
ทำงานที่ญี่ปุ่นจะใช้ชีวิตยังไง เปิดประสบการณ์จริงของมนุษย์เงินเดือนอิมพอร์ตจากไทย แต่ต้องไปใช้ชีวิตการทำงานในญี่ปุ่น กับจักรยาน 1 คัน
มีหลายคนใฝ่ฝันว่าอยากไปทำงานต่างประเทศดูบ้าง เพราะคิดว่าการทำงานในต่างแดนให้ทั้งประสบการณ์และค่าตอบแทนที่สูง โดยเฉพาะการทำงานในประเทศญี่ปุ่น ที่ขึ้นชื่อเรื่องความใจป้ำ แจกโบนัสกันไม่อั้น !
แต่ในความเป็นจริงแล้วการทำงานในญี่ปุ่นจะเป็นอย่างที่เราคิดไว้หรือไม่ แล้วคนที่เขาไปทำงานในต่างประเทศจะได้รับอะไรดี ๆ ที่มากกว่าแค่ค่าตอบแทนบ้างหรือเปล่า วันนี้คุณ p_repeephan สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม จะมาแชร์ประสบการณ์ทำงานในญี่ปุ่น พร้อมด้วยพาชมวิถีชีวิตและทัศนียภาพในญี่ปุ่นให้เราได้เปิดโลกกว้างกันมากขึ้น

เมื่อผมต้องมาใช้ชีวิตมนุษย์เงินเดือนที่ญี่ปุ่น&Bike for work โดยคุณ p_repeephan สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
หลังจากที่ผมย้ายมาทำงานที่บริษัทปัจจุบันได้ประมาณสองเดือน ทางบริษัทก็มีนโยบายอยากจะให้ผมมาทำงานแทนคนญี่ปุ่นที่ประจำในเมืองไทย เขาจึงตัดสินใจส่งผมมาทำงานที่บริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อให้ได้เรียนรู้การทำงานของบริษัทแม่ และจะได้ทำความรู้จักกับคนที่บริษัทแม่เอาไว้ เพื่อจะได้ติดต่อประสานงานกันได้อย่างราบรื่นในอนาคต
ผมจึงถูกส่งมาทำงานที่บริษัทแม่ตั้งแต่เดือนที่แล้ว แต่เนื่องจากบริษัทผมอยู่ในเมืองที่เรียกว่าเป็นชนบทของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ การเดินทางไปไหนมาไหนจึงไม่ค่อยสะดวกนัก เพราะแถว ๆ ที่พัก ไม่มีรถไฟหรือรถเมล์เลย
การเดินทางของคนที่นี่ส่วนใหญ่จะใช้รถยนต์หรือจักรยานเป็นหลัก ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงถอยรถประจำตำแหน่งให้ผมหนึ่งคัน เอาไว้ปั่นไประหว่างที่ทำงานกับที่พัก
ภาพที่คิดไว้ในตอนแรก หลังจากได้ยินว่าบริษัทจะซื้อจักรยานให้ใช้ก็คือ...

แต่ในความเป็นจริงคือ...

เอิ่ม…แบบนี้สินะ ที่เขาเรียกจักรยานแม่บ้าน แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ดีกว่าเดิน เพราะระยะทางจากที่พักไปที่ทำงานก็ประมาณ 4 กิโลเมตร ไปกลับก็ 8 กิโลเมตร
แต่ถึงจะเป็นจักรยานแม่บ้าน แต่ก็มี 6 เกียร์ มีไฟหน้าแบบเปิดอัตโนมัติเมื่อท้องฟ้ามืดลง มีตะกร้าไว้ใส่กระเป๋าคอมฯ แค่นี้ก็เพียงพอละ (คันนี้ไปสืบมาละ ราคาประมาณ 17,000 เยน หรือสี่พันกว่าบาท)
จริง ๆ ผมไม่ได้ปั่นจักรยานมานานมากแล้ว หลังจากทำงานก็ใช้รถยนต์เป็นหลัก เวลาไปเที่ยวในวันหยุดก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวเป็นหลัก
การมาใช้จักรยานไปทำงาน ไปเที่ยว แถมอยู่ในต่างแดน จึงเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับผม แต่ก็ทำให้ผมมีความสุขและสนุกกับมัน เนื่องด้วยเหตุผลหลัก ๆ คือ
1. อากาศของที่ญี่ปุ่นช่วงนี้ไม่ร้อน ตอนบ่าย ๆ อุณหภูมิแค่ 10 องศา ตอนเช้า ๆ หนาวหน่อย ประมาณ 2-3 องศา สามารถปั่นจักรยานได้ทั้งวัน ไม่ต้องกลัวแดดเผา

2. การปั่นจักรยานที่นี่มีความปลอดภัยสูง ถนนแทบทุกแห่งมีเลนสำหรับจักรยานโดยเฉพาะ และจักรยานที่นี่เป็นใหญ่ เวลาขี่ไปจ๊ะเอ๋กับรถยนต์ในทางแยกที่ไม่มีสัญญาณไฟ รถยนต์จะหยุดให้จักรยานไปก่อนเสมอ

เกริ่นเรื่องพาหนะในการทำงานมาแล้ว คราวนี้มาพูดถึงเรื่องการทำงานในญี่ปุ่นดีกว่า ว่าอะไรบ้าง ที่แตกต่างกับการทำงานในเมืองไทย
1. เวลาในการทำงาน
ที่นี่เข้างาน 08.45 น. เลิกงาน 17.15 น. เวลาเริ่มงาน 08.45 น. ก็จริง แต่ทุกคนจะมาถึงที่ออฟฟิศก่อน 08.30 น. เพราะว่าช่วงเวลา 08.30-08.40 น. จะเป็นช่วงเวลาแห่งการทำความสะอาดออฟฟิศครับ เนื่องจากที่นี่เขาไม่จ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดครับ
ซึ่งนอกจากจะลดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังเป็นกุศโลบายให้พนักงานรู้สึกว่าที่ทำงานก็เหมือนเป็นบ้าน เมื่อใช้กันเอง ก็ต้องดูแลความสะอาดอันเอง ทั้งผู้จัดการและ GM ก็ต้องเช็ดโต๊ะ ทำความสะอาด กวาดพื้น ถูพื้นกันเอง โดยแบ่งโซนรับผิดชอบ มีอย่างเดียวที่จ้างแม่บ้าน part time มาทำก็คือล้างห้องน้ำครับ
เวลา 08.40-08.45 น. ก็ออกกำลังกายบริหารตอนเช้ากันตามจังหวะเพลง
สภาพออฟฟิศที่ผมทำงาน

หลายคนอาจจะสงสัยว่า เดี๋ยวนี้คนญี่ปุ่นยังทำงานเลิกดึก ๆ ดื่น ๆ กันอยู่ไหม ?
สำหรับออฟฟิศผม หกโมงกว่าส่วนใหญ่ก็จะกลับบ้านกันละ เนื่องด้วยญี่ปุ่นมีกฏหมายห้ามทำงานเกินกี่ชั่วโมงในหนึ่งเดือน หนึ่งสัปดาห์ เพื่อเป็นมาตรการป้องกันไม่ให้พนักงานทำงานจนตายเหมือนในอดีต
หากมีพนักงานทำงานหนักจนป่วยหรือตาย บริษัทจะโดนเล่นงาน รวมถึงจ่ายค่าเสียหายบานตะไท จึงไม่มีบริษัทไหนอยากเสี่ยง
2. เรื่องรายได้
เงินเดือนของมนุษย์เงินเดือนญี่ปุ่นที่เพิ่งจบใหม่ จะเริ่ม Start ที่ประมาณ 200,000 เยน แล้วเงินเดือนก็ขึ้นไปเรื่อย ๆ เฉลี่ยปีละ 10,000 เยน (ไม่รวมโบนัส)

3. เรื่องอาหารกลางวัน
บริษัทที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่จะเลี้ยงอาหารกลางวันพนักงานครับ ส่วนหน้าตาของอาหารกลางวันที่นี่ ก็ประมาณนี้ครับ (หลังจากกลับไปเมืองไทยแล้ว คงจะเบื่ออาหารญี่ปุ่นไปอีกนาน)


4. ความสะดวกสบาย
บริษัทที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรม ไม่ค่อยมีมินิมาร์ทหรือร้านขายขนม ส่วนมากจะเป็นตู้ขายน้ำอัตโนมัติมากกว่า

อย่างที่เกริ่นไว้ในตอนแรก การคมนาคมที่นี่ไม่สะดวกนัก พนักงานส่วนใหญ่จึงต้องขับรถยนต์มาทำงาน แต่ที่จอดรถของบริษัทก็กว้างขวางดีครับ

และรถยนต์ที่นี่ก็ราคาถูกมาก เมื่อเทียบกับที่เมืองไทย และเทียบกับรายได้ของเขา โดยเฉพาะรถมือสอง แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ราคารถมือสองที่เป็นรถยุโรปถูกมาก ๆ ถูกกว่ารถญี่ปุ่นซะอีก อย่างเช่น

เทียบกับญี่ปุ่นสมัยก่อน ผมว่าสมัยนี้เขามีความเครียดในการทำงานน้อยลง ส่วนหนึ่งก็เพราะนโยบายรัฐบาล ที่เพิ่มวันหยุด (เดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่จะหยุดเสาร์-อาทิตย์กันหมด ยกเว้นงานภาคบริการ) และควบคุมชั่วโมงการทำงานอย่างเคร่งครัด ทำให้คนญี่ปุ่นเองก็มีกิจกรรม และได้พักผ่อนในวันหยุดมากขึ้น ซึ่งผมก็ได้รับอานิสงส์ตรงนี้ด้วย
เสาร์-อาทิตย์ไม่ต้องมาทำงาน ออกปั่นจักรยานประจำตำแหน่งท่องเที่ยวแทน










แต่บางทีการไปเที่ยวที่ไกล ๆ หน่อย ก็ปั่นจักรยานไปไม่ไหวเหมือนกัน ก็นั่งรถบัสบ้าง รถไฟบ้าง โดยขี่จักรยานไปจอดที่สถานีรถไฟ แล้วค่อยต่อรถไปเที่ยวต่อ








ถึงแม้การทำงานในญี่ปุ่นจะดูแฮปปี้ดี ไม่มีปัญหาอะไร แต่ยังไง ๆ ก็ยังอยากกลับไปทำงานที่เมืองไทยมากกว่าอยู่ดี
คำพูดที่ว่าไม่มีที่ไหนสุขใจเท่าบ้านเรา ยังคงใช้ได้เสมอกับผม...
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
คุณ p_repeephan สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม