ประธานหอการค้า แนะ รัฐให้ใช้คนละครึ่งซื้อน้ำมันได้ จะช่วยค่าครองชีพประชาชนได้มาก ส่วนทำไมได้แค่ 800 บาท อาจมี 2 เหตุผล คือ งบประมาณ และบรรยากาศการใช้จ่าย
ภาพจาก NOTE OMG / Shutterstock.com
จากกรณีที่ ครม. เห็นชอบให้มีโครงการคนละครึ่ง เฟส 5 วงเงิน 21,200 ล้านบาท โดยให้วงเงินคนละ 800 บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน - 31 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป มีผู้ได้รับสิทธิ 26.5 ล้านคนอ่านข่าว : คนละครึ่งเฟส 5 มาแล้ว ! คนละ 800 บาท เริ่ม 1 ก.ย. เช็กเลยยืนยันสิทธิวันไหน
ล่าสุด วันที่ 29 กรกฎาคม 2565 เรื่องเล่าเช้านี้ รายงานว่า นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวถึงโครงการนี้ว่า ตอนแรกภาคเอกชนคิดว่าหมดหวังแล้ว หลังก่อนหน้านี้เคยเสนอให้รัฐขยายโครงการคนละครึ่งและเติมเงินให้กับกลุ่มเปราะบาง สำหรับวงเงิน 800 บาท เชื่อว่ารัฐบาลได้ประเมินและคิดรอบด้านแล้ว โดยดูจากงบประมาณและบรรยากาศการใช้จ่ายครึ่งปีหลังเริ่มฟื้นตัว
ส่วนระยะเวลาของโครงการตั้งแต่กันยายน-ตุลาคม ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะช่วงนั้นค่าใช้จ่ายประชาชนจะสูงขึ้นมา เช่น การปรับขึ้นค่าไฟฟ้า, เงินเฟ้อยังทรงตัวสูง, การปรับขึ้นอัตรานโยบายดอกเบี้ยของ ธปท., การร้องขอปรับค่าจ้างแรงงาน และราคาสินค้าทั่วไปยังคงสูง ดังนั้น โครงการนี้จะช่วยค่าครองชีพประชาชนได้ ไม่ทำให้เศรษฐกิจชะงัก และเงินที่รัฐใช้ในโครงการนี้คือ 3 หมื่นล้านบาท ก็จะเกิดสะพัดในระบบหลายหมื่นล้านถึงแสนล้านบาทได้ ทำให้จีดีพีโตได้อีก 0.1%ในมุมของประชาชน แม้วงเงิน 800 บาทจะน้อยในภาวะสินค้าราคาแพง แต่ก็จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อน ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก และอยากให้พิจารณาเพิ่มเติมว่า เงินจากโครงการคนละครึ่งสามารถเอาไปซื้อน้ำมันได้ โดยเฉพาะรถยนต์ส่วนบุคคลและรถจักรยานยนต์ เพราะช่วงนี้ราคาน้ำมันนั้นแพงจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาของเฟสนี้คือ หลายร้านค้าอาจงดรับคนละครึ่งแล้ว เพราะกลัวเรื่องภาษีเงินได้
ค่าไฟเพิ่มขึ้น 18% ช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2565
ส่วน นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย กล่าวว่า งบคนละครึ่ง 800 บาท ก็ยังดีกว่าไม่มีมาตรการอะไรมากระตุ้น เพราะงบประมาณส่วนนี้คงหมดแล้ว
ขณะที่ค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (FT) งวดใหม่ เดือนกันยายน-ธันวาคม 2565 อยู่ที่ 93.43 สตางค์ต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้น 68.66 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องจ่ายอยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย จากเดิม 4 บาท หรือเพิ่มขึ้น 18%
เรื่องนี้ นายธนิต กล่าวว่า เป็นการเพิ่มค่าครองชีพประชาชนอย่างแท้จริง ราคาข้าวของก็สูงขึ้นอยู่แล้ว ยังมาโดนค่าไฟที่เพิ่มขึ้นอีก ทำให้รายได้สุทธิของประชาชนหายไป 10.3% ส่วนคนที่โดนหนักสุดคือ อุตสาหกรรมที่ผลิตและแปรรูปสินค้า ค่าไฟเพิ่มขึ้น ค่าผลิตก็ต้องเพิ่มขึ้น แล้วภาระจะมาอยู่ที่ประชาชน
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
ขอบคุณข้อมูลจาก เรื่องเล่าเช้านี้