![ประกันสังคมชราภาพ](https://s359.kapook.com//pagebuilder/5d890f65-cf17-48a3-9790-7ea4eff82753.jpg)
สิทธิประกันสังคม มาตรา 33 และ ประกันสังคม มาตรา 39 ได้ให้ความคุ้มครองผู้ประกันตนหลายส่วน หนึ่งในนั้นก็คือ กรณีชราภาพที่จะได้รับเงินไว้ใช้ในยามเกษียณ คือ เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และต้องเป็นไปตามเงื่อนไขอื่น ๆ ที่กำหนดไว้
แต่ที่ผ่านมาก็มีหลายคนตั้งคำถามว่า เราจะสามารถขอคืนเงินชราภาพบางส่วนออกมาก่อนครบกำหนดได้หรือไม่ เพื่อให้มีเงินเยียวยาในช่วงเวลาที่ชีวิตประสบปัญหาทางการเงิน หรืออย่างน้อยก็สามารถนำเงินส่วนนี้ไปค้ำประกันเงินกู้จากธนาคารได้
เอาเป็นว่าใครกำลังสงสัยประเด็นนี้อยู่ ลองมาทำความเข้าใจกัน
3 วิธีเช็กเงินชราภาพประกันสังคม รู้ไหมเรามีเงินสะสมอยู่เท่าไร ?
![ประกันสังคม](https://s359.kapook.com//pagebuilder/fb4137ae-6a21-4400-bbba-d838946688f2.jpg)
แล้วเงินก้อนนี้มาจากไหนล่ะ ? ไม่ต้องสงสัยไป เพราะนี่คือเงินสมทบที่เราจ่ายไว้ทุกเดือนนั่นเอง บวกกับเงินสมทบที่นายจ้างร่วมจ่ายให้เราด้วย โดยสำหรับผู้ประกันตน มาตรา 33 จะต้องจ่ายเงินสมทบ 5% ของเงินเดือน สูงสุดไม่เกิน 750 บาท (คิดจากฐานเงินเดือน 15,000 บาท) และในเงิน 5% นี้ จะถูกแบ่งเป็นกรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพถึง 3%
เท่ากับว่า หากเดือนนั้นเราจ่ายเงินสมทบประกันสังคม 750 บาท ก็จะถูกแบ่งเป็นเงินกรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพถึง 450 บาท โดยมีนายจ้างสมทบให้อีก 450 บาท เมื่อรวม ๆ กันหลายปีก็มีเงินสมทบถึงหลักแสนได้เลย
![ประกันสังคมชราภาพ](https://s359.kapook.com//pagebuilder/55c6035c-8a4a-4dab-8135-c6664cdbffe4.jpg)
1. เงินบำเหน็จชราภาพ : จ่ายก้อนเดียวจบ
- กรณีเราจ่ายเงินสมทบ 1-11 เดือน จะได้บำเหน็จเฉพาะส่วนที่เราเคยส่งสมทบไว้ แต่จะไม่ได้ส่วนที่นายจ้างร่วมจ่ายให้ด้วย
- กรณีเราจ่ายเงินสมทบ 12-179 เดือน จะได้บำเหน็จส่วนที่ตัวเองและนายจ้างจ่ายไว้ รวมกับกำไรที่ประกันสังคมนำเงินไปลงทุน โดยกำหนดอัตราผลตอบแทนที่ได้รับเป็นปี ๆ ไป
2. เงินบำนาญชราภาพ : จ่ายทุกเดือนตลอดชีวิต
- เงื่อนไขเดียวที่จะได้รับบำนาญชราภาพก็คือ ต้องจ่ายเงินสมทบครบ 180 เดือน หรือ 15 ปีขึ้นไป จะส่งติดต่อกัน 15 ปี หรือส่ง ๆ หยุด ๆ บางช่วงก็ได้ จะส่งในฐานะผู้ประกันตน มาตรา 33 หรือมาตรา 39 ก็ได้ แต่เมื่อรวมกันแล้วต้องครบ 180 เดือน
- กรณีนี้จะได้รับเงินบำนาญเท่ากับ 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย ซึ่งหากเป็นผู้ประกันตน มาตรา 33 จะคิดที่ฐานเงินเดือนไม่เกิน 15,000 บาท แต่หากเป็นผู้ประกันตน มาตรา 39 จะคิดที่ฐานเงินเดือน 4,800 บาท
- หากใครจ่ายเงินสมทบมากกว่า 180 เดือน ก็จะได้บำนาญบวกเพิ่มขึ้นไปอีก 1.5% ทุก ๆ 12 เดือน หรือ 1 ปี เช่น จ่ายเงินสมทบ 30 ปี ก็จะได้รับบำนาญเป็น 20% + (1.5% x 15 ปี) เท่ากับ 42.5%
- แต่ถ้าในช่วง 60 เดือนสุดท้ายของการทำงาน ใครเป็นทั้งผู้ประกันตน มาตรา 33 และมาตรา 39 ก็ให้คำนวณจากฐานเงินเดือนสูงสุดของแต่ละมาตรา เช่น ช่วง 40 เดือนแรก เป็นผู้ประกันตน มาตรา 33 คิดจากฐานเงินเดือนสูงสุด 15,000 บาท บวกกับช่วง 20 เดือนสุดท้าย เป็นผู้ประกันตน มาตรา 39 คิดจากฐานเงินเดือน 4,800 บาท
![ประกันสังคมชราภาพ](https://s359.kapook.com//pagebuilder/d4bf961a-e9b6-442f-946b-f8a307b074bf.jpg)
และความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง
หมายความว่า เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์แล้ว ไม่ใช่ว่าจะได้เงินทันที เราจะต้องลาออกจากงาน และลาออกจากประกันสังคมด้วย แต่หากเรายังทำงานอยู่ และส่งเงินสมทบไม่ว่าจะเป็นผู้ประกันตน มาตรา 33 หรือมาตรา 39 แม้อายุครบ 55 ปีบริบูรณ์แล้วก็ยังไม่มีสิทธิรับเงินชราภาพ
สำหรับผู้ที่ต้องการขอรับเงินคืน จะต้องทำเรื่องขอคืนเงินชราภาพประกันสังคมภายใน 1 ปี หลังลาออกจากกองทุนประกันสังคม ไม่เช่นนั้นจะถูกตัดสิทธิรับเงินบำเหน็จ-บำนาญทันที โดยศึกษาขั้นตอนการขอคืนเงินได้ที่นี่
![ประกันสังคมชราภาพ](https://s359.kapook.com//pagebuilder/34163747-d992-43bd-9ff1-b228fbbbdf15.jpg)
สมมติว่า คุณเอ ส่งเงินสมทบครบ 15 ปีแล้ว และได้ลาออกจากงานพร้อมกับลาออกจากประกันสังคมเมื่ออายุ 40 ปี แบบนี้คุณเอจะขอรับเงินชราภาพเลยได้ไหม ?
คำตอบคือ ไม่ได้ แม้ว่าจะส่งเงินมาครบ 15 ปี แต่ถ้าคุณเออายุยังไม่ถึง 55 ปีบริบูรณ์ ก็ต้องรอจนกว่าอายุจะครบเท่านั้น ถึงจะได้รับเงินส่วนนี้ เพราะหลักการของเงินชราภาพก็คือ ต้องการให้ทุกคนมีบำนาญรายเดือนหลังเกษียณ โดยไม่ต้องห่วงว่าหากตัวเองอายุยืนแล้วจะมีเงินสมทบไม่พอใช้
ยกเว้น 2 กรณีที่จะสามารถรับเงินชราภาพคืนก่อนอายุ 55 ปีได้ คือ
1. ผู้ประกันตนกลายเป็นผู้ทุพพลภาพก่อนอายุ 55 ปี จะคืนเป็นเงินบำเหน็จ
2. ผู้ประกันตนถึงแก่ความตายก่อนอายุ 55 ปี ทายาทจะได้รับเป็นเงินบำเหน็จเท่านั้น ไม่มีสิทธิรับเป็นเงินบำนาญ แม้จะส่งเงินสมทบครบ 15 ปีแล้วก็ตาม
ขอเลือก ขอคืน ขอกู้เงินชราภาพได้
จะเห็นได้ว่ากรณีการขอรับเงินชราภาพมีข้อจำกัดหลายประการ ทำให้ผู้ประกันตนเรียกร้องให้สำนักงานประกันสังคมพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวประกาศใช้มามากกว่า 20 ปีแล้ว
นั่นจึงเป็นเหตุให้สำนักงานประกันสังคมพิจารณาแก้ไขกฎหมายเรื่องนี้ โดยมี 3 ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจก็คือ ขอเลือก ขอคืน ขอกู้
1. ขอเลือก : ให้ผู้ประกันตนที่มีสิทธิรับบำนาญ ขอเลือกรับบำเหน็จแทนได้
เนื่องจากปัจจุบันผู้ประกันตนไม่สามารถเลือกได้ว่าจะรับเงินแบบไหน เพราะกฎหมายให้คำนวณจากจำนวนปีที่ส่งเงินสมทบเป็นเกณฑ์
กล่าวคือ หากส่งเงินสมทบไม่ครบ 180 เดือน ก็จะได้เงินบำเหน็จ แต่หากส่งเงินสมทบตั้งแต่ 180 เดือนขึ้นไป ถึงจะได้รับเงินบำนาญ ดังนั้น คนที่ทำงานมาเกิน 15 ปี จะต้องรับบำนาญเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถเลือกรับบำเหน็จได้
ทั้งนี้ การรับเงินบำเหน็จมีข้อดีตรงที่ได้เงินก้อนใหญ่มาเลยทีเดียว เหมาะกับคนที่ต้องการใช้เงินก้อน แต่ก็มีข้อเสียคือ ในกรณีที่เราอายุยืน เราจะได้บำเหน็จน้อยกว่าบำนาญ และมีโอกาสที่จะใช้เงินหมดก่อน อาจไม่มีเงินใช้ในบั้นปลายชีวิต
2. ขอคืน : ให้ผู้ประกันตนขอรับเงินชราภาพบางส่วน ก่อนอายุ 55 ปี
3. ขอกู้ : ให้ผู้ประกันตนนำเงินชราเป็นหลักประกันเงินกู้ผ่านธนาคาร
แต่ก็ต้องระวังว่าหากผู้ประกันตนไม่ผ่อนชำระเงินคืนธนาคารตามกำหนด อาจถูกยึดหลักทรัพย์ค้ำประกัน และต้องถูกปรับลดเงินบำเหน็จหรือบำนาญลงตามจำนวนเงินที่นำไปค้ำประกัน
สำหรับความคืบหน้าล่าสุดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2565 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ 3 ประเด็น ทั้งขอเลือก, ขอคืน และขอกู้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและเป็นการปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ดังนี้
- ให้ผู้รับเงินบำนาญชราภาพสามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนได้
- ให้ผู้รับเงินบำนาญชราภาพสามารถขอรับเงินบำนาญจ่ายล่วงหน้าได้
- ให้ผู้ประกันตนที่มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ สามารถเลือกรับเงินบำเหน็จหรือเงินบำนาญชราภาพได้ (ขอเลือก)
- ในกรณีเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ สาธารณภัย หรือเหตุการณ์อื่นใดอันส่งผลกระทบต่อผู้ประกันตน ก็สามารถนำเงินสะสมกรณีชราภาพบางส่วนออกมาใช้ได้ก่อนอายุ 55 ปีบริบูรณ์ (ขอคืน)
- สามารถนำเงินสะสมกรณีชราภาพบางส่วนไปเป็นหลักประกันกับสถาบันการเงินได้ (ขอกู้)
- ขยายอายุขั้นสูงของผู้ประกันตนที่เป็นลูกจ้าง จากเดิมอายุ 60 ปีบริบูรณ์ เป็นอายุ 65 ปีบริบูรณ์
- เพิ่มเงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพ จากร้อยละ 50 ของค่าจ้าง เป็นร้อยละ 70 ของค่าจ้าง
- เพิ่มระยะเวลาในการจ่ายเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร โดยเหมาจ่ายครั้งละร้อยละ 50 ของค่าจ้าง จากเดิม 90 วัน เป็น 98 วัน
- กรณีผู้ประกันตนสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง และภายหลังการสิ้นสภาพเป็นผู้ประกันตน จะยังได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรต่อไปอีก 6 เดือน
* หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 10 พฤษภาคม 2565
ขอบคุณข้อมูลจาก : สํานักงานประกันสังคม, สำนักงานประกันสังคม, YouTube สํานักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน, เฟซบุ๊ก สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน, กระทรวงแรงงาน