สำหรับคนที่กำลังพิจารณาอยู่ว่าจะซื้อบ้าน หรือรีไฟแนนซ์บ้านดีไหม แนะนำให้รีบตัดสินใจภายในปีนี้เลยค่ะ เพราะยังอยู่ในช่วงที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผ่อนคลายมาตรการ LTV (Loan-to-value ratio) หรือการกำหนดเงินดาวน์ขั้นต่ำในการขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย โดยให้สถาบันการเงินปล่อยกู้ได้เต็มมูลค่าหลักประกัน 100% เป็นการชั่วคราวจนถึงสิ้นปี 2565
เท่ากับว่าถ้าเรายื่นขอสินเชื่อบ้านในปีนี้ก็อาจไม่ต้องวางเงินดาวน์เลย จึงมีโอกาสกู้บ้านได้ง่ายขึ้น ดังนั้นอย่ารอช้า รีบมาศึกษาเรื่องมาตรการ LTV และมองหาสินเชื่อบ้านที่น่าสนใจในช่วงสิ้นปีนี้กันดีกว่า
มาตรการ LTV เรื่องต้องเข้าใจก่อนขอสินเชื่อบ้าน
LTV หรือ Loan-to-value ratio หมายถึง อัตราส่วนสินเชื่อต่อราคาบ้าน หรือเกณฑ์ที่กำหนดว่าผู้กู้จะต้องวางเงินดาวน์ขั้นต่ำเท่าไรเมื่อขอสินเชื่อบ้าน เช่น ถ้าธนาคารกำหนดให้ LTV = 80% หากเราต้องการซื้อบ้านราคา 2,000,000 บาท ก็จะขอกู้เงินได้เพียง 80% ของ 2,000,000 บาท เท่ากับ 1,600,000 บาท เท่านั้น ส่วนที่เหลืออีก 400,000 บาท จะต้องวางเงินดาวน์เอาไว้
ทั้งนี้ ในกรณีซื้อบ้านที่มีราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท แล้วขอสินเชื่อสัญญาที่ 2 ขึ้นไป หรือซื้อบ้านราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป โดยปกติสถาบันการเงินจะตั้งเพดาน LTV ให้กู้ได้สูงสุด 70-90% ของมูลค่าหลักประกัน ส่วนที่เหลืออีก 10-30% ผู้กู้จะต้องวางเงินดาวน์ แต่ภายหลังธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศปลดล็อกให้สถาบันการเงินปล่อยกู้ได้เต็ม 100% ทุกกรณี เฉพาะการขอสินเชื่อบ้านระหว่างวันที่ 20 ตุลาคม 2564 - 31 ธันวาคม 2565 ดังตารางนี้
โดยมาตรการ LTV มีผลบังคับใช้กับสินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อที่อยู่อาศัย (สินเชื่อ Top-up) และสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ดังนั้น ใครมีแผนจะซื้อบ้านเป็นของตนเอง หรือต้องการกู้ซื้อบ้านหลังที่ 2 เป็นต้นไป หรือสนใจซื้อบ้านที่มีมูลค่าตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป รวมทั้งกรณีที่จะกู้ร่วม หรือเป็นผู้กู้ร่วมที่อยู่ระหว่างการผ่อนชำระสินเชื่อบ้านที่ตนเองมีกรรมสิทธิ์และต้องการกู้ซื้อบ้านหลังใหม่เพิ่มเติม ควรดำเนินการยื่นขอสินเชื่อภายในเดือนธันวาคม 2565 เพื่อใช้ประโยชน์จากการผ่อนเกณฑ์มาตรการ LTV ครั้งนี้ เพราะหลังจากสิ้นสุดมาตรการแล้ว จะต้องวางเงินดาวน์ตามเกณฑ์ LTV แบบเดิม
อย่างไรก็ตาม หลักเกณฑ์การอนุมัติ LTV และการวางเงินดาวน์นั้นเป็นไปตามเงื่อนไขของแต่ละสถาบันการเงิน เพราะยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ โดยเฉพาะความสามารถในการผ่อนชำระของผู้กู้แต่ละรายด้วยนะคะ
เมื่อเห็นข้อดีของการผ่อนปรน LTV ก็คงทำให้หลายคนตัดสินใจแล้วว่าจะซื้อบ้านในปีนี้ แต่ยังไม่แน่ใจว่าขอสินเชื่อบ้านธนาคารไหนดี ซึ่งต้องบอกว่าทางธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ก็เป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่ให้กู้ได้เต็ม LTV 100% ไม่ต้องวางดาวน์ อีกทั้งมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อบ้านให้เลือกอยู่หลายแคมเปญ ทั้งซื้อบ้าน ปลูกสร้างบ้าน ต่อเติม หรือรีไฟแนนซ์ พร้อมโปรโมชั่นดี ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องเลยล่ะ
ครบทุกความต้องการ ด้วยสินเชื่อบ้าน ธอส.
สินเชื่อเพื่อการซื้อบ้าน ที่ดินพร้อมอาคาร หรือห้องชุด
โครงการบ้าน ธอส. เพื่อสานรัก ปี 2565
ได้ทั้งบ้านสวย ตกแต่งครบ จบในที่เดียว
ให้วงเงินกู้สูงสุด 3 ล้านบาท ดอกเบี้ยปีแรก 3.00% ต่อปี
ผ่อนได้นานสูงสุด 40 ปี
โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อบุคลากรภาครัฐ ปี 2565
สินเชื่อบ้านสำหรับบุคลากรภาครัฐ คิดดอกเบี้ยปีแรก MRR-4.15% ต่อปี ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกัน
ให้ผ่อนได้นานสูงสุด 40 ปี
สินเชื่อบ้าน My Pride
ปลดล็อกการกู้ร่วมซื้อที่อยู่อาศัยของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) อัตราดอกเบี้ย 3 ปีแรก MRR-2.40% ต่อปี
สินเชื่อบ้าน Developer
เปิดประตูสู่บ้านใหม่ สำหรับลูกค้าโครงการจัดสรรที่มีข้อตกลงร่วมกับธนาคาร ดอกเบี้ยเริ่มต้น MRR-3.10% ต่อปี
สินเชื่อเพื่อการปลูกสร้างอาคาร
สินเชื่อบ้านสร้างสมใจ
สำหรับผู้ที่ต้องการปลูกสร้างอาคาร ซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้างอาคาร หรือต่อเติม ขยาย ซ่อมแซมอาคาร ทั้งลูกค้ารายย่อยทั่วไป หรือลูกค้าของกลุ่มบริษัทรับสร้างบ้าน หรือบริษัท บิลค์ วัน กรุ๊ป จำกัด คิดอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 3 ปีแรก MRR-2.70% ต่อปี (ปัจจุบัน MRR = 6.150) หรือเท่ากับ 3.45% ต่อปี
สินเชื่อเพื่อซื้อที่ดินเปล่าที่เป็นทรัพย์ NPA ของ ธอส.
สินเชื่อบ้าน All Home
สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อที่ดินพร้อมอาคาร หรือห้องชุด หรือซื้อที่ดินเปล่าที่เป็นทรัพย์ NPA ของ ธอส. อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 3 ปีแรก คือ MRR-2.30% ต่อปี (ปัจจุบัน MRR = 6.150) หรือเท่ากับ 3.85% ต่อปี
สินเชื่อเพื่อซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย
สินเชื่อพร้อมใช้
สำหรับการขอกู้ใหม่ หรือขอกู้พร้อมกับผลิตภัณฑ์สินเชื่ออื่นของ ธอส. หรือลูกค้าสินเชื่อเดิมที่ต้องการกู้เพิ่ม เพื่อซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในที่อยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ยปีแรก 3.99% ต่อปี และผ่อนได้นานถึง 40 ปีเช่นเดียวกัน
รีไฟแนนซ์ ผ่อนหนักให้เป็นเบา กับ สินเชื่อบ้าน Re-In Plus
เราสามารถขอสินเชื่อบ้าน Re-In Plus เพื่อใช้ประโยชน์ ดังนี้
1. ไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมอาคาร หรือห้องชุด จากสถาบันการเงินอื่น
2. ไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมอาคาร จากสถาบันการเงินอื่น และปลูกสร้าง หรือต่อเติม / ขยาย / ซ่อมแซมอาคาร
3. ไถ่ถอนจำนองที่ดินเปล่าจากสถาบันการเงินอื่น พร้อมปลูกสร้างอาคาร
4. ชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA) พร้อมกับการขอกู้ในวัตถุประสงค์หลักของผลิตภัณฑ์นี้เท่านั้น
- วงเงินให้กู้เป็นไปตามเกณฑ์หลักประกัน และตามเกณฑ์รายได้เป็นไปตามระเบียบปฏิบัติงานสินเชื่อของธนาคาร
- ให้ระยะเวลาผ่อนไม่น้อยกว่า 3 ปี 6 เดือน และไม่เกิน 40 ปี
- อายุผู้กู้รวมกับระยะเวลาที่ขอกู้ต้องไม่เกิน 70 ปี ยกเว้น กรณีข้าราชการตุลาการ อัยการ หรืออื่น ๆ ที่มีอายุเกษียณมากกว่า 60 ปี ให้ใช้อายุผู้กู้เมื่อรวมกับระยะเวลาที่ขอกู้ต้องไม่เกิน 75 ปี
แบบที่ 1 ทุกวงเงินกู้
คิดอัตราดอกเบี้ย 3 ปีแรก จะอยู่ที่ MRR-3.40% ต่อปี (ปัจจุบัน MRR = 6.150) หรือคิดเป็น 2.75% ต่อปี หลังจากนั้นจะขึ้นอยู่กับประเภทของลูกค้าว่าเป็นลูกค้าสวัสดิการ หรือลูกค้ารายย่อย ซึ่งดอกเบี้ยจะแตกต่างกันเล็กน้อย ดังนี้
แบบที่ 2 วงเงินกู้ตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป
สำหรับผู้ที่ได้รับอนุมัติวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาทขึ้นไป จะสามารถใช้ดอกเบี้ยแบบที่ 2 ได้ โดยปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ยเพียง MRR-3.65% ต่อปี หรือเท่ากับ 2.50% ต่อปี เท่านั้นเอง ช่วยลดจำนวนดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจากสินเชื่อตัวเดิมลงไปได้เยอะเลย
ดูรายละเอียดสินเชื่อบ้าน ธอส. อื่น ๆ คลิก
สนใจขอสินเชื่อกับ ธอส. คลิก หรือที่ ธอส. ทุกสาขา ทั่วประเทศ คลิก
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Inbox : m.me/GHBank
G H Bank Call Center โทร. 0-2645-9000
www.ghbank.co.th