
ประกันลดหย่อนภาษี
กับ 5 เรื่องที่ต้องระวัง
1. ไม่ใช่ประกันทุกแบบจะลดหย่อนภาษีได้
หลายคนเข้าใจผิดว่าเบี้ยประกันทุกประเภทสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ แต่ตามกฎหมายกรมสรรพากรได้กำหนดเงื่อนไขและประเภทประกันไว้ชัดเจน หากซื้อผิดประเภทจะไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้เลย มาดูว่ามีแบบไหนบ้าง
ประกันที่ใช้ลดหย่อนภาษีได้
-
ประกันชีวิตแบบทั่วไป : คือประกันที่คุ้มครองกรณีเสียชีวิต มีหลายประเภท คือ ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life), ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา (Term), ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ (Endowment), ประกันชีวิตควบการลงทุน (Unit-Linked) และประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อบ้าน (MRTA)
-
ประกันสุขภาพ : เป็นประกันที่ให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละกรมธรรม์ สามารถใช้สิทธิได้ทั้งประกันสุขภาพตัวเอง และประกันสุขภาพบิดา-มารดา
-
ประกันชีวิตแบบบำนาญ : คือประกันชีวิตอีกประเภทที่ช่วยให้ออมเงินในระยะยาว เมื่อถึงวัยเกษียณก็จะได้รับเงินคืนเป็นงวด ๆ อย่างสม่ำเสมอ ทำให้ยังมีรายได้ในช่วงบั้นปลายชีวิต
ประกันที่ไม่สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้
-
ประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพที่ซื้อให้ลูก
-
ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล หรือ PA สามารถใช้สิทธิได้เฉพาะเบี้ยประกันในส่วนความคุ้มครองชีวิตเท่านั้น
-
ประกันรถยนต์
-
ประกันเดินทาง
-
ประกันวินาศภัยต่าง ๆ เช่น ประกันไฟไหม้
2. ใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินวงเงินที่กำหนด

ประกันแต่ละประเภทมีเพดานสูงสุดที่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน ไม่ได้ลดเต็มจำนวนที่เราซื้อ ดังนี้
ประกันชีวิตแบบทั่วไป
-
ประกันชีวิตทุกแบบ และประกันออมทรัพย์ (ไม่รวมประกันบำนาญ) ใช้สิทธิลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ต้องไม่เกิน 100,000 บาท
-
ประกันชีวิตควบการลงทุน สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้เฉพาะส่วนค่าเบี้ยประกันชีวิตเท่านั้น รวมกับประกันชีวิตทั่วไปต้องไม่เกิน 100,000 บาท ส่วนเบี้ยที่นำไปลงทุนไม่สามารถใช้สิทธิได้
-
ส่วนใครที่ทำประกันชีวิตให้คู่สมรสที่ไม่มีรายได้ ยังสามารถลดหย่อนภาษีประกันชีวิตของคู่สมรสได้เพิ่มอีกไม่เกิน 10,000 บาท โดยเงื่อนไขสำคัญคือ ต้องเป็นคู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสมาก่อนปีที่จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษี เช่น ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี 2568 จะต้องจดทะเบียนสมรสก่อนวันที่ 1 มกราคม 2568
ประกันสุขภาพของตัวเอง
-
ใช้ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 25,000 บาท
-
นอกจากนี้เมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตแล้ว ก็ต้องไม่เกิน 100,000 บาท เช่น จ่ายค่าเบี้ยประกันสุขภาพ 30,000 บาท จ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิต 90,000 บาท รวมแล้ว 120,000 บาท แต่ในความเป็นจริงเราจะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีประกันสุขภาพได้ 25,000 บาท บวกกับสิทธิประกันชีวิต 75,000 บาท รวม 100,000 บาทเท่านั้น
ประกันสุขภาพบิดา-มารดาตัวเอง / บิดา-มารดาคู่สมรส
สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 15,000 บาท โดยต้องเป็นประกันสุขภาพที่มีเงื่อนไข 4 ข้อนี้
-
ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลอันเกิดจากการเจ็บป่วยและการบาดเจ็บ การชดเชยการทุพพลภาพและการสูญเสียอวัยวะ เนื่องจากการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ
-
ประกันภัยอุบัติเหตุเฉพาะที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล การทุพพลภาพ การสูญเสียอวัยวะ และการแตกหักของกระดูก
-
ประกันภัยโรคร้ายแรง (Critical Illnesses)
-
ประกันภัยการดูแลระยะยาว (Long Term Care)
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญก็คือ บิดาหรือมารดาที่ทำประกันจะต้องมีรายได้พึงประเมินในปีภาษีนั้นไม่เกิน 30,000 บาท และบิดาหรือมารดาต้องอยู่ในไทยไม่ต่ำกว่า 180 วัน ณ ปีภาษีนั้นด้วย ถ้าไม่ตรงตามเงื่อนไขนี้ แม้ยื่นภาษีไปก็จะใช้สิทธิข้อนี้ไม่ได้อยู่ดี
ประกันชีวิตแบบบำนาญ
-
ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15% ของรายได้ และสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท
-
ถ้าซื้อประกันชีวิตแบบทั่วไปยังไม่ครบ 100,000 บาท สามารถนำเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญไปรวมกับสิทธิลดหย่อนประกันชีวิตทั่วไปให้ครบ 100,000 บาทก่อน ส่วนที่เหลือของเบี้ยประกันบำนาญจึงนำมาใช้สิทธิลดหย่อนในโควตาของประกันบำนาญได้สูงสุด 200,000 บาท
-
หมายความว่า ถ้าเราไม่ได้ซื้อประกันชีวิตทั่วไปหรือประกันสุขภาพ เราสามารถใช้สิทธิประกันบำนาญอย่างเดียวก็ได้ในวงเงินลดหย่อนไม่เกิน 300,000 บาท
-
วงเงินที่จ่ายเบี้ยประกันบำนาญ เมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) หรือกองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน หรือกองทุนรวม SSF หรือกองทุนรวม RMF แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
สรุปได้ว่า ถ้าเราซื้อประกันเกินวงเงินก็ไม่มีผลใด ๆ เพราะส่วนเกินจะไม่ถูกนำมาลดหย่อนภาษี
3. ต้องมีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปี
ตกม้าตายที่ข้อนี้กันมาก็เยอะ เพราะเลือกซื้อประกันชีวิตแบบระยะสั้นที่จ่ายน้อย ผลตอบแทนสูง ได้เงินคืนเร็วที่ดูแล้วคุ้มกว่า เช่น ประกันชีวิต 3/1 (จ่ายเบี้ยประกัน 1 ปี คุ้มครอง 3 ปี), 5/3 (จ่ายเบี้ยประกัน 3 ปี คุ้มครอง 5 ปี) เป็นต้น
แต่ถ้าต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ต้องซื้อประกันชีวิตหรือประกันออมทรัพย์ที่มีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไปเท่านั้น อย่างประกันชีวิตตลอดชีพ ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา หรือประกันสะสมทรัพย์ที่คุ้มครองเกิน 10 ปี เช่น 10/1, 10/5, 15/5, 20/7 เป็นต้น
นอกจากนี้ ถ้าเป็นประกันชีวิตที่มีเงินปันผลหรือเบี้ยคืนรายปี จะต้องมีผลตอบแทนคืนไม่เกิน 20% ของเบี้ยสะสมด้วยนะ ถึงเข้าเงื่อนไขลดหย่อนภาษี
อีกเงื่อนไขสำคัญก็คือ ต้องทำประกันกับบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทยเท่านั้น และอยู่ภายใต้การกำกับของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) หากซื้อประกันกับบริษัทที่จดทะเบียนในต่างประเทศหรือไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการในไทย จะไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้
4. เวนคืนหรือยกเลิกกรมธรรม์ก่อนกำหนดไม่ได้

"ทำประกันจัดเต็มแมกซ์ไว้ก่อนเพื่อลดหย่อนภาษีปีนี้ ถ้าปีไหนจ่ายไม่ไหวค่อยยกเลิกหรือเวนคืนก็ยังได้ เพราะอย่างน้อยก็ได้สิทธิลดหย่อนในปีก่อน ๆ ไปแล้ว"
ใครคิดแบบนี้อยู่รีบทำความเข้าใจใหม่เลย เพราะกรมสรรพากรระบุชัดเจนว่า หากยกเลิกหรือเวนคืนกรมธรรม์ก่อนครบ 10 ปี เบี้ยที่เคยนำไปใช้ลดหย่อนภาษีในปีก่อน ๆ จะถือว่าไม่เข้าเกณฑ์ทันที
ตัวอย่างเช่น
-
ซื้อประกันชีวิตแบบ 15/6 (จ่ายเบี้ย 6 ปี คุ้มครอง 15 ปี) และนำเบี้ยไปลดหย่อนทุกปี แต่พอถึงปีที่ 5 จ่ายต่อไม่ไหวแล้วตัดสินใจยกเลิก แบบนี้สิทธิลดหย่อนที่เคยใช้ตั้งแต่ปี 1-4 จะถูกยกเลิกทั้งหมด และต้องคืนภาษีที่เคยได้ประโยชน์ไปแล้วด้วย
-
ซื้อประกันชีวิตแบบ 10/4 (จ่ายเบี้ย 4 ปี คุ้มครอง 10 ปี) จ่ายเบี้ยครบ 4 ปีไปแล้ว แต่พอถึงปีที่ 7 ตัดสินใจเวนคืนเพื่อเอาเงินมาใช้ กรณีนี้แม้จะจ่ายครบเบี้ยตามสัญญา แต่เพราะยังถือกรมธรรม์ไม่ครบ 10 ปี ก็ถือว่าผิดเงื่อนไขเช่นกัน
สรุปคือ ถ้าใครผิดเงื่อนไขนี้จะหมดสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตั้งแต่ปีแรกที่ใช้สิทธิเลย และต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด. เพิ่มเติม โดยนำค่าเบี้ยประกันที่เคยหักออกไปกลับมาตั้งแต่ปีแรกที่นำมาใช้ลดหย่อนภาษี เท่ากับว่าต้องจ่ายภาษีคืน พร้อมเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของเงินภาษีที่ต้องจ่ายให้กับกรมสรรพากรด้วย ชีวิตวุ่นวายขึ้นมาทันที
5. ลืมแจ้งบริษัทประกันว่าต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี
สรุปอีกที ! ประกันแบบไหน
ใช้ลดหย่อนภาษีได้บ้าง

ประกันชีวิต (แบบตลอดชีพ / ชั่วระยะเวลา / สะสมทรัพย์)
-
ลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
-
แบบประกันต้องมีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป
-
กรณีทำประกันชีวิตให้คู่สมรสที่ไม่มีรายได้ สามารถลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท และต้องมีสถานะเป็นสามี-ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายมาตลอดทั้งปีภาษีนั้น
ประกันชีวิตควบการลงทุน
-
ลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท (รวมกับประกันชีวิตและประกันสุขภาพแล้ว)
-
แบบประกันต้องมีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป
-
ใช้ลดหย่อนภาษีได้เฉพาะส่วนที่จ่ายเป็นค่าเบี้ยประกันชีวิตเท่านั้น แต่ส่วนเบี้ยที่จ่ายเพื่อการลงทุนไม่สามารถใช้สิทธิได้
ประกันชีวิตแบบบำนาญ
-
ลดหย่อนได้สูงสุด 15% ของรายได้ แต่ต้องไม่เกิน 200,000 บาท (วงเงินแยกจากประกันชีวิตทั่วไป)
-
หากไม่ได้ใช้วงเงินลดหย่อนประกันชีวิตทั่วไปและประกันสุขภาพ (100,000 บาท) สามารถนำวงเงินมารวมได้ จึงซื้อประกันบำนาญลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 บาท
-
เมื่อรวมกับ RMF, SSF, กบข., กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
ประกันสุขภาพตัวเอง
-
ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท
-
เมื่อนำไปรวมกับเบี้ยประกันชีวิตทั่วไปจะลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
ประกันสุขภาพบิดา-มารดา
-
ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท
-
บิดา-มารดาต้องมีรายได้ปีนั้นไม่เกิน 30,000 บาท
-
บิดา-มารดาต้องอยู่ในไทยไม่ต่ำกว่า 180 วัน ณ ปีภาษีนั้น
บทความที่เกี่ยวข้องกับประกันและลดหย่อนภาษี
- ประกันสุขภาพ ที่ไหนดี ปี 2568 พร้อมไขข้อสงสัยร่วมจ่าย Copayment คืออะไรกันแน่ ?
- ประกันลดหย่อนภาษี ตัวไหนดี ชี้เป้าประกันออมทรัพย์ระยะสั้น ครบ 10 ปีได้เงินคืน
- อัปเดตวิธีลดหย่อนภาษี สำหรับมนุษย์เงินเดือนสายเซฟ !
- ลดหย่อนภาษีบิดามารดาได้เท่าไหร่ นับอายุอย่างไร มีเงื่อนไขอะไรบ้างที่ลูก ๆ ควรรู้ก่อนยื่นภาษี
- สรุปเงื่อนไขกองทุน Thai ESGX ลดหย่อนภาษีได้เพิ่ม 3 แสน โอนสับเปลี่ยน LTF เดิมมาลงทุนได้อีก 5 แสน