จับหนุ่มวิศวะคอมฯ ตั้งแก๊งโกงเงิน คนละครึ่ง หลอกระบบจ่ายเงินส่วนต่างให้ 10 วัน ได้เงินเป็นหมื่น แฉวิธีการโกงแบบใหม่ แต่โป๊ะแตกเพราะร้านค้ากับคนซื้ออยู่ข้ามจังหวัด

ภาพจาก napat intaroon / Shutterstock.com
วันที่ 18 ธันวาคม 2563 เฟซบุ๊ก Ch3ThailandNews รายงานว่า ตำรวจจับขบวนการทุจริตเงินโครงการ คนละครึ่ง ที่มีผู้ต้องหา 4 คน ตั้งตัวเป็นโบรกเกอร์หาลูกค้าป้อนให้ร้านโชห่วยที่ จ.สมุทรสาคร แต่โป๊ะแตกถูกจับได้เพราะลูกค้าอยู่ไกลถึงเชียงใหม่ สารภาพใช้ความรู้ที่เรียนวิศวกร สาขาคอมพิวเตอร์ ในการโกงเงินรัฐบาล โดยมีลักษณะวิธีการทุจริต 2 รูปแบบ
วิธีแรก ไปสแกนซื้อของตามร้านค้า แต่ไม่ได้ซื้อจริง แล้วขอรับเป็นเงินสดมาแทน ซึ่งเงินสดที่ได้ก็แล้วแต่จะตกลง ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 80-100 บาท
วิธีที่ 2 เป็นการเปิดเพจเฟซบุ๊กชื่อว่า สาวิตา รักชีพชอบ เสนอจ่ายเป็นเงินสดให้กับผู้ที่อยู่ในโครงการคนละครึ่ง เพียงแค่ส่งเบอร์โทรศัพท์และพาสเวิร์ด 6 ตัว มาให้ทางไลน์ ก็จะได้เงินคืนคนละ 90 บาท โดยไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว จากนั้นจะส่งเบอร์โทรศัพท์และพาสเวิร์ดให้ร้านค้า เพื่อกรอกรหัสแล้วเข้าไปสแกนคิวอาร์โค้ด โดยทางร้านค้าจะหักเงินไว้ 30 บาท แล้วโอนให้คนที่เปิดเพจเฟซบุ๊ก 120 บาท สุดท้ายเงินจะถูกโอนต่อให้เจ้าของบัญชี 90 บาท

โดยวิธีนี้ร้านค้าจะหาลูกค้าผ่านทางช่องทางออนไลน์ เช่น ไลน์ เฟซบุ๊ก
เป็นต้น ซึ่งหากมีประชาชนสนใจจะมีการตกลงแบ่งผลประโยชน์
โดยจะทำเสมือนมีการค้าขาย แต่ไม่มีจริง
ซึ่งกรณีนี้ตำรวจสืบจากข้อมูลพบว่าที่อยู่ร้านค้ากับที่อยู่ของผู้ใช้สิทธิอยู่คนละจังหวัดกัน
โดยร้านค้าอยู่ จ.สมุทรสาคร แต่ผู้มาใช้สิทธิอยู่ จ.เชียงใหม่, บุรีรัมย์,
สงขลา เป็นต้น
โดยร้านค้าผู้กระทำความผิดพบว่ามีประชาชน 200 คน ที่เข้าข่ายร่วมกระทำความผิด โดยรัฐได้โอนเงินให้กับร้านค้าไปแล้วกว่า 220,000 บาท ในจำนวนนี้มีทั้งการซื้อ-ขายแบบสุจริต และการกระทำทุจริต โดยลูกชายเจ้าของร้านเป็นหนึ่งในผู้หาวิธีฉ้อโกง เนื่องจากทราบช่องโหว่เชิงเทคนิค เช่น การไม่สแกนก็ซื้อสินค้าได้ ส่วนสามี-ภรรยา ทำหน้าที่เป็นนายหน้า พบว่าได้เงินส่วนต่างจากการกระทำผิด 10 วัน ประมาณ 10,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ายังไม่สามารถสรุปความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ เพราะอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่เชื่อว่าความเสียหายนั้นจะไม่สูง เนื่องจากทางธนาคารได้เฝ้าระวังและสั่งหยุดจ่ายเงินทันทีเมื่อพบความผิดปกติ ทั้งนี้ พบว่ามีร้านค้าที่กระทำความผิดจำนวนอีกกว่า 700 ร้านค้า ซึ่งตำรวจจะดำเนินการตรวจสอบและจับกุมดำเนินคดีต่อไป
ส่วนการสอบสวนดำเนินคดีในโครงการ เราเที่ยวด้วยกัน นั้น ตำรวจกองปราบฯ และตำรวจท่องเที่ยว ได้ลงพื้นที่เก็บพยานหลักฐานแล้ว คาดว่าสัปดาห์หน้าจะสามารถสรุปคดีได้ หากพบการกระทำผิดจะเร่งดำเนินการตามกฎหมายทันที
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Ch3ThailandNews
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Ch3ThailandNews, เรื่องเด่นเย็นนี้