เงินเฟ้อ คืออะไร อธิบายง่าย ๆ แบบที่ทุกคนเข้าใจได้ ! คนทั่วไปอย่างเราได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง สรุปแล้วเงินเฟ้อดีหรือไม่ดีต่อเศรษฐกิจ มาลองทำความเข้าใจกัน
เงินเฟ้อ คืออะไร ?
อัตราเงินเฟ้อ (Inflation) เป็นดัชนีชี้วัดราคาสินค้าและบริการในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น ถ้าแบบเข้าใจง่าย ๆ เงินเฟ้อ คือ การที่สินค้ามีราคาแพงขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเอง
หรือในกรณีเราเคยซื้อสินค้าชิ้นหนึ่ง เมื่อปีที่แล้ว ราคา 100 บาท แต่ปีนี้ราคาเพิ่มเป็น 103 บาท ดังนั้นราคาเพิ่มขึ้น 3% เท่ากับอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 3%
ตรงกันข้าม หากราคาสินค้าถูกลงเมื่อเทียบจากในอดีต เราก็จะเรียกสิ่งนี้ว่า "เงินฝืด" นั่นเอง สรุปคือ
ถ้าราคาสินค้าแพงขึ้น = เงินเฟ้อ
วิธีคำนวณอัตราเงินเฟ้อ
สำหรับวิธีการคำนวณอัตราเงินเฟ้อ จะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบด้วยกัน
1. อัตราเงินเฟ้อทั่วไป เป็นการคิดอัตราเงินเฟ้อจากราคาสินค้าและบริการทุกประเภท รวม 7 หมวดหมู่ ได้แก่ อาหาร-เครื่องดื่ม, เครื่องนุ่งห่ม-รองเท้า, เคหสถาน, การรักษา-บริการ, พาหนะขนส่ง-การสื่อสาร, บันเทิง การอ่าน การศึกษา และยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคืออัตราเงินเฟ้อที่คนส่วนใหญ่พูดถึงกัน และเป็นอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดให้เป็นเป้าหมายของนโยบายการเงิน
2. อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน เป็นการคิดอัตราเงินเฟ้อจากราคาสินค้าและบริการ โดยที่ไม่รวมสินค้าประเภทอาหารสด (เนื้อสัตว์ ไข่ ข้าว ผัก ผลไม้ ผลิตภัณฑ์นม) และพลังงาน (น้ำมัน ไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม) เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีราคาผันผวนสูง จึงสามารถสะท้อนเงินเฟ้อที่เกิดจากความต้องการ (Demand) ของคนได้มากขึ้น
เงินเฟ้อ เกิดจากสาเหตุอะไร
การเกิดเงินเฟ้อนั้นมีสาเหตุมาจาก 2 เรื่องหลัก ๆ ด้วยกัน คือ
1. คนมีความต้องการซื้อสินค้ามากขึ้น (Demand-Pull Inflation)
สาเหตุนี้จะเกิดจากฝั่งผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ที่ต้องการสินค้ามากกว่าที่ตลาดมีขาย จนทำให้สินค้าไม่เพียงพอ ผลิตไม่ทัน ดังนั้นคนขายจึงถือโอกาสนี้ปรับขึ้นราคาสินค้า เพื่อให้สมดุลกับความต้องการ และแม้ว่าราคาสินค้าจะแพงขึ้น แต่คนก็ยังต้องการซื้ออยู่ดี เหตุการณ์แบบนี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อคนในประเทศรวยขึ้น มีรายได้มากขึ้น เป็นต้น
2. ต้นทุนการผลิตสินค้าสูงขึ้น (Cost-Push Inflation)
อีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดเงินเฟ้อ คือมาจากฝั่งผู้ผลิต ในกรณีที่ต้นทุนสูงขึ้น เช่น มีการขึ้นค่าแรง วัตถุดิบแพงขึ้น น้ำมันขึ้นราคา ทำให้ค่าขนส่งแพงขึ้น โดนเก็บภาษีสูงขึ้น ฯลฯ เมื่อเป็นแบบนี้ผู้ผลิตจึงจำเป็นต้องปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นตาม เป็นเหตุให้เกิดภาวะเงินเฟ้อตามมา
ข้อดี-ข้อเสียของเงินเฟ้อ
ถ้าดูเผิน ๆ เหมือนกับว่าเงินเฟ้อจะไม่ดีต่อระบบเศรษฐกิจใช่ไหม แต่ที่จริงแล้วหากสามารถควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมก็จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและคนในประเทศได้เหมือนกัน เพราะเหมือนเป็นการช่วยสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตอยากขยายการลงทุนและจ้างงานเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจในประเทศขยายตัวได้ดี
อย่างไรก็ดี หากเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่สูงเกินไปก็จะตามมาด้วยผลกระทบด้านลบต่าง ๆ ดังนี้
เมื่อของราคาแพงขึ้น เราก็ต้องใช้เงินจำนวนมากขึ้นเพื่อซื้อสินค้า แน่นอนว่าอาจทำให้รายได้ที่เรามีอยู่ไม่เพียงพอกับการยังชีพ
• มูลค่าของเงินลดลง
เงินเฟ้อส่งผลให้ค่าของเงินลดลง หรือมีเงินเท่าเดิม แต่ซื้อสินค้าได้น้อยลง เพราะฉะนั้นใครที่ถือเงินสดไว้เฉย ๆ โดยไม่ได้นำไปลงทุนหรือทำให้มูลค่าเพิ่มขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปเงินจำนวนนั้นก็จะด้อยค่าลงเรื่อย ๆ
• อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงลดลง
คนส่วนใหญ่มักฝากเงินไว้กับธนาคารเพื่อรับดอกเบี้ยเงินฝาก แต่แน่นอนว่าหากเกิดเงินเฟ้อจะส่งผลให้มูลค่าอัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่เราได้รับน้อยลงไปด้วย เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ 1.5% ต่อปี หากอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ปีละ 1% แสดงว่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงจะเหลือเพียง 0.5% เท่านั้น และลองคิดดูหากเงินเฟ้อในแต่ละปีสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยล่ะ แบบนี้หมายความว่ามูลค่าเงินที่เราฝากกับธนาคารจะค่อย ๆ ลดลงทุกปีเลยนะ
• ภาคธุรกิจร้านค้าขายของได้น้อยลง
เป็นเรื่องปกติเมื่อของราคาแพงเกินไป ผู้บริโภคอย่างเราซื้อไม่ไหว ยอดขายก็จะลดลง รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวกับการส่งออกก็จะแข่งขันได้ยากขึ้น เพราะราคาสินค้าของเราสูงกว่าประเทศอื่น ดังนั้นเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ ผู้ประกอบการบางรายอาจต้องหาทางลดต้นทุน ด้วยการชะลอการผลิต หรือย้ายฐานการผลิต และอาจนำมาสู่การเลิกจ้างพนักงานก็เป็นได้
• เศรษฐกิจซบเซา
เมื่อคนซื้อของน้อยลง พ่อค้าแม่ค้าขายของไม่ดี การลงทุนชะลอตัว เกิดปัญหาการเลิกจ้าง แน่นอนว่าภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศจะแย่ลงด้วย นำมาสู่ปัญหาเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่จะตามมาอีกมากมาย เช่น คนว่างงาน หนี้ครัวเรือน ฟองสบู่แตก
เงินเฟ้อขั้นรุนแรง คืออะไร
อย่างเช่น เหตุการณ์ในประเทศซิมบับเว ที่มีการพิมพ์เงินออกมาจำนวนมากจนเงินเฟ้อสูงเกือบ 90,000 ล้านล้านล้านเปอร์เซ็นต์ หรือวิกฤตเวเนซุเอลา (>>> วิกฤตเวเนซุเอลา ! บทเรียนแสนสาหัส ฝันร้ายของประชานิยม) ที่คนออกมาโปรยเงินทิ้งตามท้องถนน เพราะเงินกลายเป็นสิ่งไร้ค่า เพราะแค่ซื้อกระดาษชำระ 1 ม้วน ยังต้องใช้เงินถึง 2.6 ล้านโบลิวาร์ (340 บาท)
ภาพจาก CRISTIAN HERNANDEZ / AFP
วิธีแก้ปัญหาเงินเฟ้อ
อย่างที่บอกคือ เงินเฟ้อจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจเมื่ออยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งปัจจุบัน ธปท. กำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อของประเทศอยู่ที่ปีละ 1-3% โดยเครื่องมือทางการเงินที่สำคัญของ ธปท. สำหรับการควบคุมอัตราเงินเฟ้อนั่นคือ "อัตราดอกเบี้ยนโยบาย" ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้
หากต้องการให้เงินเฟ้อลดลง ธปท. จะตัดสินใจประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อให้ต้นทุนการกู้ยืมเงินและผลตอบแทนการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ เพิ่มขึ้น เช่น จะทำให้ธนาคารปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก ดึงดูดให้ประชาชนลดการใช้จ่าย นำเงินมาเก็บไว้กับตัวเองหรือธนาคารมากขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการและภาคเอกชนจะชะลอการลงทุนไว้ก่อน เพราะอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทำให้ต้นทุนสูงขึ้น
>>> อัตราดอกเบี้ยนโยบาย คืออะไร ? ขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ส่งผลอะไรกับเราบ้าง
หากต้องการให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ธปท. จะตัดสินใจประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้ธนาคารปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากและดอกเบี้ยกู้ยืมตามไปด้วย เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนกู้ยืมเงินมาลงทุนมากขึ้น ขณะที่ประชาชนเมื่อเห็นว่าการฝากเงินกับธนาคารได้ดอกเบี้ยน้อยลง ผลตอบแทนไม่คุ้ม จึงนำเงินออกมาลงทุนในสินทรัพย์อื่นแทน เป็นการกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ
นอกจากนี้ในฝั่งของรัฐบาลก็จะมีนโยบายทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่สามารถกำหนดทิศทางของอัตราเงินเฟ้อได้เช่นกัน อาทิ การขึ้นภาษี การกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ การกำหนดราคาน้ำมัน-สินค้าทางการเกษตร เป็นต้น
วิธีเอาชนะเงินเฟ้อ ทำอย่างไร
อย่างที่รู้กันว่าความน่ากลัวของเงินเฟ้อ คือทำให้มูลค่าของเงินที่เรามีลดลง จะซื้ออะไรก็ต้องใช้เงินมากขึ้นกว่าเดิม เพราะฉะนั้นการเก็บเงินไว้เฉย ๆ คงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก แต่ควรหาวิธีเพิ่มมูลค่าของเงินให้สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ ด้วยการนำไปลงทุนในแหล่งที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินเฟ้อ เช่น
การเลือกนำเงินออมเก็บไว้กับบัญชีเงินฝากประจำ เป็นทางเลือกที่ดีกว่าฝากไว้เฉย ๆ ในบัญชีออมทรัพย์ เพราะได้ดอกเบี้ยสูงกว่า แถมมีรูปแบบบัญชีเงินฝากปลอดภาษีให้เลือกด้วย โดยต้องฝากเงินเข้าธนาคารทุกเดือนเป็นจำนวนเท่า ๆ กัน มีทั้งแบบ 12 เดือน 24 เดือน หรือ 36 เดือน จึงเป็นอีกแนวทางง่าย ๆ ที่ช่วยสร้างผลตอบแทนของเงินเก็บให้มากขึ้น
เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ เงินต้นไม่หาย และให้ผลตอบแทนดีกว่าฝากเงินกับธนาคาร เนื่องจากเป็นหน่วยลงทุนตราสารหนี้ของกระทรวงการคลัง โดยได้ผลตอบแทนเป็นอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาที่กำหนด ยิ่งซื้อระยะเวลานานก็ยิ่งได้ดอกเบี้ยสูงตาม อย่างไรก็ดี พันธบัตรรัฐบาล เหมาะกับคนที่มีเงินเย็นเก็บไว้โดยไม่ได้ใช้ เพราะหากจำเป็นต้องใช้เงินฉุกเฉิน ไถ่ถอนก่อนกำหนด ก็จะได้รับดอกเบี้ยน้อยลง หรือมีโอกาสขาดทุนได้เลย
การเลือกลงทุนในหุ้น หรือกองทุนรวม แน่นอนว่ามาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูง แต่ถ้าเราศึกษาหาความรู้ให้ดีทุกครั้งก่อนลงทุน ก็จะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนในระดับสูงได้เช่นกัน นอกจากนี้เรายังสามารถเลือกออมหุ้น-กองทุนแบบ DCA (Dollar Cost Average) ด้วยการทยอยซื้อเป็นงวด ๆ ในจํานวนเงินที่เท่า ๆ กัน แบบไม่ต้องสนใจราคา เพื่อสร้างวินัยการลงทุน และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
เห็นไหมว่าเรื่องของเงินเฟ้อที่หลายคนอาจจะมองว่าไม่สำคัญและดูไกลตัว ที่จริงแล้วกลับอยู่รอบ ๆ ตัวเราทุกคนจนนึกไม่ถึงเลยล่ะ
วิธีเอาชนะเงินเฟ้อ ทำอย่างไร
อย่างที่รู้กันว่าความน่ากลัวของเงินเฟ้อ คือทำให้มูลค่าของเงินที่เรามีลดลง จะซื้ออะไรก็ต้องใช้เงินมากขึ้นกว่าเดิม เพราะฉะนั้นการเก็บเงินไว้เฉย ๆ คงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก แต่ควรหาวิธีเพิ่มมูลค่าของเงินให้สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ ด้วยการนำไปลงทุนในแหล่งที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินเฟ้อ เช่น
• บัญชีเงินฝากประจำ
• พันธบัตรรัฐบาล
• หุ้น-กองทุนรวม
• ลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย
หากใครมีเงินเก็บเหลือเป็นจำนวนมากก็สามารถนำบางส่วนไปลงทุนกับสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ เพื่อเพิ่มมูลค่าของเงินให้งอกเงยได้ เพราะสินทรัพย์เหล่านี้มีความมั่นคงสูง และมูลค่ามักจะเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้ออยู่แล้ว นับเป็นอีกช่องทางที่ช่วยเอาชนะเงินเฟ้อได้
เห็นไหมว่าเรื่องของเงินเฟ้อที่หลายคนอาจจะมองว่าไม่สำคัญและดูไกลตัว ที่จริงแล้วกลับอยู่รอบ ๆ ตัวเราทุกคนจนนึกไม่ถึงเลยล่ะ
* หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 7 มิถุนายน 2565
ขอบคุณข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย, เฟซบุ๊ก ธนาคารแห่งประเทศไทย - Bank of Thailand, เฟซบุ๊ก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า, ธนาคารแห่งประเทศไทย