x close

มีเงิน 10,000 บาท ลงทุนอะไรดี ปี 2566 ให้ผลตอบแทนงอกเงย

          ลงทุนอะไรดี ถ้ามีเงินเก็บอยู่ 10,000 บาท เรารวบรวมไอเดียเพิ่มผลตอบแทนให้เงินก้อนนี้มาบอกแล้ว
          ถึงจะมีเงินเก็บไม่มากก็สามารถลงทุนได้ เพื่อบริหารจัดการเงินในกระเป๋าของเราให้ได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้น อย่างในปัจจุบันมีหลายช่องทางให้เลือกตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เอาเป็นว่าใครที่มีเงินเก็บอยู่ 10,000 บาท แล้วอยากรู้ว่าควรลงทุนทำอะไรดี หรือมีวิธีออมเงินแบบไหนน่าสนใจบ้าง ตามมาดูกันค่ะ แต่แนะนำให้อ่านสิ่งที่ควรพิจารณาก่อนลงทุนก่อนนะ

สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนลงทุน

การลงทุน

1. เงินที่นำมาลงทุนเป็นเงินเย็นแค่ไหน

          หากเงินก้อนนี้เป็นเงินเหลือเก็บ ไม่ต้องนำไปใช้จ่ายกับเรื่องใด ๆ ข้อนี้ไม่มีปัญหา แต่ถ้าใครยังต้องการใช้เงินในช่วง 1-3 เดือนนี้ หรืออีก 6 เดือนข้างหน้าต้องนำไปใช้จ่าย แนะนำว่าอย่าเพิ่งลงทุนดีกว่าค่ะ หรืออาจเลือกลงทุนในระยะสั้นที่ไม่มีความเสี่ยงใด ๆ เลย เช่น การฝากเงินไว้กับธนาคาร เพื่อความมั่นใจว่าเงินก้อนนี้จะไม่ขาดทุนสูญหาย

2. เรามีเงินสำรองเพียงพอแล้วหรือยัง

          ตามพีระมิดการเงิน เราต้องแบ่งเงินไว้เป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 6 เดือน ให้ครบก่อน ถ้ามีเงินเหลือเก็บเพียงพอจึงค่อยนำมาลงทุน เพราะเมื่อวันไหนจำเป็นต้องใช้เงินด่วนขึ้นมาจะได้ไม่เดือดร้อนไปกู้ยืมคนอื่นหรือถอนเงินที่ลงทุนออกมาใช้

3. จุดประสงค์การลงทุนเพื่ออะไร

          ต้องตั้งเป้าหมายว่าเรานำเงินก้อนนี้มาลงทุนเพื่ออะไร เช่น เพื่อเรียนต่อต่างประเทศ เป็นค่าเทอมให้ลูกจนเรียนจบมหาวิทยาลัย ซื้อบ้าน ซื้อรถ แต่งงาน เก็บไว้ใช้ยามเกษียณ จะได้วางแผนให้เหมาะสมว่าควรกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ใด

4. ต้องการลงทุนในระยะเวลาเท่าไร

          ระยะเวลาการลงทุนก็สำคัญ เพราะมีผลต่อการเลือกสินทรัพย์ที่จะนำไปลงทุน เช่น ถ้าลงทุนได้ 2 ปี ก็อาจจะเลือกฝากประจำ ซื้อสลากออมทรัพย์ แต่ถ้าสามารถลงทุนได้นาน 10 ปีขึ้นไป ก็สามารถซื้อพันธบัตรระยะยาวได้เช่นกัน

5. อัตราผลตอบแทนที่ต้องการเป็นเท่าไร และรับความเสี่ยงได้แค่ไหน

          High Risk High Return การลงทุนมีความเสี่ยง ยิ่งเสี่ยงมากก็ยิ่งให้ผลตอบแทนมาก แต่โอกาสขาดทุนก็สูงมากตามไปด้วย ดังนั้นชั่งใจให้ดี ๆ ว่าถ้าวันหนึ่งเงินที่เราลงทุนไปขาดทุนมากกว่า 50% เราจะรับไหวไหม แต่หากไม่ชอบความเสี่ยงสูงก็ยังมีสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำที่ปลอดภัยกว่าให้เลือก ซึ่งแน่นอนว่าผลตอบแทนก็ไม่ได้สูงมาก

          ทั้งนี้ สิ่งที่ควรย้ำอีกครั้งก็คือ ก่อนลงทุนใด ๆ ควรศึกษาหาความรู้ในสิ่งที่จะลงทุนให้มาก ๆ เพื่อทำความเข้าใจรูปแบบของการลงทุนนั้น ๆ นะคะ

มีเงิน 10,000 บาท ลงทุนอะไรดี

การลงทุน

          ก่อนอื่นอยากให้ทำความเข้าใจว่า เงิน 10,000 บาท ยังเป็นจำนวนไม่มากพอที่จะสร้างผลตอบแทนสูง ๆ ได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้นอาจจะทยอยเก็บเงินไปเรื่อย ๆ เพื่อให้กลายเป็นเงินก้อนใหญ่ที่เมื่อนำมาลงทุนแล้วจะได้ผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำมากกว่า ว่าแล้วลองมาดูไอเดียเพื่อเลือกลงทุนในขั้นต้นกัน ตามนี้เลย

1. ฝากเงินในบัญชีดอกเบี้ยสูง

          สำหรับคนที่รับความเสี่ยงไม่ได้เลย และไม่อยากให้เงินต้นหาย ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือการฝากเงินไว้กับธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยสูง ๆ ซึ่งมีทั้งเงินฝากออมทรัพย์ดิจิทัล และเงินฝากประจำ เพื่อรับอัตราดอกเบี้ย 1.50-3% ต่อปี โดยหากฝากเงินไว้ 10,000 บาท และไม่ถอนเงินออกมาเลย จะได้รับผลตอบแทนโดยประมาณ ดังนี้

  • ฝาก 10,000 บาท ดอกเบี้ย 1.50% ต่อปี ครบ 1 ปี จะได้ดอกเบี้ย 150 บาท
  • ฝาก 10,000 บาท ดอกเบี้ย 2% ต่อปี ครบ 1 ปี จะได้ดอกเบี้ย 250 บาท
  • ฝาก 10,000 บาท ดอกเบี้ย 3% ต่อปี ครบ 1 ปี จะได้ดอกเบี้ย 300 บาท

          แม้ดอกเบี้ยที่รับมาจะดูเป็นจำนวนเล็กน้อย แต่ถ้าเทียบกับฝากเงินไว้ในบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป ซึ่งให้ดอกเบี้ย 0.25-0.50% ต่อปี ก็ยังถือว่าได้ผลตอบแทนสูงกว่าหลายเท่านะคะ ใครยังไม่รู้ว่าจะเปิดบัญชีแบงก์ไหนดี เรารวบรวมบัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูงมาให้เลือกกัน

      - 6 เงินฝากดิจิทัลดอกเบี้ยสูง ปี 2023 ฝากออนไลน์แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยเกิน 1.50% ต่อปี 
      - รวมเงินฝากออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง ปี 2566 แบบมีสมุด ออมได้ไม่ต้องเปิดบัญชีออนไลน์ 
      - รวมบัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูง 2% ขึ้นไป ฝากแบงก์ไหน ถูกใจสายออม ปี 2566

ระดับความเสี่ยง : ต่ำ
ข้อดี : เงินต้นไม่หาย ไม่ขาดทุน ฝาก-ถอนได้ทุกเมื่อ และได้รับดอกเบี้ยตามกำหนด
ข้อเสีย : ผลตอบแทนน้อย

2. สลากออมทรัพย์

          เป็นวิธีออมเงินที่เงินต้นยังอยู่ครบเช่นกัน แม้อัตราดอกเบี้ยจะไม่สูงมาก แต่มีดีตรงที่ได้ลุ้นโชคทุกงวด ซึ่งหากดวงดีถูกรางวัลขึ้นมา ผลตอบแทนจะยิ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม กรณีมีเงินลงทุนเพียง 10,000 บาท คงซื้อสลากออมทรัพย์ได้ไม่ครบวงจรที่จะถูกรางวัลขั้นต่ำทุกงวดนะคะ ดังนั้นบางงวดอาจจะไม่ถูกรางวัลเลย อยู่ที่ดวงล้วน ๆ ทีนี้ลองมาดูกันว่า ในงบประมาณเท่านี้ เราสามารถซื้อสลากออมทรัพย์ของธนาคารไหนได้บ้าง

  • สลากออมสินพิเศษดิจิทัล 1 ปี หน่วยละ 20 บาท : ซื้อได้ 500 หน่วย เมื่อฝากครบ 1 ปี ได้ดอกเบี้ย 25 บาท ได้ลุ้นรางวัลที่ 1 มีมูลค่า 3 ล้านบาท
  • สลากออมสินพิเศษ 2 ปี หรือสลากออมสินพิเศษดิจิทัล 2 ปี หน่วยละ 100 บาท : ซื้อได้ 100 หน่วย เมื่อฝากครบ 2 ปี จะได้ดอกเบี้ย 80 บาท มีรางวัลที่ 1 มูลค่า 10 ล้านบาท
  • สลากดิจิทัล ธ.ก.ส. 2 ปี หน่วยละ 50 บาท : ซื้อได้ 200 หน่วย ฝากครบ 2 ปี จะได้ดอกเบี้ย 14 บาท มีรางวัลที่ 1 มูลค่า 5 ล้านบาท
  • สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุด ขาลเพิ่มพูน ปี 2566 หน่วยละ 1,000 บาท : ซื้อได้ 10 หน่วย ฝากครบ 3 ปี ได้ดอกเบี้ย 300 บาท ได้ลุ้นรางวัลที่ 1 มูลค่า 2 ล้านบาท
  • สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุด เกล็ดดาว Plus หน่วยละ 5,000 บาท : ซื้อได้ 2 หน่วย ฝากครบ 2 ปี ได้ดอกเบี้ย 130 บาท ได้ลุ้นรางวัลที่ 1 มูลค่า 1 ล้านบาท
ระดับความเสี่ยง : ต่ำ
ข้อดี : เงินต้นไม่หาย (ถ้าไม่ไถ่ถอนก่อน 3 เดือน) และยังได้ลุ้นรางวัลตลอดระยะเวลาฝาก เงินรางวัลไม่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย
ข้อเสีย : ถ้าไม่ถูกรางวัลเลยจะได้ผลตอบแทนน้อยกว่าการฝากเงินออมทรัพย์ดิจิทัลหรือฝากประจำ

3. พันธบัตรรัฐบาล หรือพันธบัตรออมทรัพย์

          พันธบัตรรัฐบาล หรือพันธบัตรออมทรัพย์ เป็นตราสารหนี้ที่ออกโดยกระทรวงการคลัง เพื่อกู้เงินจากประชาชน ส่วนใหญ่จะมีอายุ 3-10 ปี อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ราว ๆ 2-4% ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา ยิ่งเป็นพันธบัตรที่มีอายุนาน ๆ ก็จะยิ่งให้ดอกเบี้ยสูง

          ปัจจุบันนอกจากจะจำหน่ายผ่านธนาคารพาณิชย์แล้ว ยังเปิดขายในรูปแบบพันธบัตรออมทรัพย์ดิจิทัล บนวอลเล็ต สบม. ของกระทรวงการคลัง มีเงินแค่ 100 บาทก็สามารถซื้อได้แล้ว ถือเป็นวิธีออมเงินที่ค่อนข้างปลอดภัย เงินต้นไม่หาย และได้รับดอกเบี้ยแน่นอน เพียงแต่ดอกเบี้ยที่ได้รับต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% 

ระดับความเสี่ยง : ต่ำ
ข้อดี : เงินต้นไม่หาย และได้รับดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง
ข้อเสีย : ผลตอบแทนไม่สูงมาก ขึ้นอยู่กับอายุของพันธบัตร และดอกเบี้ยที่ได้รับยังต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15%

4. หุ้นกู้

          หุ้นกู้ หรือ Corporate Bond คือ ตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทภาคเอกชน เพื่อนำเงินไปใช้ลงทุนในกิจการต่าง ๆ ของบริษัท โดยหุ้นกู้แต่ละชุดจะกำหนดอายุและอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 3-7% ต่อปี ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับอันดับเรตติ้งความน่าเชื่อถือของบริษัทด้วย หากเป็นบริษัทใหญ่ มีเครดิตระดับ A ขึ้นไป ก็จะมีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้น้อยกว่า แต่ก็ให้ดอกเบี้ยต่ำกว่าบริษัทที่ได้เครดิตระดับ B

          แล้วเงินจำนวน 10,000 บาท สามารถซื้อหุ้นกู้ได้ไหม ? ต้องบอกว่าโดยส่วนใหญ่หุ้นกู้มักจะเปิดจองขั้นต่ำที่ 100,000 บาทค่ะ นาน ๆ ทีถึงจะมีหุ้นกู้ที่เปิดให้จองซื้อขั้นต่ำได้ที่ 1,000 บาทขึ้นไป เช่น หุ้นกู้ดิจิทัลที่จำหน่ายผ่านแอปฯ เป๋าตัง ถ้าใครสนใจลงทุนก็ต้องคอยติดตามข่าวการออกหุ้นกู้ ถึงจะซื้อได้ทัน

      - หุ้นกู้ ลงทุนไม่ยากอย่างที่คิด 

ระดับความเสี่ยง : ปานกลาง-สูง
ข้อดี : ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝาก และได้รับดอกเบี้ยปีละ 2-4 ครั้ง (ขึ้นอยู่กับหุ้นกู้แต่ละชุด)
ข้อเสีย : มีโอกาสได้รับเงินต้นหรือดอกเบี้ยล่าช้ากว่ากำหนด หากบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ประสบปัญหาทางการเงิน ดังนั้นต้องเลือกบริษัทที่มีอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ BBB- ขึ้นไปจนถึง AAA เพราะแสดงว่าบริษัทมีความมั่นคงและผลประกอบการดี

5. กองทุนรวม

การลงทุน

          กองทุนรวม คือ การระดมเงินจากนักลงทุนไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ตามนโยบายของกองทุนนั้น ๆ โดยผู้ซื้อจะได้รับหน่วยลงทุน และมีสิทธิ์ได้รับเงินปันผล หากกองทุนนั้นมีนโยบายจ่ายเงินปันผล ทั้งนี้ กองทุนรวมมีหลายประเภท เรียงตามลำดับความเสี่ยงและการลงทุน เช่น

  • กองทุนรวมตลาดเงิน : เน้นลงทุนในเงินฝากของธนาคาร หรือตราสารหนี้ระยะสั้น จึงมีความเสี่ยงต่ำ สามารถซื้อ-ขายหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ แต่จะได้รับเงินในอีก 1 วันทำการที่สั่งขายหน่วยลงทุน
  • กองทุนรวมตราสารหนี้ : ลงทุนในตราสารหนี้เป็นหลัก มีให้เลือกทั้งตราสารหนี้ระยะสั้น-ยาว ลงทุนในประเทศ-ต่างประเทศ ลงทุนในพันธบัตรของรัฐ-หุ้นกู้เอกชน รวมทั้งลงทุนในบริษัทที่มีระดับเครดิตแตกต่างกัน ทำให้ผลตอบแทนของกองทุนแต่ละแห่งแตกต่างกันไป ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ราว ๆ 0.50-3% ต่อปี และมีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนรวมตลาดเงิน 
  • กองทุนรวมตราสารทุน : ลงทุนในหุ้นเป็นหลัก มีความเสี่ยงสูงพอสมควรที่จะขาดทุน สูญเสียเงินต้น ทว่าก็มีโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงเช่นกัน โดยมีให้เลือกลงทุนหลายประเภท ทั้งกองทุนรวมในประเทศ ต่างประเทศ กองทุนที่อ้างอิงผลตอบแทนตามดัชนี กองทุนรวมตามธีม เช่น เน้นลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวกับสุขภาพ ธุรกิจที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี ธุรกิจที่เกี่ยวกับพลังงานสะอาด ฯลฯ ซึ่งแต่ละประเภทมีอัตราความเสี่ยงและผลตอบแทนแตกต่างกันไป
  • กองทุนรวมผสม : เน้นลงทุนในทรัพย์สินหลากหลาย เช่น เงินฝาก ตราสารหนี้ ตราสารทุน หรือตราสารอื่น ๆ ตามสัดส่วนที่กองทุนรวมกำหนด
  • กองทุนรวมทรัพย์สินทางเลือก : เน้นลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงสูงมาก เช่น อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ น้ำมัน ซึ่งราคาผันผวนกว่าหุ้น มีโอกาสขาดทุนได้สูงมาก แต่ถ้าจับจังหวะดี ๆ ก็มีโอกาสทำกำไรได้มากเช่นกัน

          เดี๋ยวนี้เราสามารถลงทุนในกองทุนรวมได้ง่ายขึ้น เพราะสามารถซื้อผ่านธนาคารได้เกือบทุกแห่ง รวมทั้งซื้อผ่านแอปพลิเคชันได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีหลาย ๆ กองทุนที่กำหนดวงเงินซื้อขั้นต่ำไว้เพียง 1 บาท หรือ 100 บาท เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ก่อนจะลงทุนต้องศึกษารายละเอียดการลงทุนและความเสี่ยงให้ดี 

ระดับความเสี่ยง : ต่ำ-สูง (ขึ้นอยู่กับนโยบายของกองทุนรวมที่เลือก)
ข้อดี : มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูง
ข้อเสีย : มีโอกาสขาดทุนสูง และสูญเสียเงินต้น

6. ลงทุนในหุ้น

          สำหรับคนที่มีเงิน 10,000 บาท ก็สามารถลงทุนในหุ้นได้เช่นกัน เพียงแต่จะมีหุ้นให้เลือกไม่กี่ตัว และซื้อได้ในจำนวนน้อย อีกทั้งในการซื้อ-ขายจะถูกหักค่าธรรมเนียมและภาษีอีกจำนวนหนึ่ง ดังนั้นในจำนวนต้นทุนเท่านี้จึงไม่เหมาะกับการซื้อมา-ขายไปในแต่ละวัน เพราะต้นทุนจะถูกค่าธรรมเนียมกินไปหมด อาจใช้วิธีซื้อสะสมไว้แล้วถือไปหลาย ๆ ปี เพื่อรอผลกำไรจากส่วนต่างของราคา หรือรอรับเงินปันผลก็ได้

          อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ห้ามลืมก็คือ การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงสูงมาก โอกาสที่เราจะทำกำไรได้ 10-20% ภายในไม่กี่เดือน มีสูงพอ ๆ กับโอกาสขาดทุน 10-20% หากคิดจะเล่นหุ้นจริง ๆ ต้องทำความเข้าใจในบริษัทที่เราจะซื้อหุ้นให้มาก ๆ และจับจังหวะซื้อ-ขายให้ถูก ไม่เช่นนั้นเงินเก็บอาจหายวับไปภายในพริบตา

      - 7 วิธีเล่นหุ้นฉบับคนไม่มีเวลา มนุษย์เงินเดือนทำได้ ไม่ต้องนั่งเฝ้าจอทั้งวัน 
      - วิธีเล่นหุ้นด้วยตัวเอง มือใหม่เริ่มต้นหัดเล่นหุ้นต้องรู้เลย

ระดับความเสี่ยง : สูง 
ข้อดี : มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูง และได้รับเงินปันผล
ข้อเสีย : มีโอกาสขาดทุนสูง และสูญเสียเงินต้น

7. ออมทอง

          ไม่ต้องใช้เงินมากก็ลงทุนในทองคำได้เช่นกัน เพราะเดี๋ยวนี้มีโปรแกรมออมทองที่ให้เราทยอยสะสมทองคำ ซื้อขั้นต่ำครั้งละหลักร้อย หลักพันก็ได้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของร้านทองนั้น ๆ ข้อดีคือ ไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ในการซื้อทอง จึงช่วยเฉลี่ยราคาทองคำ เมื่อออมทองครบตามกำหนดก็สามารถถอนทองออกมาเก็บไว้เองได้ หรือเลือกฝากไว้กับร้านทองเหมือนเดิมก็ได้ ลดความเสี่ยงการถูกโจรกรรมและสูญหาย

ระดับความเสี่ยง : สูง เพราะราคาทองมีความผันผวนสูง 
ข้อดี : สามารถทำกำไรได้ในระยะสั้น ๆ หากอยู่ในช่วงที่ราคาทองปรับตัวสูงขึ้น และสามารถเก็บสะสมไว้เป็นทรัพย์สินมีค่าในอนาคตได้
ข้อเสีย : มีโอกาสขาดทุน หากราคาทองอยู่ในช่วงขาลง และจะไม่มีการจ่ายเงินปันผลหรือดอกเบี้ยให้ระหว่างทางเหมือนกับการลงทุนประเภทอื่น

8. ลงทุนขายของ หรือเปิดธุรกิจ

การลงทุน

          เงินจำนวน 10,000 บาท สามารถขายของหรือเปิดธุรกิจเล็ก ๆ ได้ เช่น

  • ขายอาหาร เช่น ขายข้าวกล่อง ขายข้าวแกง ขายขนม ของทอด ของกินเล่น กาแฟ เครื่องดื่มต่าง ๆ
  • ขายของมือสอง โดยอาจจะเริ่มจากค้นหาของในบ้านมาโพสต์ขายในเฟซบุ๊กหรืออินสตาแกรม 
  • ซื้อแฟรนไชส์ที่เราสนใจ ซึ่งหลาย ๆ ร้านใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียงหลักพันเท่านั้น
  • เป็นตัวแทนจำหน่าย (Dropship) เหมาะกับคนที่อยากขายของออนไลน์แต่ไม่อยากสต็อกของหรือส่งเอง ก็สมัครเป็นตัวแทนจำหน่าย แล้วนำภาพและข้อมูลสินค้าจากร้านมาโพสต์ขายตามโซเชียลแล้วบวกกำไรเพิ่มไป เมื่อมีลูกค้ามาสั่งซื้อสินค้าจากเราถึงค่อยไปสั่งซื้อจากร้านค้าอีกที
  • ทำธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง เช่น รับดูแลสัตว์เลี้ยง บริการอาบน้ำ-ตัดขน พาไปเดินเล่น ขายของเล่นสัตว์เลี้ยง ฯลฯ
ระดับความเสี่ยง : ขึ้นอยู่กับธุรกิจที่เลือก และความรู้ที่มีต่อธุรกิจนั้น
ข้อดี : ได้สร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง  
ข้อเสีย : ต้องลงมือ ลงแรงเอง ผลตอบแทนที่ได้ขึ้นอยู่กับความขยัน และจำนวนลูกค้าที่ใช้บริการ
          นี่คือตัวอย่างของการลงทุนด้วยงบ 10,000 บาท ซึ่งมีให้เลือกทั้งการลงทุนกับสินทรัพย์ และลงทุนค้าขายสินค้า ใครถนัดแบบไหนก็ลองศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนนะคะ

บทความที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน

* หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 22 สิงหาคม 2566

ขอบคุณข้อมูลจาก : ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (1), (2), ธนาคารไทยพาณิชย์

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
มีเงิน 10,000 บาท ลงทุนอะไรดี ปี 2566 ให้ผลตอบแทนงอกเงย อัปเดตล่าสุด 22 สิงหาคม 2566 เวลา 18:03:00 149,845 อ่าน
TOP