไม่ถูกรางวัลเลยจะได้ผลตอบแทนน้อยกว่าการฝากเงินออมทรัพย์ดิจิทัลหรือฝากประจำ
3. พันธบัตรรัฐบาล หรือพันธบัตรออมทรัพย์
พันธบัตรรัฐบาล หรือพันธบัตรออมทรัพย์ เป็นตราสารหนี้ที่ออกโดยกระทรวงการคลัง เพื่อกู้เงินจากประชาชน ส่วนใหญ่จะมีอายุ 3-10 ปี อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ราว ๆ 2-4% ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา ยิ่งเป็นพันธบัตรที่มีอายุนาน ๆ ก็จะยิ่งให้ดอกเบี้ยสูง
ปัจจุบันนอกจากจะจำหน่ายผ่านธนาคารพาณิชย์แล้ว ยังเปิดขายในรูปแบบพันธบัตรออมทรัพย์ดิจิทัล บนวอลเล็ต สบม. ของกระทรวงการคลัง มีเงินแค่ 100 บาทก็สามารถซื้อได้แล้ว ถือเป็นวิธีออมเงินที่ค่อนข้างปลอดภัย เงินต้นไม่หาย และได้รับดอกเบี้ยแน่นอน เพียงแต่ดอกเบี้ยที่ได้รับต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15%
ข้อดี : เงินต้นไม่หาย และได้รับดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง
ข้อเสีย : ผลตอบแทนไม่สูงมาก ขึ้นอยู่กับอายุของพันธบัตร และดอกเบี้ยที่ได้รับยังต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15%
4. หุ้นกู้
หุ้นกู้ หรือ Corporate Bond คือ ตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทภาคเอกชน เพื่อนำเงินไปใช้ลงทุนในกิจการต่าง ๆ ของบริษัท โดยหุ้นกู้แต่ละชุดจะกำหนดอายุและอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 3-7% ต่อปี ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับอันดับเรตติ้งความน่าเชื่อถือของบริษัทด้วย หากเป็นบริษัทใหญ่ มีเครดิตระดับ A ขึ้นไป ก็จะมีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้น้อยกว่า แต่ก็ให้ดอกเบี้ยต่ำกว่าบริษัทที่ได้เครดิตระดับ B
แล้วเงินจำนวน 10,000 บาท สามารถซื้อหุ้นกู้ได้ไหม ? ต้องบอกว่าโดยส่วนใหญ่หุ้นกู้มักจะเปิดจองขั้นต่ำที่ 100,000 บาทค่ะ นาน ๆ ทีถึงจะมีหุ้นกู้ที่เปิดให้จองซื้อขั้นต่ำได้ที่ 1,000 บาทขึ้นไป เช่น หุ้นกู้ดิจิทัลที่จำหน่ายผ่านแอปฯ เป๋าตัง ถ้าใครสนใจลงทุนก็ต้องคอยติดตามข่าวการออกหุ้นกู้ ถึงจะซื้อได้ทัน
ข้อดี : ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝาก และได้รับดอกเบี้ยปีละ 2-4 ครั้ง (ขึ้นอยู่กับหุ้นกู้แต่ละชุด)
ข้อเสีย : มีโอกาสได้รับเงินต้นหรือดอกเบี้ยล่าช้ากว่ากำหนด หากบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ประสบปัญหาทางการเงิน ดังนั้นต้องเลือกบริษัทที่มีอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ BBB- ขึ้นไปจนถึง AAA เพราะแสดงว่าบริษัทมีความมั่นคงและผลประกอบการดี
5. กองทุนรวม
กองทุนรวม คือ การระดมเงินจากนักลงทุนไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ตามนโยบายของกองทุนนั้น ๆ โดยผู้ซื้อจะได้รับหน่วยลงทุน และมีสิทธิ์ได้รับเงินปันผล หากกองทุนนั้นมีนโยบายจ่ายเงินปันผล ทั้งนี้ กองทุนรวมมีหลายประเภท เรียงตามลำดับความเสี่ยงและการลงทุน เช่น
- กองทุนรวมตลาดเงิน : เน้นลงทุนในเงินฝากของธนาคาร หรือตราสารหนี้ระยะสั้น จึงมีความเสี่ยงต่ำ สามารถซื้อ-ขายหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ แต่จะได้รับเงินในอีก 1 วันทำการที่สั่งขายหน่วยลงทุน
- กองทุนรวมตราสารหนี้ : ลงทุนในตราสารหนี้เป็นหลัก มีให้เลือกทั้งตราสารหนี้ระยะสั้น-ยาว ลงทุนในประเทศ-ต่างประเทศ ลงทุนในพันธบัตรของรัฐ-หุ้นกู้เอกชน รวมทั้งลงทุนในบริษัทที่มีระดับเครดิตแตกต่างกัน ทำให้ผลตอบแทนของกองทุนแต่ละแห่งแตกต่างกันไป ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ราว ๆ 0.50-3% ต่อปี และมีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนรวมตลาดเงิน
- กองทุนรวมตราสารทุน : ลงทุนในหุ้นเป็นหลัก มีความเสี่ยงสูงพอสมควรที่จะขาดทุน สูญเสียเงินต้น ทว่าก็มีโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงเช่นกัน โดยมีให้เลือกลงทุนหลายประเภท ทั้งกองทุนรวมในประเทศ ต่างประเทศ กองทุนที่อ้างอิงผลตอบแทนตามดัชนี กองทุนรวมตามธีม เช่น เน้นลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวกับสุขภาพ ธุรกิจที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี ธุรกิจที่เกี่ยวกับพลังงานสะอาด ฯลฯ ซึ่งแต่ละประเภทมีอัตราความเสี่ยงและผลตอบแทนแตกต่างกันไป
- กองทุนรวมผสม : เน้นลงทุนในทรัพย์สินหลากหลาย เช่น เงินฝาก ตราสารหนี้ ตราสารทุน หรือตราสารอื่น ๆ ตามสัดส่วนที่กองทุนรวมกำหนด
- กองทุนรวมทรัพย์สินทางเลือก : เน้นลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงสูงมาก เช่น อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ น้ำมัน ซึ่งราคาผันผวนกว่าหุ้น มีโอกาสขาดทุนได้สูงมาก แต่ถ้าจับจังหวะดี ๆ ก็มีโอกาสทำกำไรได้มากเช่นกัน
เดี๋ยวนี้เราสามารถลงทุนในกองทุนรวมได้ง่ายขึ้น เพราะสามารถซื้อผ่านธนาคารได้เกือบทุกแห่ง รวมทั้งซื้อผ่านแอปพลิเคชันได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีหลาย ๆ กองทุนที่กำหนดวงเงินซื้อขั้นต่ำไว้เพียง 1 บาท หรือ 100 บาท เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ก่อนจะลงทุนต้องศึกษารายละเอียดการลงทุนและความเสี่ยงให้ดี
ข้อดี : มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูง
ข้อเสีย : มีโอกาสขาดทุนสูง และสูญเสียเงินต้น
6. ลงทุนในหุ้น
สำหรับคนที่มีเงิน 10,000 บาท ก็สามารถลงทุนในหุ้นได้เช่นกัน เพียงแต่จะมีหุ้นให้เลือกไม่กี่ตัว และซื้อได้ในจำนวนน้อย อีกทั้งในการซื้อ-ขายจะถูกหักค่าธรรมเนียมและภาษีอีกจำนวนหนึ่ง ดังนั้นในจำนวนต้นทุนเท่านี้จึงไม่เหมาะกับการซื้อมา-ขายไปในแต่ละวัน เพราะต้นทุนจะถูกค่าธรรมเนียมกินไปหมด อาจใช้วิธีซื้อสะสมไว้แล้วถือไปหลาย ๆ ปี เพื่อรอผลกำไรจากส่วนต่างของราคา หรือรอรับเงินปันผลก็ได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ห้ามลืมก็คือ การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงสูงมาก โอกาสที่เราจะทำกำไรได้ 10-20% ภายในไม่กี่เดือน มีสูงพอ ๆ กับโอกาสขาดทุน 10-20% หากคิดจะเล่นหุ้นจริง ๆ ต้องทำความเข้าใจในบริษัทที่เราจะซื้อหุ้นให้มาก ๆ และจับจังหวะซื้อ-ขายให้ถูก ไม่เช่นนั้นเงินเก็บอาจหายวับไปภายในพริบตา
- 7 วิธีเล่นหุ้นฉบับคนไม่มีเวลา มนุษย์เงินเดือนทำได้ ไม่ต้องนั่งเฝ้าจอทั้งวัน
- วิธีเล่นหุ้นด้วยตัวเอง มือใหม่เริ่มต้นหัดเล่นหุ้นต้องรู้เลย
ข้อดี : มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูง และได้รับเงินปันผล
ข้อเสีย : มีโอกาสขาดทุนสูง และสูญเสียเงินต้น
7. ออมทอง
ไม่ต้องใช้เงินมากก็ลงทุนในทองคำได้เช่นกัน เพราะเดี๋ยวนี้มีโปรแกรมออมทองที่ให้เราทยอยสะสมทองคำ ซื้อขั้นต่ำครั้งละหลักร้อย หลักพันก็ได้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของร้านทองนั้น ๆ ข้อดีคือ ไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ในการซื้อทอง จึงช่วยเฉลี่ยราคาทองคำ เมื่อออมทองครบตามกำหนดก็สามารถถอนทองออกมาเก็บไว้เองได้ หรือเลือกฝากไว้กับร้านทองเหมือนเดิมก็ได้ ลดความเสี่ยงการถูกโจรกรรมและสูญหาย
ข้อดี : สามารถทำกำไรได้ในระยะสั้น ๆ หากอยู่ในช่วงที่ราคาทองปรับตัวสูงขึ้น และสามารถเก็บสะสมไว้เป็นทรัพย์สินมีค่าในอนาคตได้
ข้อเสีย : มีโอกาสขาดทุน หากราคาทองอยู่ในช่วงขาลง และจะไม่มีการจ่ายเงินปันผลหรือดอกเบี้ยให้ระหว่างทางเหมือนกับการลงทุนประเภทอื่น
8. ลงทุนขายของ หรือเปิดธุรกิจ
เงินจำนวน 10,000 บาท สามารถขายของหรือเปิดธุรกิจเล็ก ๆ ได้ เช่น
- ขายอาหาร เช่น ขายข้าวกล่อง ขายข้าวแกง ขายขนม ของทอด ของกินเล่น กาแฟ เครื่องดื่มต่าง ๆ
- ขายของมือสอง โดยอาจจะเริ่มจากค้นหาของในบ้านมาโพสต์ขายในเฟซบุ๊กหรืออินสตาแกรม
- ซื้อแฟรนไชส์ที่เราสนใจ ซึ่งหลาย ๆ ร้านใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียงหลักพันเท่านั้น
- เป็นตัวแทนจำหน่าย (Dropship) เหมาะกับคนที่อยากขายของออนไลน์แต่ไม่อยากสต็อกของหรือส่งเอง ก็สมัครเป็นตัวแทนจำหน่าย แล้วนำภาพและข้อมูลสินค้าจากร้านมาโพสต์ขายตามโซเชียลแล้วบวกกำไรเพิ่มไป เมื่อมีลูกค้ามาสั่งซื้อสินค้าจากเราถึงค่อยไปสั่งซื้อจากร้านค้าอีกที
- ทำธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง เช่น รับดูแลสัตว์เลี้ยง บริการอาบน้ำ-ตัดขน พาไปเดินเล่น ขายของเล่นสัตว์เลี้ยง ฯลฯ
ข้อดี : ได้สร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง
ข้อเสีย : ต้องลงมือ ลงแรงเอง ผลตอบแทนที่ได้ขึ้นอยู่กับความขยัน และจำนวนลูกค้าที่ใช้บริการ
บทความที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน
- เล่นหุ้นเอง VS ซื้อกองทุนรวมหุ้น ชี้ชัด ๆ ทางเลือกไหนใช่สำหรับคุณ
- ลงทุนอะไรดี ยามดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ แนะ 14 ทางเลือกน่าสนใจ
- 60 งานทำที่บ้านก็ดี เป็นอาชีพเสริมก็รวย อาชีพหลักก็ปัง !
- 10 ธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง ปี 2566 สายไหนติดโผธุรกิจน่าสนใจ รับปีกระต่าย
- 12 เมนูข้าวกล่องทำขาย สร้างรายได้กำไรดีขายได้ทุกวัน
- แฟรนไชส์น่าลงทุน 2566 ธุรกิจไหนน่าสนใจ ขายง่าย กำไรดี คืนทุนเร็ว ปี 2023
- 10 แฟรนไชส์ชาไข่มุก 19 บาท ขายง่าย คืนทุนไว พร้อมเปิดร้านได้เลย
* หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 22 สิงหาคม 2566
ขอบคุณข้อมูลจาก : ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (1), (2), ธนาคารไทยพาณิชย์