สิทธิประกันสังคมที่คนว่างงานต้องรู้ เพราะสิ่งนี้เปรียบเสมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ที่ไม่ว่าคุณจะตกงาน ถูกเลิกจ้าง ว่างงาน ไม่รู้จะหาทางออกยังไง ก็อย่าเพิ่งท้อใจ เพราะยังมีประกันสังคมรองรับอยู่
สำหรับคนที่เป็นสมาชิกประกันสังคมและส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6
เดือน ภายในระยะเวลาย้อนหลัง 15 เดือน หากตอนนี้คุณกำลังตกงาน
จะด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม ถ้าไม่ได้ออกจากงานเพราะทำผิดกฎหมาย
หรือทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย ก็อย่าเพิ่งท้อแท้หรือหมดหวัง
อยากให้ลองนึกย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่เราทำงานแล้วพอเงินเดือนออกสำนักงานประกันสังคมก็จะหัก
5% ในทุก ๆ เดือน ซึ่งหลายคนไม่เข้าใจว่าหักไปทำไม
เพราะเงินเดือนที่ได้ก็แทบจะไม่พอใช้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้แหละครับ
ตอนที่เรากำลังลำบาก สำนักงานประกันสังคมได้นำเงินที่เรา ๆ ท่าน ๆ เสีย 5%
ในทุก ๆ เดือน มาช่วยเหลือเราในยามที่เราตกทุกข์ได้ยาก ด้วยการให้เงินเดือน
พร้อมหางานให้เราฟรี ๆ
ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรติดตามอ่านได้จากบทความนี้นะครับ
โดยสิ่งแรกที่ผู้ประกันตนที่ถูกเลิกจ้าง ลาออกจากงาน หรือว่างงาน ต้องทำคือ รีบไปขึ้นทะเบียนหางาน ณ สำนักจัดหางานของรัฐ ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ลาออก หรือถูกเลิกจ้าง ซึ่งทางสำนักงานประกันสังคมจะได้ให้ความช่วยเหลือตามสิทธิประโยชน์ในกรณีว่างงาน โดยหลักเกณฑ์และสิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกันตนจะได้รับมีดังนี้
ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนการว่างงาน (ถูกเลิกจ้างหรือลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้างตามกำหนดระยะเวลา) โดยไม่มีความผิดตามกฎหมาย เช่น สมมติตกงานวันที่ 1 เดือนกรกฎาคม 2566 ให้นับย้อนไป 15 เดือน คือนับตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2565 - มิถุนายน 2566 แล้วดูว่าในช่วงนั้นเราส่งเงินถึง 6 เดือนไหม ถ้าภายใน 15 เดือนตามช่วงเวลาดังกล่าวผู้ประกันตนส่งเงินสมทบครบ 6 เดือนก็สามารถใช้สิทธิตรงนี้ได้
1. ต้องขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานผ่านระบบอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์กรมจัดหางาน หรือที่สำนักงานจัดหางานของรัฐภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ว่างงาน โดยไม่ต้องรอหนังสือรับรองการออกจากงาน เพื่อเป็นการแสดงสิทธิ์ในเบื้องต้น
2. มีความสามารถในการทำงานและพร้อมที่จะทำงานที่เหมาะสมตามที่จัดหาให้
3. ไม่ปฏิเสธการฝึกงาน
4. ต้องรายงานต่อเจ้าหน้าที่สำนักจัดหางานหรือผ่านระบบอินเทอร์เน็ตเว็บไซต์กรมจัดหางาน ไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ครั้ง และผู้ที่ว่างงานต้องไม่ถูกเลิกจ้างเนื่องจากกรณี มีดังนี้
- ทุจริตต่อหน้าที่กระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง
- จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
- ฝ่าฝืนข้อบังคับ หรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงาน หรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายในกรณีร้ายแรง
- ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 7 วันทำงานติดต่อกัน โดยไม่มีเหตุอันควร
- ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างรับความเสียหายอย่างร้ายแรง
- ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษา
- ต้องมิใช่ผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ
ทั้งนี้ผู้ประกันมีสิทธิรับประโยชน์ทดแทนเริ่มตั้งแต่วันที่ 8 นับแต่วันว่างงานจากการทำงานกับนายจ้างรายสุดท้าย
โดยสิ่งแรกที่ผู้ประกันตนที่ถูกเลิกจ้าง ลาออกจากงาน หรือว่างงาน ต้องทำคือ รีบไปขึ้นทะเบียนหางาน ณ สำนักจัดหางานของรัฐ ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ลาออก หรือถูกเลิกจ้าง ซึ่งทางสำนักงานประกันสังคมจะได้ให้ความช่วยเหลือตามสิทธิประโยชน์ในกรณีว่างงาน โดยหลักเกณฑ์และสิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกันตนจะได้รับมีดังนี้
หลักเกณฑ์ที่จะทำให้ผู้ประกันตนมีสิทธิในกรณีว่างงาน
ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนการว่างงาน (ถูกเลิกจ้างหรือลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้างตามกำหนดระยะเวลา) โดยไม่มีความผิดตามกฎหมาย เช่น สมมติตกงานวันที่ 1 เดือนกรกฎาคม 2566 ให้นับย้อนไป 15 เดือน คือนับตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2565 - มิถุนายน 2566 แล้วดูว่าในช่วงนั้นเราส่งเงินถึง 6 เดือนไหม ถ้าภายใน 15 เดือนตามช่วงเวลาดังกล่าวผู้ประกันตนส่งเงินสมทบครบ 6 เดือนก็สามารถใช้สิทธิตรงนี้ได้
เมื่อว่างงานแล้วผู้ประกันตนจะต้องทำอย่างไร
1. ต้องขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานผ่านระบบอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์กรมจัดหางาน หรือที่สำนักงานจัดหางานของรัฐภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ว่างงาน โดยไม่ต้องรอหนังสือรับรองการออกจากงาน เพื่อเป็นการแสดงสิทธิ์ในเบื้องต้น
2. มีความสามารถในการทำงานและพร้อมที่จะทำงานที่เหมาะสมตามที่จัดหาให้
3. ไม่ปฏิเสธการฝึกงาน
4. ต้องรายงานต่อเจ้าหน้าที่สำนักจัดหางานหรือผ่านระบบอินเทอร์เน็ตเว็บไซต์กรมจัดหางาน ไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ครั้ง และผู้ที่ว่างงานต้องไม่ถูกเลิกจ้างเนื่องจากกรณี มีดังนี้
- ทุจริตต่อหน้าที่กระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง
- จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
- ฝ่าฝืนข้อบังคับ หรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงาน หรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายในกรณีร้ายแรง
- ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 7 วันทำงานติดต่อกัน โดยไม่มีเหตุอันควร
- ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างรับความเสียหายอย่างร้ายแรง
- ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษา
- ต้องมิใช่ผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ
ทั้งนี้ผู้ประกันมีสิทธิรับประโยชน์ทดแทนเริ่มตั้งแต่วันที่ 8 นับแต่วันว่างงานจากการทำงานกับนายจ้างรายสุดท้าย
สิทธิประกันสังคมว่างงานที่จะได้รับประโยชน์ทดแทน
กรณีถูกเลิกจ้าง
ได้รับเงินทดแทนระหว่างการว่างงานปีละไม่เกิน 180 วัน ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ย โดยคำนวณจากฐานเงินสมทบขั้นต่ำเดือนละ (อัตราค่าจ้างจริงต่ำสุด) 1,650 บาท และฐานเงินสมทบสูงสุดไม่เกิน (อัตราค่าจ้างจริงสูงสุด) 15,000 บาท ตัวอย่างเช่น ผู้ประกันตนมีเงินเดือนเฉลี่ย 10,000 บาท จะได้รับเดือนละ 5,000 บาท หรือถ้าหากผู้ประกันตนมีเงินเดือนเฉลี่ยมากกว่าหรือเท่ากับ 15,000 บาท ผู้ประกันตนก็จะได้รับเงินเดือนที่คิดจากฐานไม่เกิน 15,000 บาท หรือเท่ากับ 15,000 x 50/100 = 7,500 บาท
กรณีลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้างตามกำหนดระยะเวลา
ประโยชน์ทดแทนทุกกรณีเมื่อมีสิทธิต้องยื่นเรื่องรับเงินภายใน 1 ปี เว้นแต่กรณีว่างงาน ผู้ประกันตนจะต้องยื่นขึ้นทะเบียนว่างงานที่สำนักงานจัดหางานของรัฐ ต้องยื่นสิทธิภายใน 30 วัน หลังจากถูกเลิกจ้างหรือลาออกจากงาน หากยื่นสิทธิเกินกว่า 30 วัน จะไม่ได้รับสิทธิย้อนหลัง และหากยื่นสิทธิเกินวันที่จะได้รับสิทธิไปแล้ว จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน
ในกรณียื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเพราะเหตุถูกเลิกจ้าง หรือเหตุถูกเลิกจ้างและลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้างเกินกว่า 1 ครั้ง ภายใน 1 ปีปฏิทิน ให้มีสิทธิได้รับเงินทดแทนทุกครั้ง รวมกันไม่เกิน 180 วัน แต่ในกรณียื่นขอรับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเพราะเหตุลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง เกินกว่า 1 ครั้ง ภายใน 1 ปีปฏิทิน ให้มีสิทธิได้รับเงินทดแทนรวมกันไม่เกิน 90 วัน
ยื่นว่างงานประกันสังคม ต้องใช้หลักฐานอะไรบ้าง
1. แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน (สปส. 2-01/7) กรณียื่นผ่านอินเทอร์เน็ตสามารถกรอกในเว็บไซต์ได้
2. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
3. หนังสือรับรองการออกจากงานหรือสำเนาแบบแจ้งการลาออกจากงานของผู้ประกันตนออกจากงานของผู้ประกันตน (สปส. 6 -09) กรณีที่ไม่มีสำเนา สปส.6-09 ก็สามารถไปขึ้นทะเบียนกรณีว่างงานได้
4. หนังสือหรือคำสั่งของนายจ้างให้ออกจากงาน (ถ้ามี)
5. สำเนาสมุดบัญชีธนาคารประเภทออมทรัพย์ หน้าที่มีชื่อผู้ประกันตน
ขั้นตอนและวิธีการลงทะเบียนว่างงาน เพื่อขอรับเงินชดเชย
2. คลิกเข้าสู่ระบบสำหรับบุคคลทั่วไป แล้วลงชื่อเข้าใช้งาน หากยังไม่เคยสมัครให้กด "ลงทะเบียน (เฉพาะผู้ใช้งานใหม่)" เพื่อพิสูจน์ตัวตนในระบบ Digital ID ก่อน
3. เลือก "ขึ้นทะเบียนและรายงานตัวผู้ประกันตนกรณีว่างงาน" แล้วกดดำเนินการต่อ
4. คลิกเมนูขึ้นทะเบียนว่างงาน แล้วกรอกข้อมูลต่าง ๆ พร้อมแนบไฟล์เอกสารสำเนาสมุดบัญชีธนาคาร ประเภทออมทรัพย์ หน้าที่มีชื่อผู้ประกันตน
5. กดบันทึก ลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว (ไม่ต้องส่งเอกสารที่สำนักงานจัดหางานหรือสำนักงานประกันสังคมอีก)
3. เลือก "ขึ้นทะเบียนและรายงานตัวผู้ประกันตนกรณีว่างงาน" แล้วกดดำเนินการต่อ
4. คลิกเมนูขึ้นทะเบียนว่างงาน แล้วกรอกข้อมูลต่าง ๆ พร้อมแนบไฟล์เอกสารสำเนาสมุดบัญชีธนาคาร ประเภทออมทรัพย์ หน้าที่มีชื่อผู้ประกันตน
5. กดบันทึก ลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว (ไม่ต้องส่งเอกสารที่สำนักงานจัดหางานหรือสำนักงานประกันสังคมอีก)
หากไม่สามารถดำเนินการได้ด้วยตนเองสามารถติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด/สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 ตามที่สะดวก หรือติดต่อเจ้าหน้าที่สายด่วนกรมการจัดหางาน 1506 กด 2
วิธีรายงานตัวกรณีว่างงาน
หลังจากลงทะเบียนแล้วจะต้องรายงานตัวผ่านเว็บไซต์ โดยระบบจะแจ้งเตือนเมื่อถึงกำหนดการรายงานตัว
1. เข้าเว็บไซต์กรมจัดหางาน แล้วเข้าสู่ระบบสำหรับบุคคลทั่วไป
2. เลือก "ขึ้นทะเบียนและรายงานตัวผู้ประกันตนกรณีว่างงาน" แล้วกดดำเนินการต่อ
4. กดบันทึก ระบบจะแสดงข้อความว่าการรายงานตัวเรียบร้อย
สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยในการลงทะเบียนว่างงาน สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดในพื้นที่ใกล้บ้าน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน 1506 กด 2
บทความที่เกี่ยวข้องกับประกันสังคม
- ถูกเลิกจ้างกะทันหัน ตกงานสายฟ้าแลบ ! ทำยังไงดี ได้เงินชดเชยเท่าไหร่
- คู่มือมนุษย์เงินเดือน ! ลาออกจากงาน...ต้องทำยังไงกับประกันสังคม
- ขอคืนเงินประกันสังคม บำเหน็จ บำนาญชราภาพ ก่อนอายุ 55 ปี ได้ไหม ถ้าตกงาน หรือลาออก ?
- ประกันสังคม มาตรา 33 กับสิทธิประโยชน์ที่มนุษย์เงินเดือน-ลูกจ้างจำเป็นต้องรู้ !
- คู่มือมนุษย์เงินเดือน ! ลาออกจากงาน...ต้องทำยังไงกับประกันสังคม
- ขอคืนเงินประกันสังคม บำเหน็จ บำนาญชราภาพ ก่อนอายุ 55 ปี ได้ไหม ถ้าตกงาน หรือลาออก ?
- ประกันสังคม มาตรา 33 กับสิทธิประโยชน์ที่มนุษย์เงินเดือน-ลูกจ้างจำเป็นต้องรู้ !
ขอบคุณภาพจาก : กรมการจัดหางาน
ขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักงานประกันสังคม, ราชกิจจานุเบกษา, กรมการจัดหางาน (1), (2)