ขับแท็กซี่ หารายได้เสริม อยากเริ่มต้นขับแท็กซี่ ควรรู้อะไรบ้าง ต้องมีใบขับขี่สาธารณะหรือเปล่า ใครกำลังมองหาอาชีพเสริม มาดูกัน
ก่อนจะขับแท็กซี่ได้เราต้องมีใบขับขี่สาธารณะ (รถแท็กซี่) ก่อน ซึ่งสามารถขอได้ที่กรมการขนส่งทางบก เช่นเดียวกับใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล โดยจะต้องผ่านการทดสอบสมรรถภาพร่างกาย เช่น ทดสอบสายตา ปฏิกิริยาเท้า อบรม 5 ชั่วโมง และทดสอบภาคทฤษฎี (ข้อเขียน) ซึ่งผู้ที่จะขอรับใบขับขี่ประเภทนี้ต้องมีใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี ส่วนคุณสมบัติอื่น ๆ เพิ่มเติม ตรวจสอบได้ที่ เว็บไซต์กรมการขนส่งทางบก
เอกสารที่ใช้ยื่นขอใบขับขี่สาธารณะ มีดังต่อไปนี้
สำหรับใครที่จะขับแท็กซี่เป็นรายได้เสริม การเช่ารถน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าซื้อรถเป็นของตัวเอง เพราะไม่ต้องลงทุนสูง มีความยืดหยุ่นมากกว่า และสามารถเลือกเช่าเฉพาะช่วงที่เราว่างมาขับได้ โดยค่าใช้จ่ายในการเช่ารถแท็กซี่ มีรายละเอียด ดังนี้
หากมีใบขับขี่สาธารณะและรถแท็กซี่แล้ว อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ การศึกษาเรียนรู้เส้นทางต่าง ๆ ให้แม่นก่อนออกไปขับรับลูกค้าจริง ๆ เพราะคงไม่ดีแน่ ๆ หากขับ ๆ อยู่แล้วพาผู้โดยสารหลงทาง นั่นหมายถึงว่าเสียทั้งเวลาและเสียโอกาสในการสร้างรายได้อีกด้วย ดังนั้น การรู้เส้นทางก่อนออกไปขับจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ หรือใครที่ยังไม่มั่นใจก็อาจจะใช้แอปพลิเคชันแผนที่นำทางควบคู่ไปด้วยก็ได้
การขับรถตะลอนไปเรื่อย ๆ แบบไม่มีทิศทางเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจะเปลืองค่าน้ำมันแล้ว โอกาสที่จะตีรถฟรีก็มีสูง เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญคือต้องรู้จักสังเกตว่าช่วงเวลาแบบนี้ ควรไปรอผู้โดยสารที่ตรงไหน หรือบริเวณนี้ผู้โดยสารมักจะรอเรียกรถที่ตรงไหน เช่น ช่วงเลิกงาน ที่จะมีลูกค้าเยอะบริเวณย่านออฟฟิศ หรือ ช่วงดึก ๆ สุดสัปดาห์ ที่ลูกค้าจะเยอะโซนแหล่งท่องเที่ยวยามค่ำคืน
ถ้าจะขับแท็กซี่ให้มีเงินเหลือ สิ่งสำคัญคือเราต้องบริหารต้นทุนค่าเชื้อเพลิงให้ได้ ซึ่งการเติมแก๊ส NGV จะช่วยให้ประหยัดต้นทุนได้มากถึงเท่าตัว เมื่อเทียบกับการเติมน้ำมัน เพราะฉะนั้น คนขับจึงควรรู้ว่าปั๊ม NGV ตั้งอยู่จุดไหนบ้าง ก็จะช่วยให้การคุมต้นทุนในแต่ละวันง่ายยิ่งขึ้น
4. ภาษาอังกฤษสื่อสารให้ได้
เวลาขับแท็กซี่นั้น เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้วที่จะเจอกับผู้โดยสารต่างชาติ ซึ่งหากเราสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ หรือเข้าใจบทสนทนาพื้นฐาน ก็จะช่วยให้การรับ-ส่งผู้โดยสารต่างชาติราบรื่นมากขึ้น ไม่ต้องกลัวว่าจะคุยกันไม่เข้าใจ หมดปัญหาผู้โดยสารบอกจะไปที่นึงแต่กลับพาไปอีกที่นึง ทำให้เสียเวลาโดยใช่เรื่อง
เป็นตัวช่วยในการเพิ่มรายได้ของเหล่าโชเฟอร์แท็กซี่ในปัจจุบันก็ว่าได้ กับแอปพลิเคชันเรียกรถต่าง ๆ ที่มีหลากหลายแอปฯ ให้เลือกใช้ เพราะมีข้อดีตรงที่ไม่ต้องเสียเวลาวิ่งรถเปล่าเพื่อหาลูกค้า รอให้มีคนเรียกค่อยวิ่งรถออกไปรับได้เลย ซึ่งการใช้แอปฯ รับรองว่าช่วยให้เราคุมเวลาและต้นทุนเชื้อเพลิงได้ง่ายกว่าการตะลอนวิ่งหาลูกค้าแบบไม่รู้จุดหมายแน่ ๆ
6. ไม่ปฏิเสธผู้โดยสาร
แท็กซี่หลายคันเลือกที่จะปฏิเสธผู้โดยสาร หากโดนเรียกให้ไปส่งในโซนรถติด แต่อยากแนะนำว่าหากใครคิดจะขับแท็กซี่เป็นอาชีพเสริมแล้ว การปฏิเสธผู้โดยสารไม่ควรทำเป็นอันขาด เพราะการรับผู้โดยสารไว้ก่อน ยังไงก็ดีกว่าการวิ่งตีรถเปล่าอยู่แล้ว อีกทั้ง การปฏิเสธผู้โดยสารยังมีโอกาสถูกตำรวจจับ เสียค่าปรับอีกด้วย โดยมีโทษปรับสูงสุดที่ 1,000 บาท และหากพบทำผิดเป็นครั้งที่ 2 จะถูกถอนใบอนุญาตทันที ซึ่งคงไม่คุ้มเอาซะเลยถ้าโดนจับขึ้นมา
ใครที่ขับรถเก่ง ชำนาญเส้นทางหลายแห่ง และกำลังมองหาอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ให้ตัวเองอยู่ ก็ลองนำข้อมูลของอาชีพขับแท็กซี่ไปลองพิจารณากันได้เลย
ภาพจาก ferdyboy / Shutterstock.com
รายได้จากงานประจำ หรืองานอื่นเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอแล้วสำหรับการใช้ชีวิตในยุคนี้ ทำให้หลายคนต้องมองหาอาชีพเสริม เพื่อเพิ่มเงินในกระเป๋าให้ตัวเอง.. "ขับแท็กซี่" ก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพเสริมที่หลายคนให้ความสนใจ และหันมาทำกันมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะสามารถทำคู่กับงานประจำได้ หรือถ้าใครเปิดร้านขายของเวลากลางวัน และอยากจะไปขับแท็กซี่ช่วงกลางคืนก็สามารถทำได้เช่นกัน ซึ่งใครที่กำลังคิดจะหารายได้จากการขับแท็กซี่อยู่ละก็ มาดูกันว่าถ้าอยากเริ่มต้นทำอาชีพนี้ ต้องรู้อะไรบ้าง
เริ่มขับแท็กซี่ หารายได้เสริม ต้องทำอย่างไร
1. ทำใบขับขี่สาธารณะ
ก่อนจะขับแท็กซี่ได้เราต้องมีใบขับขี่สาธารณะ (รถแท็กซี่) ก่อน ซึ่งสามารถขอได้ที่กรมการขนส่งทางบก เช่นเดียวกับใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล โดยจะต้องผ่านการทดสอบสมรรถภาพร่างกาย เช่น ทดสอบสายตา ปฏิกิริยาเท้า อบรม 5 ชั่วโมง และทดสอบภาคทฤษฎี (ข้อเขียน) ซึ่งผู้ที่จะขอรับใบขับขี่ประเภทนี้ต้องมีใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี ส่วนคุณสมบัติอื่น ๆ เพิ่มเติม ตรวจสอบได้ที่ เว็บไซต์กรมการขนส่งทางบก
เอกสารที่ใช้ยื่นขอใบขับขี่สาธารณะ มีดังต่อไปนี้
1. ใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว ที่ได้รับมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี พร้อมสำเนา
2. บัตรประชาชนฉบับจริง พร้อมสำเนา
3. สำเนาทะเบียนบ้าน
4. ใบรับรองแพทย์แสดงว่าผู้ขอไม่มีโรคประจำตัวอันอาจเป็นอันตรายขณะขับรถและไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือน โดยต้องออกก่อนวันยื่นคำขอไม่เกิน 1 เดือน
5. หลักฐานการรับรองซึ่งแสดงว่าผ่านการอบรมและจบหลักสูตรการอบรมจากกรมการขนส่งทางบก หรือโรงเรียนสอนขับรถที่กรมการขนส่งทางบกรับรองตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก (ถ้ามี)
* ขับแท็กซี่ไม่มีใบขับขี่สาธารณะได้ไหม
2. บัตรประชาชนฉบับจริง พร้อมสำเนา
3. สำเนาทะเบียนบ้าน
4. ใบรับรองแพทย์แสดงว่าผู้ขอไม่มีโรคประจำตัวอันอาจเป็นอันตรายขณะขับรถและไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือน โดยต้องออกก่อนวันยื่นคำขอไม่เกิน 1 เดือน
5. หลักฐานการรับรองซึ่งแสดงว่าผ่านการอบรมและจบหลักสูตรการอบรมจากกรมการขนส่งทางบก หรือโรงเรียนสอนขับรถที่กรมการขนส่งทางบกรับรองตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก (ถ้ามี)
* ขับแท็กซี่ไม่มีใบขับขี่สาธารณะได้ไหม
คำตอบคือไม่ได้ ซึ่งหากพบกระทำความผิดขับแท็กซี่ โดยไม่มีใบขับขี่สาธารณะ จะมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท จำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ
ภาพจาก Naypong Studio / Shutterstock.com
2. เช่ารถแท็กซี่
สำหรับใครที่จะขับแท็กซี่เป็นรายได้เสริม การเช่ารถน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าซื้อรถเป็นของตัวเอง เพราะไม่ต้องลงทุนสูง มีความยืดหยุ่นมากกว่า และสามารถเลือกเช่าเฉพาะช่วงที่เราว่างมาขับได้ โดยค่าใช้จ่ายในการเช่ารถแท็กซี่ มีรายละเอียด ดังนี้
- ค่าเช่า
ราคาค่าเช่าจะขึ้นอยู่กับรุ่นของรถ ยิ่งรุ่นใหม่ สภาพดี ค่าเช่าก็ยิ่งแพง โดยราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 400-700 บาทต่อกะ (12 ชั่วโมง) ส่วนราคาควงกะทั้งวัน จะอยู่ที่ประมาณวันละ 600-1,200 บาท
ราคาค่าเช่าจะขึ้นอยู่กับรุ่นของรถ ยิ่งรุ่นใหม่ สภาพดี ค่าเช่าก็ยิ่งแพง โดยราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 400-700 บาทต่อกะ (12 ชั่วโมง) ส่วนราคาควงกะทั้งวัน จะอยู่ที่ประมาณวันละ 600-1,200 บาท
- ค่าประกันรถ
การเช่ารถเราจำเป็นต้องวางเงินประกันรถกับอู่ที่ต้องการเช่าก่อน ซึ่งจะได้เงินประกันคืนตอนยกเลิกสัญญาเช่ารถ โดยเงินประกันอยู่ที่ประมาณ 2,000-3,000 บาท
การเช่ารถเราจำเป็นต้องวางเงินประกันรถกับอู่ที่ต้องการเช่าก่อน ซึ่งจะได้เงินประกันคืนตอนยกเลิกสัญญาเช่ารถ โดยเงินประกันอยู่ที่ประมาณ 2,000-3,000 บาท
- ค่าเชื้อเพลิง
ปกติการขับแท็กซี่จะนิยมเติมแก๊ส NGV เป็นหลัก เนื่องจากมีราคาที่ถูกกว่าน้ำมัน ซึ่งเฉลี่ยแล้วค่าแก๊สแต่ละวันจะตกประมาณ 300-400 บาท ขึ้นอยู่กับระยะทางที่ขับด้วย แต่หากเติมน้ำมันค่าใช้จ่ายก็จะพุ่งขึ้นไปเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว
เฉลี่ยแล้วค่าใช้จ่ายสำหรับการเช่าแท็กซี่ขับที่ยังไม่รวมค่ามัดจำรถ จะตกอยู่ที่ประมาณวันละ 700-1,200 บาท
3. ศึกษาเส้นทาง
ปกติการขับแท็กซี่จะนิยมเติมแก๊ส NGV เป็นหลัก เนื่องจากมีราคาที่ถูกกว่าน้ำมัน ซึ่งเฉลี่ยแล้วค่าแก๊สแต่ละวันจะตกประมาณ 300-400 บาท ขึ้นอยู่กับระยะทางที่ขับด้วย แต่หากเติมน้ำมันค่าใช้จ่ายก็จะพุ่งขึ้นไปเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว
เฉลี่ยแล้วค่าใช้จ่ายสำหรับการเช่าแท็กซี่ขับที่ยังไม่รวมค่ามัดจำรถ จะตกอยู่ที่ประมาณวันละ 700-1,200 บาท
3. ศึกษาเส้นทาง
หากมีใบขับขี่สาธารณะและรถแท็กซี่แล้ว อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ การศึกษาเรียนรู้เส้นทางต่าง ๆ ให้แม่นก่อนออกไปขับรับลูกค้าจริง ๆ เพราะคงไม่ดีแน่ ๆ หากขับ ๆ อยู่แล้วพาผู้โดยสารหลงทาง นั่นหมายถึงว่าเสียทั้งเวลาและเสียโอกาสในการสร้างรายได้อีกด้วย ดังนั้น การรู้เส้นทางก่อนออกไปขับจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ หรือใครที่ยังไม่มั่นใจก็อาจจะใช้แอปพลิเคชันแผนที่นำทางควบคู่ไปด้วยก็ได้
ภาพจาก Christopher PB / Shutterstock.com
ขับแท็กซี่ให้ได้ลูกค้า มีเทคนิคอย่างไร
1. รู้ทางหลัก-ทางลัด
1. รู้ทางหลัก-ทางลัด
การรู้เส้นทางถนนหลัก ถนนรองที่เชื่อมถึงกัน รวมถึงทางลัดตามตรอกซอกซอยต่าง ๆ ว่าออกทางไหน เข้าทางไหนทะลุไปถึงกันได้ เส้นไหนถึงจุดหมายได้อย่างรวดเร็วกว่า ก็จะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงปัญหารถติด และสามารถรับลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งก็หมายถึงรายได้ต่อวันที่จะมากขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง
2. รู้เวลาและจุดรอผู้โดยสาร
2. รู้เวลาและจุดรอผู้โดยสาร
การขับรถตะลอนไปเรื่อย ๆ แบบไม่มีทิศทางเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจะเปลืองค่าน้ำมันแล้ว โอกาสที่จะตีรถฟรีก็มีสูง เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญคือต้องรู้จักสังเกตว่าช่วงเวลาแบบนี้ ควรไปรอผู้โดยสารที่ตรงไหน หรือบริเวณนี้ผู้โดยสารมักจะรอเรียกรถที่ตรงไหน เช่น ช่วงเลิกงาน ที่จะมีลูกค้าเยอะบริเวณย่านออฟฟิศ หรือ ช่วงดึก ๆ สุดสัปดาห์ ที่ลูกค้าจะเยอะโซนแหล่งท่องเที่ยวยามค่ำคืน
ภาพจาก Phanuwat Yoksiri / Shutterstock.com
3. ปั๊ม NGV มีที่ไหนบ้างต้องรู้
ถ้าจะขับแท็กซี่ให้มีเงินเหลือ สิ่งสำคัญคือเราต้องบริหารต้นทุนค่าเชื้อเพลิงให้ได้ ซึ่งการเติมแก๊ส NGV จะช่วยให้ประหยัดต้นทุนได้มากถึงเท่าตัว เมื่อเทียบกับการเติมน้ำมัน เพราะฉะนั้น คนขับจึงควรรู้ว่าปั๊ม NGV ตั้งอยู่จุดไหนบ้าง ก็จะช่วยให้การคุมต้นทุนในแต่ละวันง่ายยิ่งขึ้น
4. ภาษาอังกฤษสื่อสารให้ได้
เวลาขับแท็กซี่นั้น เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้วที่จะเจอกับผู้โดยสารต่างชาติ ซึ่งหากเราสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ หรือเข้าใจบทสนทนาพื้นฐาน ก็จะช่วยให้การรับ-ส่งผู้โดยสารต่างชาติราบรื่นมากขึ้น ไม่ต้องกลัวว่าจะคุยกันไม่เข้าใจ หมดปัญหาผู้โดยสารบอกจะไปที่นึงแต่กลับพาไปอีกที่นึง ทำให้เสียเวลาโดยใช่เรื่อง
5. สมัครแอปพลิเคชันเรียกแท็กซี่
เป็นตัวช่วยในการเพิ่มรายได้ของเหล่าโชเฟอร์แท็กซี่ในปัจจุบันก็ว่าได้ กับแอปพลิเคชันเรียกรถต่าง ๆ ที่มีหลากหลายแอปฯ ให้เลือกใช้ เพราะมีข้อดีตรงที่ไม่ต้องเสียเวลาวิ่งรถเปล่าเพื่อหาลูกค้า รอให้มีคนเรียกค่อยวิ่งรถออกไปรับได้เลย ซึ่งการใช้แอปฯ รับรองว่าช่วยให้เราคุมเวลาและต้นทุนเชื้อเพลิงได้ง่ายกว่าการตะลอนวิ่งหาลูกค้าแบบไม่รู้จุดหมายแน่ ๆ
6. ไม่ปฏิเสธผู้โดยสาร
แท็กซี่หลายคันเลือกที่จะปฏิเสธผู้โดยสาร หากโดนเรียกให้ไปส่งในโซนรถติด แต่อยากแนะนำว่าหากใครคิดจะขับแท็กซี่เป็นอาชีพเสริมแล้ว การปฏิเสธผู้โดยสารไม่ควรทำเป็นอันขาด เพราะการรับผู้โดยสารไว้ก่อน ยังไงก็ดีกว่าการวิ่งตีรถเปล่าอยู่แล้ว อีกทั้ง การปฏิเสธผู้โดยสารยังมีโอกาสถูกตำรวจจับ เสียค่าปรับอีกด้วย โดยมีโทษปรับสูงสุดที่ 1,000 บาท และหากพบทำผิดเป็นครั้งที่ 2 จะถูกถอนใบอนุญาตทันที ซึ่งคงไม่คุ้มเอาซะเลยถ้าโดนจับขึ้นมา
ใครที่ขับรถเก่ง ชำนาญเส้นทางหลายแห่ง และกำลังมองหาอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ให้ตัวเองอยู่ ก็ลองนำข้อมูลของอาชีพขับแท็กซี่ไปลองพิจารณากันได้เลย