x close

10 วิธีเอาตัวรอดในเมืองหลวง หากมีเงินติดกระเป๋าแค่ 1 บาท

          แชร์ประสบการณ์มีเงินติดตัวเพียง 1 บาท กับการใช้ชีวิตในเมืองกรุงฯ มาดูกันว่าเขาจะเอาตัวรอดด้วยเงินเพียงเท่านี้ได้ด้วยเทคนิคใด

เอาตัวรอดในเมืองหลวง หากมีเงินติดกระเป๋าแค่ 1 บาท


          การใช้ชีวิตในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร ที่เต็มไปด้วยความจอแจและค่าครองชีพที่ค่อนข้างสูง อาจทำให้คนไกลบ้านหลายคนที่ตั้งใจเข้ามาทำงานเก็บเงินกลับได้ไม่คุ้มอย่างที่หวัง รวมถึงอาจกลายเป็นเงินหมดกระเป๋าและไม่มีคนใกล้ชิดให้พึ่งพาอีกด้วย วันนี้ คุณ BooM BaBa สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม จึงมีเทคนิคจากประสบการณ์ตรง เกี่ยวกับการใช้ชีวิตในเมืองหลวง แม้จะมีเงินติดกระเป๋าเพียงแค่ 1 บาทเท่านั้น ลองตั้งสติแล้วไปอ่านวิธีเอาตัวรอดกันค่ะ

          10 วิธีการเอาชีวิตรอดในเมืองหลวง หากในกระเป๋าคุณเหลือเงินเพียง 1 บาท [คุณต้องรอด] โดย คุณ BooM BaBa 

          พอดีผมอ่านกระทู้ ใช้เงิน 800 บาท ต้องอยู่ให้ได้ทั้งเดือน รู้สึกว่าพี่เขาเก่งมาก ๆ เลยทำให้นึกถึงย้อนช่วงชีวิตตัวผมเองก็เคยตกอับ เมื่อก่อนผมก็เคยนอนข้างถนนเป็นคนเร่ร่อนมาเกือบปี จึงมีความรู้สึกเป็นห่วงเพื่อน ๆ ไม่อยากให้ใช้ชีวิตประมาท ผมจึงรวบรวมวิธีการเอาตัวรอดจากประสบการณ์จริงของตัวผมเองและจากคนที่เคยผ่านความยากลำบากมากมายมาเป็นแนวทางให้เพื่อน ๆ ยามที่ชีวิตตกต่ำครับ  คุณต้องรอด
  • อันดับแรก คุณต้องตั้งสติให้มั่นก่อน อย่าหวาดกลัววิตกกังวล การมัวนั่งท้อแท้หมดอาลัยตายอยาก คร่ำครวญไม่ช่วยให้ได้ประโยชน์อะไร ค่อย ๆ คิดค่อย ๆ แก้ปัญหาไปทีละขั้น เอาเรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้ก่อนนั่นคือ วันนี้จะเอาอะไรกิน
  • บางคนอาจไม่ได้เหลือเงิน 1 บาท บางคนอาจเหลือเงิน 10, 20, 30, 40 บาท ดังนั้นคุณจงเจียดเงินส่วนหนึ่งซัก 10 บาท เป็นค่าชั่วโมงเข้าร้านเนต มันไม่ใช่สิ่งที่บ้า การเข้าเนตแล้วตั้งกระทู้ขอคำปรึกษาจากเว็บบอร์ดคุณจะได้คำแนะนำมากมายถึงทางแก้ปัญหา รวมถึงคุณสามารถหางานจากทางเนตได้เยอะขึ้นด้วย
  • ออกหางาน สิ่งที่จะทำให้คุณมีเงินประทังชีวิตกันอดตายก่อน คือ การทำงาน จงออกไปหางานข้างนอก  
  • อ้อ อย่าลืมหาขวดน้ำติดตัวไปด้วยนะ แดดมันร้อน ต้องเดินหลายกิโล น้ำคือสิ่งที่จะช่วยให้คุณมีเรี่ยวแรงเดินได้ไกลขึ้น ยิ่งเดินไกลขึ้น คุณก็ยิ่งมีโอกาสหางานได้มากขึ้น ไม่มีเงินซื้อขวดน้ำกินหรือ งั้นเดินเก็บขวดเปล่าไปล้างแล้วหาเติมเอา ถ้ามีตู้กดน้ำก็ใช้เงิน 1 บาท ที่มีกดน้ำดื่มใส่ขวด
  • หากไม่มีเงินค่ารถเมล์ก็ใช้วิธีเดินเอานี่แหละ เวลาหางานให้พยายามสังเกตป้ายหน้าร้านรับสมัครงาน แล้วเดินเข้าไปถาม ถ้าที่ไหนไม่รับหรือเต็ม อย่าถอดใจ เดินหาต่อไป พยายามเดินหางานให้ทั่วทุกร้าน ทุกประเภท ทั่วทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม ร้านอาหาร ปั๊มน้ำมัน ร้านขายของ ร้านสะดวกซื้อ ทุก ๆ ที่ที่คุณเจอ
  • อ้อ !!! ลืมไป เราไม่มีเงินเหลือสักบาทนี่นา จะไปสมัครงานพวกนี้ ต้องรอเงินออกเป็นวีคหรือเป็นเดือน แล้วจะเอาอะไรกินในตอนทำงาน ? งั้นเอางี้สิ เดินหางานตามสถานที่ที่มี รปภ. หรือยามเฝ้า ถามยามเลยว่า บริษัท รปภ. ที่เขาทำงานยังรับคนไหม  เพราะบริษัท รปภ. แทบทุกที่ จะมีเงินเบิกรายวันให้ใช้ บางบริษัทก็ให้เบิกได้ทุกอาทิตย์ แต่ถ้าคุณเป็นผู้หญิงก็ให้หางานที่เป็นแม่บ้านมีที่พัก แล้วค่อยบอกนายจ้างขอเบิกเงินพอเป็นค่ากินรายวัน ความจริงบริษัท รปภ. ก็รับผู้หญิงเหมือนกันนะ หรือจะหางานจากร้านอาหารก็ได้ เช่น คนล้างจาน แล้วขอตกลงรับค่าแรงหรือขอเงินเบิกรายวันจากส่วนหนึ่งของค่าจ้างก็ได้
  • ได้งานแล้ว มีเงินเบิกรายวันแล้ว ก็มาคิดถึงเรื่องที่อยู่ ถ้าคุณสมัครงาน รปภ. หรือแม่บ้าน ส่วนมากเขาจะมีที่พักให้ 
  • แต่ถ้าไม่มีที่พักล่ะ จะนอนไหนดี ไม่มีเงินค่าเช่าห้อง คืนแรกคุณคงต้องหาที่ซุกหัวนอนอย่างทรมาณลำบากหน่อยนะ พยายามหาที่นอนไม่เปลี่ยวหรือโล่งแจ้งเกินไป เช่น ป้ายรถเมล์ สถานที่ที่มีคนเดินผ่านไปผ่านมา เลือกนั่งงีบหลับพอเอาแรง พยายามอย่าเอนหงายนอนมันโจ่งแจ้งเตะตาเกินไป มิจฉาชีพหรือพวกจิ๊กโก๋เห็นจะเป็นอันตรายกับเรา หรือจะเอาเงินรายวันส่วนหนึ่งมานอนในร้านเนตก็ได้ซื้อเหมาชั่วโมงเอา
  • อาบน้ำตามปั๊มน้ำมัน หรือสถานที่สาธารณะที่มีห้องน้ำให้ใช้ เช่น มหาวิทยาลัย โรงเรียน โรงพยาบาล เข้าไปแบบเนียน ๆ นะ
  • เมื่อทำงานมีเงินเบิกรายวัน คุณต้องกันเงินส่วนหนึ่งไว้เป็นค่ากิน บริหารค่ากินให้ประหยัดที่สุดเท่าที่จะทำได้ คุณอาจเลือกซื้อปลากระป๋องกับข้าวเปล่า 1 ห่อ หรือข้าวไข่เจียว 1 กล่อง หรือข้าวเหนียวกับหมูปิ้ง บางมื้อก็ประหยัดบ้างกินข้าวกับน้ำพริกก้ได้ ส่วนจะกินกี่มื้อก็อยู่ที่คุณจะบริหารเอาเองแล้วล่ะ หากคุณไม่มีเงินกินข้าวเลย คุณคงต้องพึ่งวัดแล้วล่ะ วัดเป็นสถานที่ที่คุณจะขอความช่วยเหลือได้ดีที่สุด คุณสามารถไปเป็นเด็กวัด หรือไปช่วยล้างจานให้วัด 

          *จากประสบการณ์ของผม ผมเดินเข้าหาวัด ไปช่วยคนที่มาทำบุญที่วัดล้างจาน ลุง ป้า น้า อา ตา ยาย ที่มาทำบุญเขาก็ดีใจนะครับ ที่มีเด็กหนุ่มมาช่วยงานวัด ตั้งแต่นั้นมาผมก็เลยไปวัดไปล้างจานทุกวัน ส่วนมากจะไปช่วงเพล เป็นเวลา 10 กว่าเดือน ความจริงผมว่าจะไปหางานทำแล้ว เพราะตอนนั้นก็เริ่มมีเงินจากคนที่มาทำบุญที่วัด เขาให้ผมเป็นค่าล้างจาน วันละ 50 บาทบ้าง 100บาทบ้าง 200-300 บาทบ้าง ผมก็เก็บสะสมจนมีเงินอยู่ประมาณ 3 พันกว่าบาท พอที่จะเป็นทุนไปหางานทำได้แล้ว

          แต่ผมลองมาคิดดูอีกที พอเรามีเงิน อยู่ ๆ เราจะทิ้งวัดไปดื้อ ๆ เลยหรือ และอีกอย่างคนที่มาทำบุญก็มีแต่คนแก่ ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา ที่อายุมากแล้ว ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง จะให้มายกเข่งถ้วยชามที่แสนหนักได้ยังไง ช่วงที่ไปล้างจานให้วัด ผมบ้าพลังมากเลยครับ ทั้งล้าง ทั้งยก ถ้วยจานเยอะมาก เพราะมีแขกคนนอกมาทำบุญกันเยอะ ยกเข่งถ้วยจานหลายใบจนกล้ามแขนขึ้น รู้สึกอิ่มบุญและได้แนวทางการดำเนินชีวิตจากคนเฒ่าคนแก่ที่เรียบง่าย แต่สามารถเอามาใช้ในชีวิตจริงได้อย่างดีเยี่ยม

          สุดท้ายนี้ไม่มีอะไรมากครับ ผมไม่อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตประมาท เพราะช่วงชีวิตตกต่ำมันแสนทรมานมาก แต่หากเมื่อใดคุณต้องตกต่ำ คุณต้องผ่านมันไปให้ได้ครับ ผมเป็นห่วงทุกคนครับ


ขอบคุณข้อมูลจาก คุณ BooM BaBa สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
10 วิธีเอาตัวรอดในเมืองหลวง หากมีเงินติดกระเป๋าแค่ 1 บาท อัปเดตล่าสุด 3 พฤศจิกายน 2565 เวลา 16:16:22 7,536 อ่าน
TOP