ประกันสังคม แจงกรณีคืนเงิน ให้นายจ้าง-ผู้ประกันตน มาตรา 33 และมาตรา 39 หลังมีคนเข้าใจผิด ตั้งหน้ารอรับเงินคืน ยันได้เงินคืนเฉพาะคนส่งเงินสมทบเกินเท่านั้น
จากกรณี สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ออกมาตรการช่วยเหลือนายจ้างและผู้ประกันตน เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงโควิด 19 โดยการลดอัตราการส่งเงินสมทบสำหรับลูกจ้าง เหลือเพียง 1% หรือ 150 บาท จากเดิม 5% ส่วนนายจ้าง เหลืออัตรา 4% ตั้งแต่เดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2563 แต่บางบริษัทได้หักเงินประกันสังคมลูกจ้างในอัตรา 5% หรือ 750 บาท เท่าเดิม จึงเกิดเป็นโครงการคืนเงินจากประกันสังคมขึ้น
อ่านข่าว : ประกันสังคม คืนเงินมาตรา 33 จำนวน 600 บาท สำหรับคนส่งเกิน รับทางไหน ดูเลย !
ทั้งนี้ ยังมีหลายคนเข้าใจผิด คิดว่าตนเองต้องได้รับเงินคืน
600 บาท หรือ 1,200 บาท ทั้งที่ไม่ได้ส่งเงินสมทบประกันสังคมเกินจำนวนตามเงื่อนไขดังกล่าว หรือมีหลายคนส่งเงินเกินจริง
แต่ยังไม่เข้าใจว่าสามารถขอรับเงินคืนทางไหนอย่างไรนั้น
ล่าสุด (28 เมษายน 2563) เฟซบุ๊ก สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ชี้แจงเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง ดังนี้...
1. การลดอัตราเงินสมทบให้ผู้ประกันตน ประกันสังคมมาตรา 33 จากเดิมร้อยละ 5 เหลือร้อยละ 1 ส่วนนายจ้างจากร้อยละ 5 เหลือร้อยละ 4 เป็นระยะเวลา 3 เดือน (มีนาคม-พฤษภาคม 2563)
2. ผู้ประกันตน ประกันสังคม มาตรา 39 ได้รับการลดอัตราเงินสมทบเช่นกัน จากเดิมร้อยละ 9 เหลือร้อยละ 1.8 (เดือนละ 86 บาท) เป็นระยะเวลา 3 เดือน (มีนาคม-พฤษภาคม 2563)
3. ขยายการนำส่งเงินสมทบออกไปอีก 3 เดือน คือ
- เงินสมทบเดือนมีนาคม ให้จ่ายวันที่ 15 กรกฎาคม 2563
- เงินสมทบเดือนเมษายน ให้จ่ายวันที่ 15 สิงหาคม 2563
- เงินสมทบเดือนพฤษภาคม ให้จ่ายวันที่ 15 กันยายน 2563
จากการขยายการนำส่งเงินสมทบดังกล่าวออกไป 3 เดือน พบว่ามีนายจ้างบางราย หักเงินสมทบผู้ประกันตนงวดเดือนมีนาคม 2563 ในอัตราเดิมคือ ร้อยละ 5 และนำส่งสำนักงานประกันสังคมแล้วนั้น ดังนั้น กลุ่มผู้ประกันตนที่ชำระเกินต้องขอให้นายจ้างยื่นเรื่องขอรับเงินสมทบคืนส่วนที่ชำระเกินจากสำนักงาน เพื่อสำนักงานจะจ่ายเงินคืนผ่านทางนายจ้าง เพื่อคืนเงินสมทบให้กับผู้ประกันตนต่อไป
สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 39 สามารถยื่นเรื่องขอรับเงินสมทบคืน โดยจัดส่งเอกสารทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ไปที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานคร หรือจังหวัด และสาขา ที่ท่านสะดวก
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกันตนที่นำส่งเงินสมทบเกินจำนวน ให้นายจ้างหรือผู้ประกันตนที่นำส่งเงินสมทบเกินจำนวนสามารถยื่นคำร้องขอรับเงินคืน พร้อมสำเนาเอกสารประกอบ ต่อสำนักงานประกันสังคม ด้วยวิธีการทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ โทรสาร (Fax) ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) หรือแอปพลิเคชันไลน์ได้ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ โทรศัพท์สายด่วน 1506 ให้บริการ 24 ชั่วโมง
โหลดเอกสาร คลิกที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน
อ่านข่าว : ประกันสังคม คืนเงินมาตรา 33 จำนวน 600 บาท สำหรับคนส่งเกิน รับทางไหน ดูเลย !
ล่าสุด (28 เมษายน 2563) เฟซบุ๊ก สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ชี้แจงเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง ดังนี้...
1. การลดอัตราเงินสมทบให้ผู้ประกันตน ประกันสังคมมาตรา 33 จากเดิมร้อยละ 5 เหลือร้อยละ 1 ส่วนนายจ้างจากร้อยละ 5 เหลือร้อยละ 4 เป็นระยะเวลา 3 เดือน (มีนาคม-พฤษภาคม 2563)
2. ผู้ประกันตน ประกันสังคม มาตรา 39 ได้รับการลดอัตราเงินสมทบเช่นกัน จากเดิมร้อยละ 9 เหลือร้อยละ 1.8 (เดือนละ 86 บาท) เป็นระยะเวลา 3 เดือน (มีนาคม-พฤษภาคม 2563)
3. ขยายการนำส่งเงินสมทบออกไปอีก 3 เดือน คือ
- เงินสมทบเดือนมีนาคม ให้จ่ายวันที่ 15 กรกฎาคม 2563
- เงินสมทบเดือนเมษายน ให้จ่ายวันที่ 15 สิงหาคม 2563
- เงินสมทบเดือนพฤษภาคม ให้จ่ายวันที่ 15 กันยายน 2563
จากการขยายการนำส่งเงินสมทบดังกล่าวออกไป 3 เดือน พบว่ามีนายจ้างบางราย หักเงินสมทบผู้ประกันตนงวดเดือนมีนาคม 2563 ในอัตราเดิมคือ ร้อยละ 5 และนำส่งสำนักงานประกันสังคมแล้วนั้น ดังนั้น กลุ่มผู้ประกันตนที่ชำระเกินต้องขอให้นายจ้างยื่นเรื่องขอรับเงินสมทบคืนส่วนที่ชำระเกินจากสำนักงาน เพื่อสำนักงานจะจ่ายเงินคืนผ่านทางนายจ้าง เพื่อคืนเงินสมทบให้กับผู้ประกันตนต่อไป
สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 39 สามารถยื่นเรื่องขอรับเงินสมทบคืน โดยจัดส่งเอกสารทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ไปที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานคร หรือจังหวัด และสาขา ที่ท่านสะดวก
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกันตนที่นำส่งเงินสมทบเกินจำนวน ให้นายจ้างหรือผู้ประกันตนที่นำส่งเงินสมทบเกินจำนวนสามารถยื่นคำร้องขอรับเงินคืน พร้อมสำเนาเอกสารประกอบ ต่อสำนักงานประกันสังคม ด้วยวิธีการทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ โทรสาร (Fax) ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) หรือแอปพลิเคชันไลน์ได้ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ โทรศัพท์สายด่วน 1506 ให้บริการ 24 ชั่วโมง
โหลดเอกสาร คลิกที่นี่
>> อ่านข้อมูลและติดตามสถานการณ์ COVID-19 << ได้ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน