ทำความรู้จักระบบ Blockchain คืออะไร มีข้อดียังไง และมีหลักการทำงานอย่างไรบ้าง ก่อนเตรียมตัวรับเงินดิจิทัล 10,000 บาท
จากนโยบายเงินดิจิทัลวอลเล็ตของพรรคเพื่อไทยที่คนพูดถึงกันมากที่สุด ณ ขณะนี้ โดยจะแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เพื่อให้คนไทยจับจ่ายใช้สอยผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลวอลเล็ต ผ่านระบบบล็อกเชน ทำให้หลายคนคงเกิดความสงสัยว่า Blockchain คืออะไร มีข้อดียังไง และมีหลักการทำงานอย่างไรบ้าง ในวันนี้เราจะพาไปหาคำตอบพร้อม ๆ กัน
บล็อกเชน (Blockchain) คือ เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (Decentralized) กล่าวคือ ไม่มีตัวกลางเก็บข้อมูล และไม่มีใครเป็นเจ้าของข้อมูล เพราะข้อมูลจะถูกจัดเก็บในรูปแบบของบล็อก (Block) หลาย ๆ บล็อกที่เชื่อมต่อกันเป็นเส้นเครือข่าย (Chain) ผ่านการเข้ารหัสทางคอมพิวเตอร์ โดยข้อมูลที่ถูกบันทึกจะถูกส่งต่อไปยังคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ของทุกคนที่เชื่อมต่อกับเครือข่าย (Node) เพื่อให้ช่วยยืนยันการทำธุรกรรมกันเอง ทำให้ทุกคนรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของข้อมูล และยากต่อการปลอมแปลง ซึ่งส่งผลให้การทำธุรกรรมและการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้วย Blockchain โปร่งใสและมีความปลอดภัยสูง
Blockchain มีหลักการทำงานอย่างไร
1. บันทึกข้อมูลการทำธุรกรรมในรูปแบบบล็อก
เมื่อมีการทำธุรกรรมเกิดขึ้นในเครือข่าย Blockchain ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมนั้น ๆ จะถูกรวบรวมและบันทึกลงในบล็อก โดยภายในแต่ละบล็อกจะประกอบด้วยข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ของการทำธุรกรรม เช่น ชื่อผู้ทำธุรกรรม ลักษณะของการทำธุรกรรม เวลาที่ทำธุรกรรม เป็นต้น
2. แต่ละบล็อกจะเชื่อมต่อกับบล็อกก่อนหน้าและบล็อกถัดไป
เมื่อบล็อกรวบรวมและบันทึกข้อมูลเรียบร้อยแล้ว จะทำการเชื่อมต่อกับบล็อกในเครือข่ายที่อยู่หน้าและบล็อกที่อยู่ถัดไป โดยบล็อกจะยืนยันเวลาและลำดับที่แน่นอนของการทำธุรกรรม รวมทั้งเชื่อมโยงข้อมูลเป็นเส้นเครือข่าย เพื่อป้องกันไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลของบล็อกใดบล็อกหนึ่งหรือเพิ่มบล็อกใหม่แทรกระหว่างบล็อกที่มีอยู่แล้ว
3. บล็อกเชื่อมต่อกันเป็นเส้นที่ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้
ยิ่งมีบล็อกข้อมูลใหม่ถูกเพิ่มเข้ามาในเครือข่ายมากเท่าไร ยิ่งทำให้ข้อมูลของบล็อกที่มีอยู่ก่อนหน้าตรวจสอบได้ง่ายขึ้น จึงไม่มีใครสามารถลักลอบปลอมแปลงหรือแก้ไขข้อมูลในบล็อก เพราะจะส่งผลกระทบต่อเส้นเครือข่ายทั้งหมด ดังนั้นการทำธุรกรรมจึงเชื่อถือได้
จุดเด่นและข้อดีของ Blockchain
1. ความน่าเชื่อถือ
สามารถเชื่อถือได้ว่าข้อมูลธุรกรรมจะถูกต้องแม่นยำ และมีเฉพาะสมาชิกในเครือข่ายเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้
2. ความปลอดภัย
บล็อกเชนจะไม่จัดเก็บข้อมูลใด ๆ ไว้ที่ศูนย์กลาง แต่จะถูกกระจายไปยังเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ดังนั้นความถูกต้องของข้อมูลจะต้องได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกในเครือข่ายทั้งหมด และทุก ๆ ธุรกรรมที่ผ่านการตรวจสอบจะถูกบันทึกไว้ถาวร ซึ่งไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลหรือธุรกรรมใด ๆ ได้ แม้จะเป็นผู้ดูแลระบบก็ตาม ข้อมูลจึงปลอดภัยและมีความเป็นส่วนตัว
3. ความมีประสิทธิภาพ
Blockchain สามารถบันทึกสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) ที่เป็นระบบการทำงานอัตโนมัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ โดยสัญญาเหล่านี้จะทำงานเมื่อเงื่อนไขตรงตามที่กำหนดไว้ ทำให้กระบวนการธุรกรรมเป็นไปอย่างรวดเร็วและไร้ความผิดพลาด
4. ความรวดเร็ว
หากเรานำเช็คไปเข้าธนาคารในวันศุกร์ เราต้องรอถึงวันจันทร์ถึงได้รับเงิน เพราะสถาบันทางการเงินปิดทำการในวันเสาร์-อาทิตย์ ขณะที่บล็อกเชนทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง เราจึงสามารถทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้ตลอดเวลาโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที
5. ช่วยลดต้นทุนและค่าใช้จ่าย
เนื่องจากบล็อกเชนมีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบข้อมูลได้อย่างแม่นยำ หน่วยงานที่ใช้ระบบนี้จึงไม่จำเป็นต้องหาบุคคลที่สาม หรือสร้างระบบขึ้นมาตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลอีก จึงช่วยลดต้นทุนในส่วนนี้
นอกจากนี้หากนำบล็อกเชนมาปรับใช้กับการทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ แต่ละคนก็สามารถโอนเงินให้กันได้ (Peer to Peer) โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง เช่น ธนาคาร ผู้โอนก็ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม
Blockchain มีประโยชน์ยังไงบ้าง
เนื่องจาก Blockchain มีคุณสมบัติที่สามารถจัดเก็บและเชื่อมโยงข้อมูลอย่างเป็นระบบ จึงทำให้ปัจจุบันถูกนำมาใช้งานในหลาย ๆ อุตสาหกรรม ดังต่อไปนี้
-
การเงิน : เช่น การโอนเงินข้ามประเทศที่ช่วยให้ทำธุรกรรมได้เร็วขึ้น รวมไปถึงการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล หรือคริปโทเคอร์เรนซี ที่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการโอนเงินจริงผ่านธนาคาร
-
ธุรกิจ : เช่น การระดมทุน ICO (Initial Coin Offering) โดยบริษัทที่ต้องการเงินทุนจะเสนอขายโทเคนให้ผู้ลงทุนที่สนใจโครงการนั้น
-
อสังหาริมทรัพย์ : เช่น การทำสัญญา Smart Contract เพื่อช่วยตรวจสอบข้อมูลและลดตัวกลางในการทำสัญญา
-
การแพทย์ : เช่น นำบล็อกเชนมาใช้เก็บข้อมูลทางการแพทย์ที่ต้องมีความเป็นส่วนตัวสูง หรือใช้สำหรับการวิจัยทางการแพทย์
-
อุตสาหกรรมบันเทิง : เป็นช่องทางให้ศิลปินมีโอกาสสร้างรายได้เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังป้องกันเรื่องลิขสิทธิ์ได้
-
โลจิสติกส์ : ใช้ในการติดตามกระบวนการผลิตและการขนส่งสินค้า ซึ่งจะทราบได้ว่าสินค้ามีปริมาณเท่าไร หมดอายุเมื่อไร ถูกส่งไปเมื่อไร เป็นต้น
-
โภชนาการและอาหาร : ใช้ติดตามแหล่งกำเนิดของอาหาร และระยะเวลาที่ใช้ในกระบวนการจัดจำหน่าย
-
ภาครัฐ : ใช้ในการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลของประชาชน และสามารถเชื่อมโยงกันได้ทั่วประเทศ จึงง่ายต่อการตรวจสอบ
-
การเมืองและการเลือกตั้ง : หากลงคะแนนผ่านระบบบล็อกเชน จะช่วยลดปัญหาการนับคะแนนผิดและการทุจริตต่าง ๆ เพราะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่ลงคะแนนไปแล้วได้
- ธุรกิจประกัน : ช่วยลดความซับซ้อนในกระบวนการของการเคลมและการชดเชย
ข้อเสียและข้อจำกัดของ Blockchain
ถึงแม้ว่า Blockchain จะมีข้อดีหลายอย่าง แต่ก็มีข้อเสียหรือข้อจำกัดบางประการเช่นกัน ดังต่อไปนี้
1. ไม่สามารถแก้ไขได้
เนื่องจาก Blockchain เป็นระบบที่ไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงย้อนหลังได้ จึงทำให้ข้อมูลหรือธุรกรรมใด ๆ ที่ถูกบันทึกลงใน Blockchain แล้วจะไม่สามารถแก้ไขได้อีก จึงควรตรวจสอบให้ดีก่อนทำธุรกรรมทุกครั้ง
2. ใช้พลังงานสูง
Blockchain ที่ยิ่งมีจำนวนสมาชิกเข้าถึงมาก ยิ่งมีความโปร่งใสและปลอดภัยสูง แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยการใช้พลังงานที่สูงขึ้นตามไปด้วย
3. การเก็บรักษา Private Key
กุญแจส่วนตัว หรือ Private Key เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ในการเข้าถึงทรัพย์สินหรือเงินดิจิทัล ซึ่งผู้ใช้จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบและเทคโนโลยีในระดับหนึ่ง เพื่อที่จะได้รู้วิธีเก็บ Private Key อย่างปลอดภัย เพราะถ้าหากสูญเสีย Private Key ไปแล้ว จะทำให้เสียบัญชีและทรัพย์สินดิจิทัลไปตลอดกาล
4. ความเป็นส่วนตัว
Blockchain ที่แชร์แบบสาธารณะ อาจทำให้คนอื่นสามารถเข้าถึงข้อมูลหรือการทำธุรกรรมที่เป็นส่วนตัวได้ ซึ่งถึงแม้ว่า Blockchain จะมีความปลอดภัยสูง แต่หากต้องการแก้ไขหรือลบข้อมูลที่เป็นส่วนตัวจะไม่สามารถทำได้
5. บางครั้งใช้เวลาทำธุรกรรมนาน
บล็อกเชนทำงานได้เร็วก็จริง แต่หากมีการเพิ่มบล็อกใหม่ให้กับบล็อกเชนจะต้องใช้เวลาประมวลผลนานพอสมควร ทำให้ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ว่าในแต่ละบล็อกเชนควรมีขนาดเท่าไรถึงจะเหมาะสมต่อการจัดเก็บข้อมูล
6. มีต้นทุนทางเทคโนโลยี
การใช้ Blockchain มีต้นทุนในเรื่องเทคโนโลยี หรือค่าใช้จ่ายส่วนอื่น ๆ ที่เพิ่มเข้ามาค่อนข้างมาก เช่น การตั้งเซิร์ฟเวอร์ การสร้างระบบในการตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรม หรือในกรณีที่เราต้องการขุดบิตคอยน์ก็ต้องลงทุนซื้ออุปกรณ์ที่มีกำลังแรง ยังไม่รวมถึงค่าไฟและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
7. อาจถูกนำไปใช้ในทางผิดกฎหมาย
แม้ว่าเครือข่ายบล็อกเชนจะถูกป้องกันจากแฮกเกอร์ แต่ก็ยังมีการอนุญาตให้มีการซื้อ-ขายที่ผิดกฎหมายบนเครือข่ายบล็อกเชนอยู่ อย่างในต่างประเทศเคยมีกรณีที่เว็บมืดให้ผู้ใช้เข้ามาซื้อ-ขายสินค้าผิดกฎหมายได้ผ่านสกุลเงินดิจิทัล
ทั้งหมดนี้ก็คือความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับระบบ Blockchain สำหรับเพื่อน ๆ ที่ยังไม่ค่อยรู้จักเทคโนโลยีนี้ หวังว่าจะได้ความรู้ความเข้าใจที่เป็นประโยชน์กันนะครับ
บทความที่เกี่ยวข้องกับบล็อกเชน