ประกันชีวิตในปัจจุบันมีอยู่หลายรูปแบบด้วยกัน แต่ละรูปแบบก็ให้ความคุ้มครองแตกต่างกันออกไปตามจุดประสงค์ของแต่ละกรมธรรม์ ว่าแต่จะเลือกประกันชีวิตแบบไหนให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของเรากันนะ
เมื่อพูดถึงเรื่องประกันชีวิต พบว่าในปัจจุบันผู้คนเริ่มหันมาให้ความสนใจทำประกันชีวิตกันมากขึ้น เนื่องด้วยรูปแบบของประกันชีวิตในปัจจุบันนี้นั้นมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น อีกทั้งในประกันชีวิตบางประเภทมีลักษณะคล้ายกับการออมเงินเพื่ออนาคต ซึ่งสามารถให้ประโยชน์กับเราได้ในกรณีเกษียณอายุ วันนี้กระปุกดอทคอมนำข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การพิจารณาเลือกประเภทของประกันชีวิต ที่จะทำให้การเลือกประเภทของประกันชีวิตไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคุณอีกต่อไปมาบอกต่อ ซึ่งเรานำข้อมูลที่น่าสนใจแบบนี้มาจากหนังสือ Lisa เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เอาเป็นว่าเราไปดูกันดีกว่าว่าวิธีดังกล่าวนั้นมีอะไรบ้าง
จะเลือกประกันแบบไหนต้องดูที่จุดประสงค์
ประกันมีหลายแบบ ทั้งแบบที่ทำเพื่อความอุ่นใจ การลงทุน และออมเงิน ประเภทแรกที่ทำเพื่อความอุ่นใจก็เป็นประเภทประกันชีวิต ผู้ที่ทำมักต้องรับผิดชอบครอบครัว หรือภายในครอบครัวมีเขาเป็นผู้หาเงินเป็นหลัก ตัวเขามีหนี้สินในการผ่อนรถหรือบ้าน หากเขาเกิดเป็นอะไรไปก็จะมีเงินทดแทนให้ครอบครัว ประกันชีวิตแบบปกตินี้ยังให้ทุนสำรองในการเลี้ยงชีพหากเกิดอุบัติเหตุหรือโรคร้ายด้วยประกันแบบนี้เป็นแบบตลอดชีพ ซึ่งจะคุ้มครองค่าเจ็บป่วย ตลอดจนเป็นทุนให้กับลูกหลานของผู้ประกันด้วย อีกแบบซึ่งเพิ่งมีมาไม่ถึง 20 ปี คือประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ซึ่งทำเพื่อเป็นทุนการศึกษาให้ลูกหลาน หรือเป็นการออมเงินในยามเกษียณ ประกันประเภทนี้จะมีช่วงระยะเวลาคุ้มครองประมาณ 15-20 ปีแล้วแต่เงื่อนไข และจะมีดอกเบี้ยให้ในอัตราที่สูงกว่าการฝากเงินปกติเล็กน้อย คืออยู่ระหว่าง 3.5-4%
พิจารณาก่อนทำประกันก็ดีนะ
1. ควรทำประกันชีวิตสุขภาพเมื่ออายุยังน้อย เพราะในวัยนั้นเรายังไม่มีโรคประจำตัว ดอกเบี้ยประกันจะต่ำ ถ้าเรามีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ประกันบางบริษัทอาจไม่ยอมให้ทำ แต่ถ้าเราทำประกันก่อนเป็นโรคนั้น ๆ บริษัทประกันมีหน้าที่ต้องดูแลรักษาตามเงื่อนไข
2. ควรทำความเข้าใจว่าประกันที่ตนเองซื้อเอาไว้ครอบคลุมอะไรบ้าง เช่น จะได้รับเงินประกันเมื่อเสียชีวิตแล้วเท่านั้น หรือเมื่อบาดเจ็บ คุ้มครองโรคอะไรบ้างและยกเว้นโรคอะไรบ้าง กรณีการพักรักษาตัวในโรงพยาบาล และค่าชดเชยรายวันต้องป่วยมากน้อยแค่ไหน
3. เปรียบเทียบประกันชีวิตของแต่ละบริษัทให้ละเอียดก่อนที่จะเซ็นสัญญา อย่าลืมว่าการทำประกันชีวิตเป็นเสมือนการรับผิดชอบที่ยาวนาน เพราะฉะนั้นเราควรที่จะศึกษาสัญญานั้น ๆ ให้ลึกซึ้ง
การคำนวณทุนประกัน
เมื่อคิดจะทำประกันควรมีการคำนวณผลตอบแทนที่จะได้รับให้รอบคอบเสียก่อน เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายไม่ให้คุณเสียโอกาสในการทำมาหากิน หากทำน้อยเกินไปก็อาจจบลงที่ว่า คุณมีประกันกับหลายบริษัทมากเกินไป จนบริหารเงินอย่างลำบาก หรือหากทำเยอะไปก็อาจมีผลทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินครบระยะประกันได้ Lisa ขอยกตัวอย่างวิธีการคำนวณง่าย ๆ อย่างเช่น
คำนวณตามความสามารถ ควรจะคำนวณวงเงินประกันเท่ากับ 5 เท่าของรายได้ต่อปี สมมติว่ารายได้ของสามีเท่ากับ 50,000 บาทต่อเดือน หรือ 600,000 บาทต่อปี ทุนประกันที่เหมาะสมนั้นก็จะเท่ากับ 600,000 x 5 = 3 ล้านบาท เหตุผลของการคำนวณเป็น 5 เท่า ก็คือเวลา 5 ปี เป็นเวลาพอสมควรที่คนในครอบครัวจะได้ปรับตัว แม่บ้านที่หยุดทำงานมานานหากต้องออกมาทำงานใหม่ ก็ต้องมีเวลาที่จะเรียนหรือศึกษาเพิ่มเติมเพื่อที่จะกลับมาทำงานอีกครั้ง หรือหาธุรกิจใหม่เพื่อทำหน้าที่หารายได้แทนสามีต่อไป คำนวณตามภาระค่าใช้จ่าย ใช้สมการนี้คือ ทุนประกันชีวิตภาระ-สินทรัพย์ที่มีอยู่ ดังนั้น สมมติว่าเรามีหนี้สินอยู่ 3,500,000 บาท (สินเชื่อบ้านและหนี้สินอื่น ๆ) และมีเงินออมทรัพย์อยู่ 200,000 กับรถหนึ่งคันมูลค่า 300,000 บาท ดังนั้น ทุนประกันชีวิตก็คือ 3,500,000-(200,000 + 300,000) = 3 ล้านบาทรู้หรือไม่ ?
ประกันแปลก ๆ แบบนี้ก็มีด้วย อย่างการประกันเรียวขาของ Taylor Swift ที่มีมูลค่าถึง 40 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1,300 ล้านบาท ประกันหน้าแข้งและเท้าของ David Beckham มีมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท หรือประกันหน้าแข้งและเท้าของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 4,770 ล้านบาท
แต่ละคนมีรูปแบบการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นถ้าอยากได้กรมธรรม์ประกันชีวิตดี ๆ สักฉบับ ลองสละเวลาอันมีค่ามาศึกษาวิธีการเลือกประกันชีวิตที่เหมาะสมกับรูปแบบการใช้ชีวิตและความต้องการของคุณ จะทำให้ได้ประกันชีวิตในแบบที่ตรงใจเรา แถมยังได้ความคุ้มครองที่คุ้มค่าอีกด้วยนะครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
