
ประกันควบการลงทุน คืออะไร
ประกันควบการลงทุน หรือ ประกันชีวิตควบการลงทุน เป็นประกันชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งที่รวมความคุ้มครองชีวิตกับการลงทุนในกองทุนรวมเอาไว้ด้วยกัน พูดง่าย ๆ คือ ผู้เอาประกันจะได้ทั้งความคุ้มครองชีวิตและมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในกรมธรรม์เดียว
อย่างไรก็ตาม ประกันควบการลงทุนไม่สามารถการันตีผลตอบแทนได้ชัดเจนเหมือนกับประกันชีวิตแบบอื่น ๆ เพราะต้องขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของกองทุนที่เลือกไว้ ดังนั้น ผู้ทำประกันประเภทนี้จึงต้องทำความเข้าใจเงื่อนไขของการลงทุนและยอมรับความเสี่ยงได้
ประกันควบการลงทุน มีกี่ประเภท

1. ประกันยูนิตลิงก์ (Unit Linked)
2. ประกันยูนิเวอร์แซลไลฟ์ (Universal Life)
ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาพูดถึงประกันชีวิต Unit Linked เป็นหลัก
ประกันควบการลงทุน
ต่างจากประกันชีวิตทั่วไปอย่างไร

ประกันชีวิตควบการลงทุนมีความซับซ้อนอย่างมาก จึงแตกต่างจากประกันชีวิตทั่วไปหลายข้อ ดังนี้
ความคุ้มครอง
-
ประกันชีวิตทั่วไป : ให้ความคุ้มครองชีวิตเพียงอย่างเดียว หากเป็นประกันออมทรัพย์หรือบำนาญจะมีเงินคืนให้บางส่วน
-
ประกันชีวิตควบการลงทุน : ให้ความคุ้มครองชีวิตและมีโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวม ซึ่งมูลค่าที่สะสมจากการลงทุนสามารถถูกนำมาใช้หักค่าความคุ้มครองและค่าธรรมเนียมในกรมธรรม์ได้ ดังนั้นหากผลการลงทุนเติบโตเพียงพอ ผู้เอาประกันอาจหยุดจ่ายเบี้ยใหม่ได้ แต่หากผลตอบแทนไม่เป็นไปตามคาด มูลค่าอาจไม่พอและต้องจ่ายเบี้ยเพิ่มเพื่อรักษากรมธรรม์ ไม่เช่นนั้นความคุ้มครองชีวิตอาจสิ้นสุดลงก่อนครบสัญญา
สัดส่วนของเบี้ยประกันที่จ่าย
-
ประกันชีวิตทั่วไป : จ่ายเบี้ยในอัตราคงที่ตามระยะเวลาที่แบบประกันกำหนด โดยเบี้ยส่วนใหญ่จะอยู่ในส่วนของความคุ้มครองชีวิต อาจมีในส่วนของเงินออมบ้างสำหรับประกันชีวิตแบบออมทรัพย์หรือตลอดชีพ
-
ประกันชีวิตควบการลงทุน : บางแผนสามารถกำหนดระยะเวลาจ่ายเบี้ยได้ เพิ่มหรือลดเบี้ยได้ พักชำระเบี้ยได้ (ตามเงื่อนไขของกรมธรรม์) นอกจากนี้ เบี้ยที่จ่ายไปจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ๆ คือ
1. ค่าความคุ้มครองชีวิต (Cost of Insurance : COI) ตรงนี้เหมือนกับประกันชีวิตทั่วไป คือเป็นส่วนที่นำไปคุ้มครองชีวิต หากผู้เอาประกันเสียชีวิต ผู้รับประโยชน์จะได้รับเงินตามทุนประกัน แต่ค่าเบี้ยส่วนนี้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับทุนประกันที่เราเลือก โดยต้องพิจารณาเรื่องอายุและเพศของผู้เอาประกันด้วย
2. ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่บริษัทเรียกเก็บ คือ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของบริษัท เช่น ค่าธรรมเนียมการบริหารกรมธรรม์ ค่าการประกันภัย ค่านายหน้าตัวแทน ค่าธรรมเนียมการจัดการลงทุน ค่าธรรมเนียมการต่ออายุกรมธรรม์ ฯลฯ ขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัทกำหนด ซึ่งจะถูกหักออกจากมูลค่าหน่วยลงทุนทุกเดือน
3. เงินลงทุนในกองทุนรวม เป็นส่วนที่เหลือหลังหักค่าใช้จ่ายในข้อ 1 และ 2 เราสามารถเลือกกองทุนที่ต้องการลงทุนได้เอง แต่ถ้าเลือกทุนประกันชีวิตสูงและมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ สูง ก็จะเหลือเงินมาลงทุนส่วนที่ 3 น้อยลง
ทุนประกันชีวิต
-
ประกันชีวิตทั่วไป : ทุนประกันชีวิตคงที่ตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ เช่น ถ้าซื้อทุนประกันชีวิต 5 ล้านบาทก็จะได้รับความคุ้มครองในจำนวนนี้ตลอดอายุกรมธรรม์ โดยไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้
-
ประกันชีวิตควบการลงทุน : ให้ความคุ้มครองชีวิตสูงกว่าประกันชีวิตทั่วไป บางแผนเลือกได้ว่าต้องการความคุ้มครองชีวิตสูงเป็นกี่เท่าของเบี้ยที่จ่าย (โดยไม่เกินขั้นสูงสุดที่กำหนด) และสามารถปรับเพิ่มหรือลดทุนประกันชีวิตได้ (ตามเงื่อนไขของแบบประกัน) ขึ้นอยู่ความต้องการของแต่ละช่วงชีวิต เช่น ตอนเพิ่งเริ่มทำงานอาจเลือกทุนประกันไว้ที่ 5 ล้านบาท เพื่อเหลือเงินไปลงทุนมากขึ้น แต่เมื่อมีครอบครัวก็สามารถปรับเพิ่มทุนประกันเป็น 10 ล้านบาทได้ และหากเสียชีวิตจะได้รับผลประโยชน์ตามทุนประกันรวมกับมูลค่าของกรมธรรม์ที่ได้จากการลงทุน
การชำระเบี้ยประกัน
-
ประกันชีวิตทั่วไป : ระยะเวลาชำระเบี้ยถูกกำหนดตายตัวตั้งแต่ต้น เช่น 15 ปี, 20 ปี, จ่ายถึงอายุ 60 ปี หรือบางแผนถึงอายุ 99 ปี ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขได้ ต้องจ่ายตามที่ระบุไว้จนกว่าจะครบกำหนด
-
ประกันชีวิตควบการลงทุน : บางแผนสามารถปรับเปลี่ยนได้ เช่น ชำระเบี้ยถึงอายุ 60 ปี แต่ให้ความคุ้มครองต่อเนื่องไปถึงอายุ 99 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับมูลค่าเงินลงทุนว่ามีเพียงพอสำหรับหักค่าใช้จ่ายและค่าความคุ้มครองต่อเนื่องหรือไม่ ถ้าไม่พอ เราต้องกลับมาจ่ายเบี้ยเพิ่มเพื่อรักษากรมธรรม์
การเติมเงินพิเศษ
-
ประกันชีวิตทั่วไป : ไม่สามารถเติมเงินเพื่อจ่ายเบี้ยประกันเพิ่มเติมได้
-
ประกันชีวิตควบการลงทุน : สามารถเติมเงินพิเศษ (Top-up Premium) เพิ่มเข้าไปนอกเหนือจากเบี้ยหลักได้ เพื่อลงทุนได้มากขึ้น แบ่งเป็น 2 แบบหลัก ๆ คือ
1. RTU (Regular Top-up Premium) คือการเติมเงินประจำ จ่ายพร้อมกับเบี้ยหลักทุกปี เหมาะกับคนที่อยากลงทุนสม่ำเสมอไปพร้อม ๆ กับเบี้ยประกัน
2. ATU (Ad-hoc Top-up Premium) คือเติมเงินเป็นครั้งคราวเมื่อต้องการ เหมาะกับคนที่อยากใส่เงินก้อนเข้ามาลงทุนเมื่อมีเงินเหลือในช่วงนั้น
นโยบายการลงทุน
-
ประกันชีวิตทั่วไป : ผู้เอาประกันไม่สามารถเลือกนโยบายลงทุนเองได้
-
ประกันชีวิตควบการลงทุน : ผู้เอาประกันสามารถเลือกนโยบายการลงทุนได้เอง หรือเลือกตามพอร์ตแนะนำของบริษัท และยังสามารถโยกย้ายสับเปลี่ยนกองทุนได้ตามเงื่อนไขของกรมธรรม์

ผลตอบแทนและความเสี่ยง
-
ประกันชีวิตทั่วไป : การันตีผลตอบแทนโดยบริษัทประกันชีวิต
-
ประกันชีวิตควบการลงทุน : ไม่การันตีผลตอบแทน เพราะขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของกองทุน
การเปิดเผยค่าใช้จ่าย
-
ประกันชีวิตทั่วไป : ไม่ได้แสดงค่าใช้จ่ายในส่วนต่าง ๆ อย่างชัดเจน
-
ประกันชีวิตควบการลงทุน : เปิดเผยค่าเบี้ยประกัน ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และเงินลงทุนอย่างชัดเจน
การถอนเงินจากกรมธรรม์
-
ประกันชีวิตทั่วไป : สามารถกู้กรมธรรม์ได้โดยใช้มูลค่าเงินสดสะสมเป็นหลักประกัน และต้องจ่ายดอกเบี้ยตามที่กำหนด ลักษณะเหมือนกู้เงินจากตัวเอง แต่ต้องเสียดอกเบี้ย
-
ประกันชีวิตควบการลงทุน : สามารถถอนเงินบางส่วนได้จากมูลค่าเงินลงทุนที่สะสมไว้ โดยการถอนอาจมีค่าธรรมเนียมหรือจำนวนครั้งที่จำกัด ขึ้นกับเงื่อนไขแต่ละบริษัท ถ้าถอนมาก มูลค่าเงินลงทุนลดลง ทำให้ผลตอบแทนและความคุ้มครองอาจลดลงตาม
การทำสัญญาเพิ่มเติม
-
ประกันชีวิตทั่วไป : บางแผน เช่น ประกันชีวิตตลอดชีพ สามารถพ่วงประกันสุขภาพ ประกันโรคร้าย ประกันอุบัติเหตุ ฯลฯ ได้ โดยเราต้องจ่ายเบี้ยของสัญญาเพิ่มเติมแยกต่างหากตามที่กำหนด และเบี้ยจะปรับเพิ่มตามอายุในแต่ละปี
-
ประกันชีวิตควบการลงทุน : บางแผนสามารถพ่วงสัญญาเพิ่มเติมได้ ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ โรคร้ายแรง หรืออุบัติเหตุ และสามารถเลือกให้ค่าเบี้ยของสัญญาเพิ่มเติมถูกหักจากมูลค่าเงินลงทุน (Fund Value) ที่สะสมไว้ได้ ทำให้ดูเหมือนเราจ่ายเบี้ยคงที่ในจำนวนเท่าเดิมทุกปี อย่างไรก็ตาม หากผลตอบแทนจากการลงทุนไม่ดี หรือมีการถอนเงินออกบ่อย ๆ มูลค่าเงินลงทุนอาจไม่พอ และเราต้องเติมเงินเพิ่มเพื่อให้ความคุ้มครองสัญญาเพิ่มเติมยังอยู่ต่อ
การลดหย่อนภาษี
-
ประกันชีวิตทั่วไป : ส่วนใหญ่เบี้ยประกันสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ทั้งหมด
-
ประกันชีวิตควบการลงทุน : สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ในส่วนความคุ้มครองชีวิตเท่านั้น แต่ส่วนของลงทุนไม่สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้
จะเห็นว่าประกันชีวิตควบการลงทุน ทำให้เรามีอิสระในการบริหารจัดการและเลือกลงทุนได้มากกว่า ในขณะที่ประกันชีวิตทั่วไปจะถูกกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ มาแล้ว ไม่สามารถปรับเปลี่ยนใด ๆ ได้ แต่บริหารจัดการได้ง่ายกว่า
รูปแบบของประกันชีวิต Unit Linked
1. แบบชำระเบี้ยครั้งเดียว (Single Premium : SP)
2. แบบชำระเบี้ยรายงวด (Regular Premium : RP)
วิธีเลือกประกันควบการลงทุน
Unit Linked

1. กำหนดเป้าหมายที่ต้องการทำประกันเล่มนี้ให้ชัดเจน
-
ถ้าเน้นคุ้มครองชีวิต ควรเลือกแผนที่ให้ทุนประกันสูง แม้ผลตอบแทนการลงทุนจะไม่หวือหวา เช่น แผนที่ให้ความคุ้มครองสูงสุด 120-200 เท่าของเบี้ยประกันหลัก หมายความว่า ถ้าเราจ่ายเบี้ยประกันหลัก 100,000 บาท จะสามารถเลือกทุนประกันได้สูงสุด 12-20 ล้านบาท
-
ถ้าเน้นการออมหรือลงทุนระยะยาว ควรเลือกแผนที่มีตัวเลือกกองทุนหลากหลาย สามารถสับเปลี่ยนได้โดยไม่มีค่าธรรมเนียม และมีประวัติการบริหารกองทุนดี
-
ถ้าเน้นความยืดหยุ่นทางการเงิน ควรเลือกแผนที่สามารถปรับเปลี่ยนความคุ้มครองได้ ถอนเงินบางส่วน หรือปรับเบี้ยได้ตามต้องการ
2. เปรียบเทียบแผนของแต่ละบริษัท
บริษัทประกันแต่ละแห่งมีแผนยูนิตลิงก์ที่หลากหลาย มีเงื่อนไขและรายละเอียดที่แตกต่างกัน เราควรขอเอกสารจากบริษัทต่าง ๆ มาเปรียบเทียบ ทั้งเรื่องอายุที่รับทำประกัน ทุนประกันสูงสุดที่ทำได้ ค่าเบี้ยประกัน ค่าใช้จ่ายรวม การโยกหรือสลับสับเปลี่ยนกองทุน เป็นต้น นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาเรื่องระยะเวลาคุ้มครองและระยะเวลาชำระเบี้ยด้วย เช่น
-
ต้องการจ่ายเบี้ยครั้งเดียวจบ (Single Premium) หรือจ่ายเบี้ยเป็นรายงวด (Regular Premium) ซึ่งมีให้เลือกตั้งแต่ชำระเบี้ย 5 ปี ไปจนถึง 99 ปี
-
ต้องการความคุ้มครองแค่ช่วงเวลาหนึ่ง เช่น 10 ปี 15 ปี หรือต้องจ่ายความคุ้มครองตลอดชีวิต เช่น จนถึงอายุ 99 ปี
3. ต้องการพ่วงสัญญาเพิ่มเติมอื่น ๆ ด้วยหรือไม่
4. พิจารณาจำนวนเบี้ยประกันที่เราสามารถจ่ายได้จริง
เนื่องจากเบี้ยประกันชีวิต Unit Linked มักสูงกว่าแบบประกันทั่วไป เพราะมีทั้งส่วนคุ้มครองชีวิตและลงทุน แม้จะสามารถปรับเพิ่มหรือลดได้ตามความต้องการ แต่ก็ต้องเป็นไปตามเงื่อนไข จึงควรพิจารณาจำนวนเบี้ยประกันภัยหลักที่สามารถจ่ายต่อเนื่องได้อย่างน้อย 10-15 ปี เพื่อให้การลงทุนเติบโตได้จริง ไม่ควรเลือกจ่ายเบี้ยสูงเกินไปจนกระทบสภาพคล่องในชีวิตประจำวัน
นอกจากนี้ หากใครเลือกทำสัญญาเพิ่มเติมที่มีค่ารักษาพยาบาลหรือโรคร้ายแรง หรือต้องการเพิ่มเบี้ยพิเศษ (Top-up Premium) ก็จะยิ่งต้องจ่ายเบี้ยประกันในอัตราที่สูงขึ้น ดังนั้น ต้องคำนวณเงินค่าใช้จ่ายส่วนเบี้ยประกันให้ดีว่าสามารถจ่ายเบี้ยอย่างต่อเนื่องได้หรือไม่
5. พิจารณาจำนวนเบี้ยประกันที่เราสามารถจ่ายเพิ่มได้
6. เปรียบเทียบวงเงินความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต

7. พิจารณาความยืดหยุ่นของสัญญา
ควรตรวจสอบเงื่อนไขของแผนประกันที่เราสนใจให้ชัดเจน
-
สามารถปรับเพิ่ม-ลดความคุ้มครองได้หรือไม่
-
สามารถเติมเงินเพิ่มเพื่อการลงทุนได้หรือไม่
-
โยกกองทุนได้หรือไม่ ทำได้กี่ครั้งต่อปี และมีค่าใช้จ่ายในการสับเปลี่ยนกองทุนหรือไม่
-
ถอนเงินบางส่วนได้ตั้งแต่ปีไหน โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม
-
ขอพักชำระเบี้ยได้หรือไม่ ตั้งแต่ปีไหน
8. พิจารณาตัวเลือกกองทุนและความเสี่ยงในการลงทุน
ควรสอบถามให้ชัดเจนว่าบริษัทประกันมีกองทุนให้เลือกมาก-น้อยแค่ไหน ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดบ้าง สอดคล้องกับความเสี่ยงที่เรารับได้หรือไม่
-
หากรับความเสี่ยงต่ำ กลัวการขาดทุนมาก ๆ ควรเลือกลงทุนในกองทุนตลาดเงินหรือตราสารหนี้
-
รับความเสี่ยงปานกลาง อาจเลือกกองทุนผสมระหว่างตราสารหนี้และหุ้น ซึ่งมีสัดส่วนให้เลือกแตกต่างกันไป เช่น 60:40 / 70:30 / 80:20 เป็นต้น
-
รับความเสี่ยงได้สูง สามารถเลือกกองทุนหุ้นได้ เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนมากขึ้น แต่ก็มีโอกาสขาดทุนมากกว่าได้เช่นกัน
นอกจากนี้ บางบริษัทมีพอร์ตแนะนำ มีบริการปรับสัดส่วนกองทุนให้อัตโนมัติ หรือสามารถลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (DCA) ได้ เพื่อช่วยลดความผันผวนของพอร์ต อย่างไรก็ตาม ก่อนเลือกแผนการลงทุนใด ๆ อย่าลืมศึกษาข้อมูลการลงทุนอย่างละเอียด อ่านผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนอย่างน้อย 3–5 ปี โดยกองทุนควรมีผลการดำเนินงานสม่ำเสมอ ไม่ผันผวนเกินไป
9. เช็กเรื่องค่าใช้จ่ายแฝง
10. ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของบริษัทประกัน
แผนประกันชีวิตควบการลงทุนมักถูกออกแบบให้มีความคุ้มครองระยะยาวหรือตลอดชีพ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขกรมธรรม์และความสามารถในการชำระเบี้ยต่อเนื่อง ดังนั้นการเลือกบริษัทจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยควรพิจารณาเรื่องต่อไปนี้
-
ฐานะการเงินและความมั่นคงของบริษัท ควรเลือกบริษัทที่มีเครดิตดี (Credit Rating) มีเงินกองทุนตามเกณฑ์ CAR Ratio (Capital Adequacy Ratio) เกินมาตรฐานที่ คปภ. กำหนด (140%)
-
เปิดเผยผลการดำเนินงานของกองทุนและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อย่างชัดเจน
-
มีประวัติการจ่ายสินไหมตรงเวลา มีรีวิวการบริการหลังการขายที่ดี
-
มีกองทุนให้เลือกหลายรูปแบบ ทั้งความเสี่ยงต่ำจนถึงความเสี่ยงสูง เพื่อจะได้ปรับพอร์ตได้ตามสถานการณ์ตลาดและช่วงชีวิตของผู้เอาประกัน
-
มีระบบติดตามการลงทุนได้อย่างสะดวก เช่น เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน
11. พิจารณาสิทธิประโยชน์อื่น ๆ
แต่ละแผนให้สิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกัน เช่น บางแผนยกเว้นค่าธรรมเนียมบางรายการ บางแผนให้โบนัสพิเศษเมื่อชำระเบี้ยครบตามกำหนด หรือบางแผนก็มีโบนัสพิเศษยามเกษียณให้ด้วย
นอกจากนี้ บางแผนยังมีการันตีความคุ้มครองชีวิตต่อเนื่อง (Non-Lapse Guaranteed) หมายถึงบริษัทประกันจะให้ความคุ้มครองชีวิตตามเวลาที่ระบุไว้ต่อไป เช่น 5 ปี 10 ปี แม้ว่ามูลค่าหน่วยลงทุนในกรมธรรม์จะลดลงจนไม่พอหักค่าธรรมเนียมรายเดือนก็ตาม ในกรณีที่เราทำตามเงื่อนไขของบริษัท เช่น ชำระเบี้ยประกันภัยหลักครบถ้วนตามกำหนดทุกงวด ไม่เคยถอนเงินออกจากกรมธรรม์ ไม่เคยลดจำนวนเบี้ยประกันภัยหลักที่เคยตกลงไว้ อย่างไรก็ตาม สิทธิประโยชน์นี้มีให้เฉพาะบางแผนและบางบริษัทเท่านั้น
ประกันควบการลงทุน
ที่ไหนดี ปี 2568
1. ประกันควบการลงทุน AIA Issara Plus (Unit Linked)

ภาพจาก : เอไอเอ
เอไอเอ อิสระ พลัส (Unit Linked) เป็นประกันชีวิตควบการลงทุนจาก AIA ที่สามารถทำได้ตั้งแต่อายุเพียง 15 วัน และให้ความคุ้มครองสูงสุดถึงอายุ 99 ปี (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับมูลค่าหน่วยลงทุนที่เพียงพอ) ระหว่างสัญญาสามารถปรับเพิ่มหรือลดความคุ้มครอง ออมเงินเพิ่ม ถอนเงินบางส่วน หรือหยุดพักชำระเบี้ยได้ตามเงื่อนไข พร้อมแนบสัญญาเพิ่มเติมเพื่อขยายความคุ้มครองได้ อีกทั้งสามารถเข้าร่วมโครงการ AIA Vitality เพื่อรับส่วนลดและสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพต่าง ๆ และยังมีโบนัสพิเศษช่วงเกษียณให้ 0.45% ต่อปี
ข้อมูลประกันควบการลงทุน AIA Issara Plus (Unit Linked)
-
อายุผู้ทำประกัน : 15 วัน - 70 ปี
-
ระยะเวลาชำระเบี้ย : ถึงอายุ 99 ปี
-
ระยะเวลาคุ้มครอง : ถึงอายุ 99 ปี (ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของกองทุนและมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุน)
-
ทุนประกัน : ขั้นต่ำ 60,000 บาท และสามารถกำหนดได้เองจากจำนวนเท่าของเบี้ยประกันหลักเพื่อความคุ้มครอง สูงสุดไม่เกิน 250 เท่า
-
เบี้ยประกันภัยหลักสำหรับความคุ้มครองชีวิต (RPP) : ขั้นต่ำ 6,000 บาท/ปี
-
เบี้ยประกันภัยหลักสำหรับความคุ้มครองชีวิตรวมกับเบี้ยส่วนที่ลงทุน : ขั้นต่ำ 12,000 บาท/ปี
-
เบี้ยประกันภัยเพิ่มเติมพิเศษ (Top-up Premium) :
-
กรณีเติมเงินประจำ RTU : ขั้นต่ำ 1,000 บาท/ครั้ง สูงสุดไม่เกิน 5 เท่าของเบี้ยประกันภัยหลักเพื่อความคุ้มครอง
-
กรณีเติมพิเศษเป็นครั้งคราว ATU : ขั้นต่ำ 1,000 บาท/ครั้ง สูงสุดไม่เกิน 120 ล้านบาท /กรมธรรม์
-
-
การหยุดพักชำระเบี้ย : ทำได้เมื่ออายุกรมธรรม์ครบ 3 ปี (ตามเงื่อนไขที่กำหนด)
-
การสับเปลี่ยนกองทุน : จำนวนเงินขั้นต่ำครั้งละ 1,000 บาท และไม่มีค่าธรรมเนียม
-
กรณีทุพพลภาพสิ้นเชิงถาวร : หากเป็นก่อนอายุ 80 ปี บริษัทจะจ่ายเงินตามทุนประกันภัยที่กำหนดไว้เฉพาะสำหรับกรณีทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง (TPD) ให้กับผู้เอาประกัน
-
กรณีเสียชีวิต : รับเงินตามทุนประกันภัยบวกด้วยมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุน
-
กรณีมีชีวิตอยู่ครบกำหนดสัญญา : รับเงินตามมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุน
-
ผลประโยชน์อื่น ๆ :
-
การปรับสัดส่วนกองทุนอัตโนมัติ
-
รับโบนัสพิเศษยามเกษียณ 0.45% ต่อปี ของมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนของเบี้ยประกันภัยหลัก
-
การันตีความคุ้มครองชีวิตสูงสุดต่อเนื่อง 10 ปี แม้มูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนจะมีไม่เพียงพอหักค่าธรรมเนียมกรมธรรม์รายเดือน (ตามเงื่อนไขที่กำหนด)
-
* หมายเหตุ : เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด
ข้อมูลเพิ่มเติม : เอไอเอ
2. ประกันควบการลงทุน BLA Premier Link

ภาพจาก : กรุงเทพประกันชีวิต
บีแอลเอ พรีเมียร์ลิงค์ จากกรุงเทพประกันชีวิต เป็นประกันชีวิตควบการลงทุนที่คุ้มครองตลอดชีพ โดยเลือกทุนประกันได้สูงสุด 250 เท่าของเบี้ยประกันหลัก สามารถแนบสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพและอุบัติเหตุได้ และมีโอกาสรับโบนัสพิเศษสำหรับเบี้ยประกันภัยหลัก (Loyalty Bonus) สูงสุด 0.3% ของมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนของเบี้ยประกันภัยหลัก
ข้อมูลประกันควบการลงทุน BLA Premier Link
-
อายุผู้ทำประกัน : แรกเกิด - 70 ปี
-
ระยะเวลาชำระเบี้ย : ถึงอายุ 99 ปี
-
ระยะเวลาคุ้มครอง : ถึงอายุ 99 ปี (ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของกองทุนและมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุน)
-
ทุนประกัน : 5-250 เท่า ขึ้นอยู่กับเพศและอายุของผู้ทำประกัน สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามเกณฑ์ของบริษัท
-
เบี้ยประกันภัยหลักสำหรับความคุ้มครองชีวิต (RPP) : ขั้นต่ำ 12,000 บาท/ปี สามารถปรับลดความคุ้มครองได้ตั้งแต่ปีที่ 4 เป็นต้นไป
-
เบี้ยประกันภัยเพิ่มเติมพิเศษ (Top-up Premium) :
-
กรณีเติมเงินประจำ RTU : ขั้นต่ำ 12,000 บาท/ปี สูงสุดไม่เกิน 5 เท่าของเบี้ยประกันภัยหลักเพื่อความคุ้มครอง
-
กรณีเติมพิเศษเป็นครั้งคราว ATU : ขั้นต่ำ 12,000 บาท/ครั้ง สูงสุดไม่เกิน 120 ล้านบาท/กรมธรรม์
-
-
การหยุดพักชำระเบี้ย : ทำได้เมื่ออายุกรมธรรม์ครบ 3 ปี (ตามเงื่อนไขที่กำหนด)
-
การสับเปลี่ยนกองทุน : ไม่มีค่าธรรมเนียมและไม่จำกัดจำนวนครั้งต่อปี
-
กรณีเสียชีวิต : จ่ายผลประโยชน์ที่มากกว่า ระหว่าง 1 หรือ 2
-
1. จำนวนเงินเอาประกันภัย
-
2. มูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนของเบี้ยประกันภัยหลัก บวก จำนวนเงิน 5 เท่าของเบี้ยประกันภัยส่วนคุ้มครองชีวิตต่อปีในขณะนั้น
-
รวมกับมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนของเบี้ยประกันภัยเพิ่มเติมพิเศษ RTU และ ATU (ถ้ามี)
-
-
กรณีมีชีวิตอยู่ครบกำหนดสัญญา : รับเงินตามมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุน
-
ผลประโยชน์อื่น ๆ :
-
ปรับสัดส่วนกองทุนอัตโนมัติ ปีละ 1 ครั้ง
-
จ่ายโบนัสพิเศษ 0.2-0.3% ของมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนของเบี้ยหลัก ให้ผู้ทำประกันที่ยังมีชีวิตอยู่และกรมธรรม์ยังคงมีผลบังคับ โดยชำระเบี้ยหลักครบตามจำนวนครั้งที่กำหนดต่อเนื่อง
-
การันตีความคุ้มครองชีวิตสูงสุดต่อเนื่อง 10 ปี แม้มูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนจะมีไม่เพียงพอหักค่าธรรมเนียมกรมธรรม์รายเดือน (ตามเงื่อนไขที่กำหนด)
-
* หมายเหตุ : เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด
ข้อมูลเพิ่มเติม : กรุงเทพประกันชีวิต
3. ประกันควบการลงทุน FWD ฟิวเจอร์ ลิงค์ 99/9

ภาพจาก : FWD
สำหรับคนที่อยากชำระเบี้ยในระยะสั้น ๆ ลองดูประกันชีวิตควบการลงทุน เอฟดับบลิวดี ฟิวเจอร์ ลิงค์ 99/9 ที่จ่ายเบี้ยเพียง 9 ปี ให้ความคุ้มครองถึงอายุ 99 ปี (ตามเงื่อนไข) โดยให้ความคุ้มครองชีวิตสูงสุด 50 เท่า แต่ระหว่างทางจะไม่สามารถปรับทุนประกันชีวิตได้ อย่างไรก็ตาม ยังมีโบนัสรายปีให้จนถึงอายุ 59 ปี และมีโบนัสพิเศษรายเดือนยามเกษียณให้ตั้งแต่อายุ 60 ปีขึ้นไป
ข้อมูลประกันควบการลงทุน FWD ฟิวเจอร์ ลิงค์ 99/9
-
อายุผู้ทำประกัน : 18 - 70 ปี
-
ระยะเวลาชำระเบี้ย : 9 ปี
-
ระยะเวลาคุ้มครอง : ถึงอายุ 99 ปี (ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของกองทุนและมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุน)
-
ทุนประกัน :
-
อายุ 18-59 ปี ทุนประกันคงที่เท่ากับ 50 เท่าของเบี้ยประกันหลัก
-
ตั้งแต่อายุ 60 ปีเป็นต้นไป ทุนประกันภัยหลักจะปรับลดลงอัตโนมัติเท่ากับ 9 เท่าของเบี้ยประกันภัยหลักรายปี
-
-
เบี้ยประกันภัยหลักสำหรับความคุ้มครองชีวิต (RPP) : ขั้นต่ำ 50,000 บาท/ปี
-
เบี้ยประกันภัยเพิ่มเติมพิเศษ (Top-up Premium) : ชำระเพิ่มเติมได้ไม่ต่ำกว่า 5,000 บาท/ครั้ง และสูงสุดไม่เกิน 150 ล้านบาท/กรมธรรม์
-
การหยุดพักชำระเบี้ย : ทำได้เมื่ออายุกรมธรรม์ครบ 3 ปี (ตามเงื่อนไขที่กำหนด)
-
การสับเปลี่ยนกองทุน : สับเปลี่ยนกองทุนได้ในจำนวนเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท/ครั้ง โดยมีค่าธรรมเนียม
-
กรณีเสียชีวิต :
-
เสียชีวิตก่อนอายุ 60 ปี จ่ายผลประโยชน์เป็นจำนวนเงิน 50 เท่าของเบี้ยประกันหลักรายปี บวกด้วยมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุน
-
เสียชีวิตตั้งแต่อายุ 60 ปีเป็นต้นไป จ่ายผลประโยชน์เป็นจำนวนเงิน 9 เท่าของเบี้ยประกันหลักรายปี บวกด้วยมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุน
-
-
กรณีมีชีวิตอยู่ครบกำหนดสัญญา : รับเงินตามมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุน
-
ผลประโยชน์อื่น ๆ :
-
รับโบนัสพิเศษ 0.12% ต่อปี หลังชำระเบี้ยประกันหลักครบต่อเนื่องจนถึงวันครบรอบปีกรมธรรม์ที่อายุครบ 59 ปี
-
เมื่อผู้ทำประกันมีอายุครบ 60 ปีขึ้นไป รับโบนัสพิเศษรายเดือน 0.288% ต่อปี ต่อเนื่องตลอดสัญญา เมื่อชำระเบี้ยประกันหลักครบ (ตามเงื่อนไขที่กำหนด)
-
การันตีความคุ้มครองชีวิตต่อเนื่อง 9 ปี ภายใต้เงื่อนไขและข้อกำหนดของกรมธรรม์
-
รับบริการพิเศษ FWD Utmost บริการด้านสุขภาพและไลฟ์สไตล์ พร้อมผู้ช่วยส่วนตัว สำหรับผู้ถือกรมธรรม์ประกันชีวิตควบการลงทุนที่ชำระเบี้ยประกันภัยรวมต่อปีตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป (ตามเงื่อนไขที่กำหนด)
-
* หมายเหตุ : เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด
ข้อมูลเพิ่มเติม : FWD
4. ประกันควบการลงทุน iWealthy จาก AXA

ภาพจาก : กรุงไทย แอกซ่า
ประกันชีวิตควบการลงทุนจาก Krungthai AXA แผนนี้ให้ความคุ้มครอง 60 เท่าของเบี้ยประกันภัยหลัก สามารถเลือกสัดส่วนของเบี้ยในการลงทุนและความคุ้มครองได้ หรือหยุดชำระเบี้ยได้ และรับโบนัสเมื่อถือกรมธรรม์ตั้งแต่ปีที่ 6 เป็นต้นไป แต่แผนนี้ไม่เหมาะกับคนที่ต้องพ่วงสัญญาเพิ่มเติม เช่น สุขภาพ โรคร้ายแรง เพราะไม่สามารถแนบสัญญาเพิ่มเติมได้
ข้อมูลประกันควบการลงทุน iWealthy จาก AXA
-
อายุผู้ทำประกัน : 1 เดือน - 70 ปี
-
ระยะเวลาชำระเบี้ย : ครบอายุ 99 ปี
-
ระยะเวลาคุ้มครอง : ถึงอายุ 99 ปี (ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของกองทุนและมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุน)
-
ทุนประกัน : 5-60 เท่าของเบี้ยประกันภัยหลัก ขึ้นอยู่กับอายุของผู้ทำประกัน
-
เบี้ยประกันภัยหลักสำหรับความคุ้มครองชีวิต (RPP) : ขั้นต่ำ 18,000 บาท/ปี หรือ 1,500 บาท/เดือน ไม่สามารถเพิ่มจำนวนเบี้ยประกันภัยหลักได้
-
เบี้ยประกันภัยเพิ่มเติมพิเศษ (Top-up Premium) : ชำระเพิ่มเติมได้ตั้งแต่ปีที่ 2 เป็นต้นไป
-
กรณีเติมเงินประจำ RTU : สูงสุดไม่เกิน 3 เท่าของเบี้ยประกันภัยหลักเพื่อความคุ้มครอง โดยสามารถเริ่มชำระเบี้ยประกันภัยเพื่อการลงทุนได้ตั้งแต่ปีกรมธรรม์แรกเท่านั้น
-
กรณีเติมพิเศษเป็นครั้งคราว ATU : ขั้นต่ำ 10,000 บาท/ครั้ง สูงสุดไม่เกิน 5 เท่าของเบี้ยประกันหลักเพื่อความคุ้มครอง และรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 150 ล้านบาท/กรมธรรม์
-
-
การหยุดพักชำระเบี้ย : ทำได้เมื่ออายุกรมธรรม์ครบ 2 ปี (ตามเงื่อนไขที่กำหนด)
-
การสับเปลี่ยนกองทุน : สับเปลี่ยนกองทุนได้ในจำนวนเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท/ครั้ง ฟรีค่าธรรมเนียม 5 ครั้ง/ปีกรมธรรม์ หลังจากนั้นมีค่าธรรมเนียม 150 บาท/ครั้ง
-
กรณีเสียชีวิต : รับ 120% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย หรือ120% ของมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุน แล้วแต่จำนวนใดที่มากกว่า
-
กรณีมีชีวิตอยู่ครบกำหนดสัญญา : รับเงินตามมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุน
-
ผลประโยชน์อื่น ๆ :
-
รับโบนัสทุกปี 0.2% ของมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่ปีที่ 6 เป็นต้นไป หากไม่มีการถอนเงินใด ๆ จากกรมธรรม์และหยุดชำระเบี้ยในปีนั้น ๆ
-
* หมายเหตุ : เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด
ข้อมูลเพิ่มเติม : กรุงไทย แอกซ่า
5. ประกันควบการลงทุน mDesign Unit-Linked เมืองไทยประกันชีวิต

ภาพจาก : เมืองไทยประกันชีวิต
mDesign ประกันชีวิตควบการลงทุนจากเมืองไทยประกันชีวิต ให้ผู้ทำประกันเลือกได้เอง ทั้งเบี้ยประกันภัย จำนวนเท่าของความคุ้มครอง การชำระเบี้ย เพิ่มเงินออม หรือถอนเงินบางส่วนได้ และยังสามารถทำสัญญาเพิ่มเติมคุ้มครองสุขภาพ โรคร้ายแรง หรือค่าชดเชยรายวันได้อีก จุดเด่นสำคัญคือมีบริการออกแบบพอร์ตลงทุน ติดตามและปรับพอร์ตให้ตามสถานการณ์ เหมาะกับคนที่อยากมีประกันชีวิตควบการลงทุนคู่กับประกันอื่น ๆ แบบครบในเล่มเดียว แต่ไม่มีเวลาติดตามพอร์ต ไม่รู้จะเลือกกองทุนไหน
ข้อมูลประกันควบการลงทุน mDesign Unit-Linked
-
อายุผู้ทำประกัน : 30 วัน - 70 ปี
-
ระยะเวลาชำระเบี้ย : ครบอายุ 99 ปี
-
ระยะเวลาคุ้มครอง : ถึงอายุ 99 ปี (ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของกองทุนและมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุน)
-
ทุนประกัน : 5-15 เท่าของเบี้ยประกันภัยหลักต่อปี (ขึ้นอยู่กับอายุ) และไม่จำกัดทุนประกันสูงสุด
-
เบี้ยประกันภัยหลักสำหรับความคุ้มครองชีวิต (RPP) : ขั้นต่ำรายปี 20,000 บาท / ราย 6 เดือน 10,000 บาท / ราย 3 เดือน 6,000 บาท / รายเดือน 2,000 บาท
-
เบี้ยประกันภัยเพิ่มเติมพิเศษ (Top-up Premium) : 5,000 บาท/ครั้ง และไม่เกินเบี้ยประกันภัยหลักที่ชำระมาแล้วในแต่ละปีกรมธรรม์
-
การหยุดพักชำระเบี้ย : ทำได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด
-
การสับเปลี่ยนกองทุน : ไม่มีค่าธรรมเนียม
-
กรณีเสียชีวิต : รับมูลค่าที่มากกว่า ระหว่าง 1 หรือ 2
-
1. ทุนประกันภัย หักด้วยมูลค่าขายคืนหน่วยลงทุนที่ถอนออกบางส่วน (ถ้ามี)
-
2. มูลค่าขายคืนหน่วยลงทุน บวก 3 เท่าของเบี้ยประกันภัยหลัก
-
-
กรณีมีชีวิตอยู่ครบกำหนดสัญญา : รับเงินตามมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุน
-
ผลประโยชน์อื่น ๆ :
-
MTL Portfolio Management Service บริการบริหารพอร์ตลงทุนที่เหมาะสมให้โดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ ทั้งการคัดเลือกกองทุนรวม กำหนดสัดส่วนการลงทุน ติดตามผลงาน รวมถึงปรับพอร์ตลงทุนอัตโนมัติตามสถานการณ์
-
* หมายเหตุ : เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด
ข้อมูลเพิ่มเติม : เมืองไทยประกันชีวิต
6. ประกันควบการลงทุน Tokio Beyond

ภาพจาก : โตเกียวมารีนประกันชีวิต
ประกัน Unit Linked โตเกียว บียอนด์ จากโตเกียวมารีนประกันชีวิต ให้ความคุ้มครองตั้งแต่แรกเกิดถึงอายุ 99 ปี ด้วยทุนประกันสูงสุดไม่เกิน 200 เท่า และจุดเด่นที่ต่างจากแผนอื่น ๆ คือ ไม่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการประกันภัยสำหรับเบี้ยประกันภัยหลักเพื่อความคุ้มครอง (RPP) ทำให้เหลือเงินไปลงทุนมากขึ้น และยังมีโบนัสพิเศษให้ 0.25% ต่อปี ตั้งแต่ปีที่ 10 เป็นต้นไป (ตามเงื่อนไขที่กำหนด)
ข้อมูลประกันควบการลงทุน โตเกียว บียอนด์
-
อายุผู้ทำประกัน : 0-70 ปี
-
ระยะเวลาชำระเบี้ย : ครบอายุ 99 ปี
-
ระยะเวลาคุ้มครอง : ถึงอายุ 99 ปี (ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของกองทุนและมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุน)
-
ทุนประกัน : 5-200 เท่าของเบี้ยประกันภัยหลักเพื่อความคุ้มครอง (ขึ้นอยู่กับอายุและเพศ) โดยสามารถกำหนดได้เอง
-
เบี้ยประกันภัยหลักสำหรับความคุ้มครองชีวิต (RPP) : ไม่น้อยกว่า 12,000 บาท/ปี
-
เบี้ยประกันภัยเพิ่มเติมพิเศษ (Top-up Premium) : 12,000 บาท/ครั้ง และสูงสุดไม่เกิน 120 ล้านบาท/ปีกรมธรรม์
-
การหยุดพักชำระเบี้ย : ทำได้หลังชำระเบี้ยประกันภัยหลักเพื่อความคุ้มครองครบ 2 ปี
-
การสับเปลี่ยนกองทุน : รับเงินตามทุนประกันภัย บวกด้วยมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุน
-
กรณีมีชีวิตอยู่ครบกำหนดสัญญา : รับเงินตามมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุน
-
ผลประโยชน์อื่น ๆ :
-
ไม่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการประกันภัยสำหรับเบี้ยประกันภัยหลักเพื่อความคุ้มครอง (RPP)
-
รับโบนัส 0.25% ต่อปีของมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนของเบี้ยประกันหลักเพื่อความคุ้มครอง ตั้งแต่ปีที่ 10 เป็นต้นไปทุกปี หากไม่เคยลดจำนวนเบี้ยประกันภัยหลักเพื่อความคุ้มครองและไม่เคยถอนเงินจากการขายคืนหน่วนลงทุนของเบี้ยประกันภัยหลักเพื่อความคุ้มครอง
-
การันตีความคุ้มครอง 5 ปีแรก แม้มูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนจะมีไม่เพียงพอหักค่าธรรมเนียมกรมธรรม์รายเดือน (ตามเงื่อนไขที่กำหนด)
-
* หมายเหตุ : เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด
ข้อมูลเพิ่มเติม : โตเกียวมารีนประกันชีวิต
ข้อดีของประกันชีวิต Unit Linked

-
ได้รับความคุ้มครองและลงทุนในกรมธรรม์เดียว : สำหรับคนที่ไม่อยากวุ่นวายกับการดูแลทรัพย์สินหลายทาง การซื้อประกันยูนิตลิงก์เล่มเดียวก็คือ 2 in 1 ที่ได้ทั้งความคุ้มครองและมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการกองทุนรวม
-
มีความยืดหยุ่นสูง : หลายแผนสามารถออกแบบได้เอง เช่น ปรับเพิ่มหรือลดทุนประกันให้สอดคล้องกับความต้องการในแต่ละช่วงเวลาได้
-
จ่ายเบี้ยเพิ่มหรือหยุดชำระได้ : แผนยูนิตลิงก์ส่วนใหญ่ให้เราสามารถจ่ายเบี้ยเพิ่มเติม และอาจมีเงินโบนัสให้กรณีจ่ายเพิ่ม
-
หยุดพักชำระเบี้ยได้ : หลายแผนหากมีมูลค่าเงินลงทุนเพียงพอ เราสามารถหยุดพักชำระเบี้ยได้ตามเงื่อนไข โดยที่ยังได้รับความคุ้มครองอย่างต่อเนื่อง
-
ถอนเงินบางส่วนได้ : ผู้เอาประกันสามารถถอนเงินบางส่วนออกมาใช้ได้ โดยเงินที่ถอนมาจากมูลค่าเงินลงทุนที่สะสมอยู่ในกรมธรรม์ ซึ่งแตกต่างจากประกันชีวิตทั่วไปที่ส่วนใหญ่จะทำได้เพียงกู้กรมธรรม์
-
เหมาะกับการวางแผนการเงินในระยะยาว : สามารถใช้เป็นแผนออมเงินเพื่อเกษียณ ทุนการศึกษาบุตร หรือปรับแผนให้ตรงกับเป้าหมายชีวิตได้ โดยมีโอกาสได้รับผลตอบแทนมากขึ้นตามผลการดำเนินงานของกองทุน
-
สามารถวางแผนค่าใช้จ่ายล่วงหน้าได้ : ด้วยความที่เบี้ยประกันถูกกำหนดคงที่ทุกปี ทำให้เรารู้ชัดว่าจะต้องจ่ายเท่าไรในแต่ละงวด จึงช่วยให้จัดสรรและวางแผนการเงินได้ง่ายขึ้น
-
เลือกลงทุนได้ตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ : แต่ละแผนจะมีหลายกองทุนให้เลือกตามระดับความเสี่ยง และสามารถโยกย้ายสัดส่วนการลงทุนได้ตามความเหมาะสม หรือบางแผนอาจมีระบบปรับสมดุลพอร์ตการลงทุนแบบอัตโนมัติ (Auto-Rebalancing) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ต
-
พ่วงสัญญาเพิ่มเติมได้ : ประกันยูนิตลิงก์เป็นประกันชีวิตประเภทหนึ่งที่สามารถทำสัญญาเพิ่มเติม เช่น ประกันสุขภาพ ประกันโรคร้ายแรง ประกันอุบัติเหตุ ฯลฯ ได้เหมือนประกันชีวิตตลอดชีพ
สิ่งที่ต้องรู้และข้อพิจารณา
ก่อนทำประกัน Unit Linked

ด้วยเงื่อนไขที่ซับซ้อนกว่าประกันชีวิตทั่วไป ผู้ที่สนใจทำประกันชีวิตควบการลงทุน Unit Linked จึงควรศึกษาข้อมูลต่าง ๆ อย่างรอบด้าน โดยเฉพาะข้อควรระวังต่อไปนี้
-
ความเสี่ยงจากการลงทุน : ประกันชีวิตควบการลงทุนไม่ใช่การฝากเงิน จึงไม่การันตีผลตอบแทน บางปีอาจได้กำไรสูงกว่าประกันแบบดั้งเดิม แต่บางปีก็มีโอกาสขาดทุนตามภาวะตลาด หากตลาดผันผวน มูลค่าเงินสดจะลดลงทันที โดยผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
-
เบี้ยประกันมักสูงกว่าแบบทั่วไป : เพราะต้องแบ่งเป็นค่าคุ้มครองชีวิต ค่าบริหาร และเงินลงทุน ซึ่งถูกถอนออกจากกองทุนทุกเดือน เมื่ออายุมากขึ้นหรือเลือกทุนประกันสูง ค่าใช้จ่ายยิ่งเพิ่ม หากเงินลงทุนไม่พอ ผู้เอาประกันต้องเติมเงินเพิ่ม เพื่อไม่ให้กรมธรรม์อาจสิ้นผลบังคับ
-
อ่านเงื่อนไขค่าใช้จ่ายให้ชัดเจน : หลายคนมองข้ามค่าธรรมเนียมที่หักทุกเดือน ทำให้ผลตอบแทนจริงน้อยกว่าที่คิด จึงควรศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ให้เข้าใจจริง ๆ
-
การปรับเบี้ยมีผลต่อความคุ้มครอง : แม้จะปรับเพิ่ม-ลดเบี้ยได้ แต่ความคุ้มครองชีวิตก็เปลี่ยนตามไปด้วย ขึ้นอยู่กับทุนประกันและระยะเวลาจ่ายเบี้ยที่เลือก
-
ค่าความคุ้มครองชีวิต (COI) สูงขึ้นตามอายุ : ค่า COI จะคิดจากทุนประกัน อายุ และเพศ ดังนั้น ยิ่งอายุมากและเลือกทุนประกันสูง ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ยิ่งสูง ทำให้เงินที่เหลือไปลงทุนลดลง
-
ค่าใช้จ่ายช่วงปีแรกสูง : เบี้ยที่จ่ายไปจะถูกหักค่าใช้จ่ายตั้งต้นค่อนข้างมาก เช่น ค่านายหน้าและค่าธรรมเนียมกรมธรรม์ ทำให้เงินที่ไปลงทุนจริงน้อยในปีแรก ๆ แต่เมื่อผ่านไปหลายปี ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ลดลง เงินที่จะลงทุนก็มีมากขึ้น
-
ความเสี่ยงหากพักชำระเบี้ย : ในกรณีมูลค่าเงินลงทุนไม่เพียงพอ หากเราหยุดพักชำระเบี้ยอาจทำให้กรมธรรม์ขาดความคุ้มครอง และต้องปิดกรมธรรม์โดยอัตโนมัติ
-
ความคุ้มครองอาจสิ้นสุดก่อนครบอายุ : แม้สัญญาจะระบุว่าคุ้มครองตลอดชีพหรือถึงอายุที่ระบุไว้ แต่หากกรมธรรม์มีมูลค่าเงินสดหรือมูลค่าหน่วยลงทุนไม่เพียงพอให้บริษัทหักค่าใช้จ่ายความคุ้มครองในแต่ละเดือน เช่น ผลตอบแทนกองทุนติดลบ, ถอนออกมาใช้บ่อย หรือเบี้ยที่ส่งไม่พอ มูลค่าก็จะไม่พอหักและสัญญาจะสิ้นสุดก่อนถึงอายุที่ระบุไว้ตามสัญญา ดังนั้น ถ้าอยากได้ความคุ้มครองยาวนานจนสิ้นสุดสัญญา ควรตรวจสอบมูลค่ากรมธรรม์ทุกปี, ปรับเบี้ยหรือเติมเงินเมื่อจำเป็น และปรับสัดส่วนลงทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยง
-
ต้องติดตามการลงทุนเอง : แม้บางบริษัทจะมีพอร์ตแนะนำให้ แต่เราควรศึกษาเรื่องการจัดพอร์ตกองทุนรวมด้วย และเมื่อลงทุนไปแล้วต้องติดตามอย่างสม่ำเสมอ หากไม่โยกกองทุนหรือปรับพอร์ตตามสภาวะตลาด อาจทำให้ผลตอบแทนต่ำกว่าที่ควร
-
ผลการดำเนินงานของกองทุนไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทประกัน : เพราะกองทุนที่ใช้ในประกันชีวิตควบการลงทุนเป็นกองทุนรวมที่บริหารโดยบริษัทจัดการกองทุน (บลจ.) ไม่ใช่บริษัทประกันเอง
-
ลดหย่อนภาษีได้จำกัด : ประกันชีวิตควบการลงทุนใช้ลดหย่อนได้เฉพาะเบี้ยที่เป็นส่วนของความคุ้มครองชีวิต ตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนดเท่านั้น
-
ไม่เหมาะกับคนรับความเสี่ยงไม่ได้ : การลงทุนมีความเสี่ยง เราอาจได้รับเงินคืนมากกว่าหรือน้อยกว่ามูลค่าเบี้ยประกันภัยที่ถูกจัดสรรเข้ากองทุนรวม ดังนั้น หากกังวลว่าจะสูญเสียเงินบางส่วน หรือไม่ต้องการเติมเงินเพิ่ม ไม่แนะนำให้ทำประกันประเภทนี้
-
ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการความคุ้มครองชีวิตตลอดชีพแบบทำแล้วจบ : แม้สัญญาจะระบุคุ้มครองถึงอายุ 99 ปี แต่ระยะเวลาจริงขึ้นอยู่กับมูลค่าหน่วยลงทุนที่ต้องถูกหักเพื่อจ่ายค่าความคุ้มครอง หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ติดตามพอร์ต ไม่ปรับสัดส่วน หรือไม่เติมเงินเมื่อจำเป็น มูลค่าอาจไม่พอจนสัญญาสิ้นสุดก่อนกำหนด ต่างจากประกันชีวิตตลอดชีพแบบดั้งเดิมที่การันตีความคุ้มครองตราบใดที่ผู้เอาประกันชำระเบี้ยตามเงื่อนไขครบถ้วน
บทความที่เกี่ยวข้องกับประกัน
- ประกันลดหย่อนภาษี... ซื้อผิดใช้สิทธิไม่ได้ ชี้เป้า 5 จุดที่หลายคนพลาด !
- ประกันสุขภาพ ที่ไหนดี ปี 2568 พร้อมไขข้อสงสัยร่วมจ่าย Copayment คืออะไรกันแน่ ?
- เจาะลึกกรมธรรม์ประกันชีวิต ผู้รับประโยชน์เป็นใครได้บ้าง ?
- แบไต๋ละเอียดยิบ อ่านคู่มือการซื้อประกันชีวิตฉบับย่อ
- 7 ทางเลือกเมื่อจ่ายเบี้ยประกันชีวิตต่อไม่ไหว ทำไงดี ?