x close

จากพนักงานขับรถเงินเดือน 3,600 สู่รายได้ 6 หลัก

จากพนักงานขับรถเงินเดือน 3,600 สู่รายได้ 6 หลัก
จากพนักงานขับรถเงินเดือน 3,600 สู่รายได้ 6 หลัก

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณสมาชิกหมายเลข 1812781 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

          เรื่องราวจากประสบการณ์ตรง เมื่อ 14 ปีก่อน กับเส้นทางจากวันที่เป็นพนักงานขับรถส่งของ เงินเดือนแค่ 3,600 บาท สู่ธุรกิจอะไหล่รถยนต์มือสอง ที่ทำรายได้ถึง 6 หลักต่อเดือน !!

          บ่อยครั้งที่โชคชะตานำพาให้หลายคนท้อแท้ เพียงเพราะว่าต่อให้ดิ้นรนเท่าไร ก็ยังไปไม่ถึงฝั่งฝันสักที บางคนอยากรวย อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น ลุยโหมงานหนักจนสุขภาพย่ำแย่ แต่เรื่องการเงินก็ยังคงชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่แบบเดิม เอาล่ะ ! อย่าเพิ่งน้อยใจไปนะคะ วันนี้เรามีเรื่องราวดี ๆ ของ คุณสมาชิกหมายเลข 1812781 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ไม่ยอมท้อถอย สู้จนเปลี่ยนจากจุดตกต่ำไปสู่วันที่ทำรายได้ถึงเดือนละ 6 หลักได้ และยังยินดีมาแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตกับเส้นทางสู่ความสบายให้เพื่อน ๆ ได้เก็บไปเป็นแรงบันดาลใจอีกด้วย




          พอดีผมเขียนโพสของผมลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว เพื่อแชร์เรื่องราว 14 ปีที่ต่อสู้มาจนถึงวันนี้ ผมก็เลยคิดว่าน่าจะเอามาแชร์ให้กับเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ในนี้บ้าง เผื่อว่าใครที่กำลังท้อแท้อยู่ อ่านเรื่องราวของผมแล้วอาจจะทำให้มีกำลังใจต่อสู้ขึ้นมาได้ ใครที่เป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่ เกิดอยากจะเป็นเจ้าของธุรกิจบ้าง ลองอ่านดูครับ

          ถ้าใครที่รู้จักผมดีก็จะพอทราบเรื่องราวของผมมาบ้าง โดยเฉพาะคนที่อยู่ในช่วงเหตุการณ์ต่าง ๆ ของผม ก็จะรู้ว่าเมื่อก่อนผมเคยลำบากมาก่อน เริ่มมาจาก 0 จริง ๆ ผมเชื่อว่าทุกคนทำได้หากเรายอมอดทนกับความลำบากค่อย ๆ ก้าวไปทีละขั้น และหมั่นที่จะพัฒนาความรู้ความสามารถของเราอยู่เสมอ เพื่อรอกับโอกาสที่จะมาถึงในวันข้างหน้า

          ผมก็เด็กธรรมดาคนหนึ่งแหละครับ มีครอบครัว มีพ่อ มีแม่ มีน้องชาย 1 คน (อายุห่างกัน 12 ปี) แต่โชคชะตาคงเล่นตลก แม่มาด่วนจากไปตั้งแต่ผมอายุ 14 จากนั้นไม่นานพ่อก็มีครอบครัวใหม่ ชีวิตก็เลยเคว้งไปพักหนึ่ง ตอนนั้นไปอาศัยนอนกับบ้านลุงเจ้าของวงดนตรีที่ผมร้องเพลงอยู่ เริ่มงานแรกด้วยการเป็นนักร้องวงดนตรีลูกทุ่ง แต่ผมร้องเพลงสตริงนะ ^^ งานนึงได้ 200 บาท หลัง ๆ ก็ได้มีโอกาสถือกีตาร์ตีคอร์ดไปร้องเพลงไป

          เริ่มทำงานไปด้วยเรียน ปวช. ไปด้วย เล่นไปเล่นมาได้แฟนมา 1 คน สุดท้ายก็ต้องออกจากการเรียน พอเรียนไม่จบก็ต้องออกมาทำงานหาเลี้ยงตัวเอง (แฟนก็ออกมาด้วย) ผมตัดสินใจขอพ่อให้พาไปสมัครงานเป็นพนักงานของห้าง ๆ หนึ่งในจังหวัดจันทบุรี ตอนนั้นผมอายุแค่ 16 ปี อายุไม่ถึงวัยทำงาน ทางห้างก็เลยให้เงินเดือนผมแค่ 3,600 บาท (วันละ 120 บาท) สมัยนั้นคนเงินเดือนเยอะ ๆ ในความคิดผมก็ 4-5 พันขึ้น

          เริ่มทำงานเป็นพนักงานซุปเปอร์สโตร์ การเรียนรู้ถึงความลำบากครั้งแรกก็คือ เป็นพนักงานห้างต้องยืนวันละ 10 ชั่วโมง ขอบอกว่าปวดขามาก ๆ แต่พอผ่านมาได้สัก 1-2 เดือน รู้สึกสบาย ๆ เหมือนเราไม่มีขาเลย ยืนได้ทั้งวัน (ผมเชื่อว่าคนที่ทำงานตามห้างสรรพสินค้าตอนนี้ก็คงเป็นแบบผม) ทำงานตอนยังไม่มีวุฒิภาวะก็ต้องมีบ้างครับ เข้างานสาย โดนหักเงิน เงินในแต่ละเดือนไม่พอกินครับ ต้องเบิกล่วงหน้าทุกเดือน โชคดีที่แฟนผมเป็นคนหน้าตาดี ได้ทำงานเป็นพีซีเครื่องสำอางเงินเดือนถ้าจำไม่ผิดก็ประมาณ 4,500 บาท

          จากพนักงานซุปเปอร์สโตร์ก็ได้ย้ายมาเป็นพนักงานคลังสินค้า(คลังใน) งานก็เบาลงหน่อยเพราะว่าคราวนี้นั่งได้ไม่ต้องยืนทั้งวันแล้ว อยู่ในโกดังจากแต่งตัวหล่อ ๆ ยืนในห้างแอร์เย็น ๆ ก็ต้องมาเป็นจับกังแบบหามครับ แบกสินค้าจากชั้นบนขึ้นลิฟต์ลงมาชั้นล่าง ก็ทำมาได้พักหนึ่ง จนได้ยินว่าพนักงานขับรถคลังนอกซึ่งเป็นโกดังตั้งอยู่ข้างนอกขาด ผมก็อาศัยว่าพ่อทำอู่ พ่อสอนขับรถเป็นตั้งแต่ ป.5 เลยบอกซ้อเจ้าของห้างว่าผมขับรถได้ แต่ที่ไหนได้เป็นรถ 6 ล้อ ซึ่งเราก็ไม่เคยขับมาก่อนเลย อาศัยความกล้าที่มีอยู่ในใจตอนนั้นตัดสินใจขับเลย

          ตั้งแต่นั้นมาก็กลายเป็นพนักงานขับรถขนส่งสินค้าเต็มตัว (ผมว่าผมเท่นะได้ขับรถบรรทุกด้วย ^^) งานของผมวันหนึ่งก็จะขนของวันละ 2 รอบ เวลามาส่งของก็จะมีผมกับเพื่อนคนอีสานอีกคนหนึ่ง แบกของจากรถ 6 ล้อเข้าไปเก็บที่คลังสินค้าในห้าง (เพื่อน ๆ คงเคยเห็นคนที่เขาแบกของใส่หลังเวลาส่งของเข้าไปใน 7-11 ใช่ไหมครับ แบบนั้นเลย) วิธีการแบกใส่หลังแบบนั้นผมได้เรียนรู้ว่ามันเป็นการยกของที่จะไม่ทำให้หลังเราเสียครับ (ได้ประสบการณ์เพิ่มอีกและ) ก็ทำงานเป็นเด็กส่งของอยู่ประมาณ 1 ปีกว่า ๆ ได้เรียนรู้ชีวิตมากมาย ได้รู้ว่าชีวิตกรรมกรแบกหามมันเป็นอย่างไร

          พูดถึงความลำบากกันบ้างครับ ตอนทำงานผมอาศัยอยู่ห้องแถวกับแฟน 2 คน เช่าเดือนละ 1,000 บาท เป็นห้องเล็ก ๆ หลายต่อหลายครั้งที่ผมกับแฟนต้องอดมื้อกินมื้อ กินน้ำเปล่าแทนข้าว กินกับข้าวถุงเดียว 15 บาทสองคน ตอนนั้นผมจะได้เงินวันละ 10 บาทจากซ้อเจ้าของห้าง แกจะให้ผมนั่งมอไซต์รับจ้างไปขับรถที่โกดังมาขนสินค้า ผมก็เอาเงิน 10 บาท ไปซื้อกับข้าวถุงละ 10 บาทมากินกับข้าวที่โกดังหุงไว้หม้อใหญ่ แล้วใช้วิธีเดินไปที่โกดังแทน (เพราะจะได้ประหยัดเงินค่าข้าว) ระยะทางจากห้างไปจนถึงโกดังข้างโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งในจันทบุรี (ที่มีสระน้ำ) (ประมาณ 3-4 กม.)

          ทำงานแบบเงินไม่พอกินครับ บางมื้อไม่มีจะกินจนต้องไปตกปลาที่สวนสาธารณะในตัวจังหวัด จริง ๆ แล้วเขาห้ามครับ ถ้าโดนจับมาติดคุกแน่ ๆ ผมก็ใช้เส้นเอ็นเกี่ยวไส้เดือนที่เพื่อนคนอีสานขุดมาให้ แล้วโยนลงไปเพื่อตกปลา ได้ปลาดุกมาก็เอามาทอดกินประทังชีวิต (ปลาดุกตัวใหญ่มากกก) ผมยังจำรสชาติปลาดุกตัวนั้นได้จนถึงทุกวันนี้เลย เพราะครั้งนั้นผมต้องทุบหัวปลาเอง (ไม่ทุบก็อดกินครับทำไงได้) บางครั้งก็ไป แทงกบ แทงปลา กินกับเพื่อนที่ทำงานด้วยกัน (ได้เรียนรู้วิถีชีวิตการแทงปลาแบบชาวอีสาน)

          ทุก ๆ มื้อกลางวันเวลาผมส่งของเสร็จ ที่โกดังจะหุงข้าวไว้ ผมกับเพื่อนคนส่งของก็จะแวะซื้อส้มตำเจ้าอร่อยที่ตลาด JP (ทุกวันนี้เจ้ยังจำผมได้เลย แม้ปัจจุบันผมจะเปลี่ยนจากขับ 6 ล้อ เป็นขับบีเอ็มแล้วก็ตาม ^^ ไม่เคยลืมเลย) และซื้อซี่โครงไก่หน้า BM มินิมาร์ทไปกินกับข้าว กินแต่โครงครับ เหมือนหมาเลย 555 แต่อร่อยนะ ใครไม่เคยลองอยากให้ลอง ยิ่งโครงไก่สับนะสุดยอดเลย อยากจะบอกว่าเป็นจับกังเวลากินข้าวต้อง 2 จานใหญ่ ๆ นะ ไม่งั้นไม่มีแรง บางวันโชคดีหน่อยแวะกินโดนัทฟรีในมินิมาร์ทเพราะว่าเขาจะทิ้งแล้ว (เมื่อก่อนจะมีมิสเตอร์โดนัทตามมินิมาร์ท)

          ใช้ชีวิตแบบนี้มาประมาณ 1 ปีกว่า ๆ แฟนก็ทิ้งไป (แน่ละสิใครจะมาทนกับเรา T T ชีวิตยังกับละคร) ตอนนั้นชีวิตเคว้งอีกครั้ง เหมือนไม่มีอนาคตเพราะทีแรกกะว่าจะทำงานเก็บเงินไว้เยอะ ๆ จะได้สบาย ๆ แต่ที่ไหนได้หาเช้ากินค่ำ ป่วยไม่ได้เลยไม่มีตังค์หาหมอ จากนั้นก็คิดว่าเราจะมามัวแบกของอย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว บ่อยครั้งที่เห็นเขาใส่ชุดนักเรียนกันแล้วอยากกลับไปใส่บ้าง ก็เลยตัดสินใจกลับเข้าไปเรียน ปวช. ให้จบ ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ 1 ปีที่สอนอะไรหลาย ๆ อย่างกับผมมาก ๆ สอนให้รู้จักกับความลำบาก สอนให้ผมรู้จักอดทน การอดข้าวเป็นยังไง นอนแสบท้องมันเป็นยังไง ไม่มีอะไรกินก็จะต้องดิ้นรนเพื่อเอาตัวให้รอดจนได้


          ระหว่างที่กลับไปเรียนก็ได้เงินสนับสนุนจากทางน้าเป็นเงินค่าเทอม ส่วนค่ากินค่าอยู่นั้นผมก็อาศัยความสามารถในการเล่นดนตรีหาเงินค่าครองชีพไปด้วย วันหนึ่งมีโครงการเขียนเรียงความเพื่อขอทุน ผมก็ลองเขียนดู ซึ่งก็เหมือนกับเพื่อน ๆ ทุกคนในชั้น ผมก็เขียนเล่าเรื่องราวชีวิตผมที่ผ่านมาก่อนที่จะกลับเข้ามาเรียน เขียนเล่าไปตามความเป็นจริงครับ ปรากฎว่าทางวิทยาลัยเลือกเรียงความจากผม ก็ไม่น่าเชื่อครับ เรียงความของผมได้อันดับ 1 (ทุนนี้จะมีแค่จังหวัดละ 2 คน ในแต่ละชั้นการศึกษา เช่น ปวช. ของวิทยาลัยทั้งจังหวัดก็จะได้แค่ 2 คน)

          ผมได้รับทุนการศึกษาเทอมละ 2 หมื่น ตอนนั้นก็รู้สึกว่าชีวิตผมรอดแล้วเราไม่ต้องลำบากมาก ก็ถือเป็นเรื่องดี ๆ เรื่องแรกหลังจากที่ใช้ชีวิตแบบลำบากมาก ตอนเรียน ปวช. ก็ได้มีโอกาสไปฝึกงานร้านซ่อมคอม ซึ่งเป็นร้านของลูกเจ้าของวงดนตรีที่ผมเล่นอยู่ตอนนั้น (วงดนตรีลูกทุ่งเล่นตามงานเลี้ยง) ก็ทำอะไรไม่เป็นหรอกครับ ซ่อมคอมลูกค้าพังแทบทุกเครื่อง ข้อมูลหายประจำ โดนพี่หุ้นส่วนร้านอีกคนด่าจนผมรู้สึกท้อ กลับมาร้องไห้ แต่ก็ยังดีที่มีพี่เจ้าของร้านอีกคน คอยให้โอกาสผม จนผมสามารถประกอบคอม ซ่อมคอม รวมไปจนถึงลงโปรแกรมเป็น และนั่นก็เป็นที่มาของการเรียนต่อ ปวส. ในสาย IT ก็เพราะคำแนะนำของพี่เจ้าของร้านแหละครับ

          ต่อมาผมก็สอบเข้าเรียน ปวส. ที่เทคนิคระยอง เพราะว่าที่นั่นเปิดสอนวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ได้คิดว่าจะเรียนสาขาอะไรหรอก คิดอย่างเดียวว่าสาขาไหนที่มันจบมาแล้วได้เงินเดือนดี ๆ ถึงยากก็จะเรียน เพราะคิดว่ามันเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้หลุดพ้นจากความลำบากได้ (ตอนนั้นก็ฝันอยากเป็นโปรแกรมเมอร์ด้วยแหละครับ ช่างซ่อมคอมธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ริอยากจะเป็นโปรแกรมเมอร์ !! มันคงเท่น่าดูเลยเนอะ) ช่วงที่เรียน ปวส. ก็ได้มีโอกาสเล่นดนตรีอยู่กับวงดนตรี ชื่อดังของจังหวัดจันทบุรี (เรียนอยู่ระยอง เล่นดนตรีอยู่ที่จันท์) แต่โชคยังดีส่วนใหญ่มีงานทางระยองกับชลบุรี กรุงเทพฯ ก็ไปเกือบทุกจังหวัดนะครับ

          คราวนี้ก็ลำบากอีกตามเคยครับ เลิกเรียนก็จะมีรถตู้วงมารับ...ผมก็รับหน้าที่เป็นคนขับ (อาชีพถนัดของผมเลย) ขับรถเข้ากรุงเทพฯ เป็นก็ตอนนี้แหละ (พลิกวิกฤตเป็นโอกาส 555) เล่นดนตรีกว่าจะเลิกงานก็ประมาณเที่ยงคืน ผมก็ติดรถตู้กลับไปที่จันทบุรี เพื่อนอนพักที่หอแฟน (คนใหม่) แต่กว่าจะถึงจันท์ก็ตีสามแล้วอย่าเรียกว่านอนเลย กลับไปก็อาบน้ำเลย แล้วก็ให้แฟนมาส่งที่ บขส. นั่งรถกลับมาเรียนที่ระยอง (อาศัยหลับบนรถ 3 ชั่วโมง) เที่ยวแรกตีสี่ครึ่ง ทำแบบนี้อยู่ตลอดช่วงเวลาที่เรียน ปวส. ครับ ผมไม่ค่อยจะเข้าแถวทันเลย แต่ยังดีที่อาจารย์เข้าใจ เพราะผมจะเป็นคนที่ตั้งใจเรียน แล้วก็จะทำเทสต์ผ่านเป็นคนแรก ๆ เสมอ อาจารย์รู้ว่าเราทำงานด้วยเรียนด้วยจึงอนุโลมให้

          สุดท้ายก็เรียนจบ ปวส. มาได้แบบเขียนโปรแกรมพอได้ ภาษาถนัดของผมก็คือ "Java" ซึ่งใคร ๆ ที่เป็นโปรแกรมเมอร์ก็จะรู้ดีว่ามันเป็นภาษาที่ยากมาก แต่เพราะผมรู้ว่ามันยากมากผมเลยทุ่มเทและหมกมุ่นอยู่กับมันตลอดเวลาที่เรียนเลย ซื้อหนังสือมาอ่านว่างจากเล่นดนตรีก็จะนั่งเขียนโปรแกรมทุกวัน บางครั้งยังมีเอาโน้ตบุ๊กไปนั่งทำโปรเจกหลังเวทีก็มี รู้ว่ามันยากแต่ทำเงินให้ผมได้ ผมก็ทุ่มเทเต็มที่เหมือนกัน จนเพื่อน ๆ เรียกกัน "เทพจาวา" (ปัจจุบันผมก็ยังเป็นเหมือนเดิมครับ ชอบอะไรแล้วก็จะทำมันเต็มที่)

          ถึงจุดเปลี่ยนในชีวิตจริง ๆ ตอนนี้ซะที เล่ามาซะนาน ปัจจุบันที่มาทำร้านขายอะไหล่รถยนต์ออนไลน์ ก็เนื่องจากว่าเกิดวิกฤตน้ำท่วมหนักปลายปี 53 ตอนนั้นพ่อผมทำงานเป็นช่างซ่อมรถตามอู่ประกันภัยในปทุมธานี พอเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ พ่อกับครอบครัวก็เลยต้องย้ายมาอาศัยอยู่กับผมที่พัทยา ตอนนั้นเครียดมาก เนื่องจากผมคิดว่าถึงเวลาแล้วใช่ไหมที่จะต้องเลี้ยงพ่อ ตอนนั้นต้องหางานให้พ่อทำ พ่อก็เป็นมนุษย์เงินเดือนเหมือนกัน มีน้องตัวเล็ก ๆ อีก 2 คน ยังไม่ได้เข้าโรงเรียน อาศัยว่าพ่อผมเป็นนายช่างใหญ่ก็เลยมีงานรับเหมาตามอู่ใกล้ ๆ แถวนั้น พ่อไม่ค่อยมีเงินผมก็ให้พ่อบ้าง ตอนนั้นเงินเก็บตัวเองก็ไม่มี แต่ผมก็ไม่ได้เครียดมากนะ เพราะว่าพ่อผมก็รู้ว่าต้องเพิ่งลูกแล้วตอนนี้ ตื่นเช้ามาทุกวันพ่อก็จะเช็ดรถให้ผมก่อนไปทำงาน แฟนพ่อเขาก็ทำกับข้าวเอาไว้ให้กลับมากินตอนเย็น ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่อบอุ่นดีครับ ไม่ได้อยู่กับพ่อนานมากแล้วตั้งแต่สมัยออกไปทำงานเป็นเด็กขับรถส่งของ

          น้ำท่วมอยู่ประมาณหลายเดือน เงินที่พ่อเก็บไว้ก็เริ่มหมด วันหนึ่งผมก็เพิ่งสังเกตเห็นอะไหล่รถยนต์ที่ขนมาด้วยซึ่งมีอยู่ 2 เข่ง ก็เลยเกิดความคิดว่าจะเอาอะไหล่พวกนี้แหละมาขายออนไลน์ ได้ตังค์ไม่กี่ร้อยก็ยังดี ทีแรกพ่อก็ไม่เชื่อว่ามันจะขายได้ ผมให้พ่อถ่ายรูปอะไหล่ทุกชิ้นในเข่งแล้วก็เอาไปลงขายตามเว็บบอร์ดของรถรุ่นต่าง ๆ (ดีที่พ่อผมไม่เป็นคนหัวดื้อ ชอบเรียนรู้ ผมสอนพ่อจนใช้คอมพิวเตอร์ได้ เล่นเฟซบุ๊กได้ ปัจจุบันมีแท็บเล็ตส่วนตัว หาข้อมูลใน google เองแล้ว ^^)

          วันหนึ่งก็มีลูกค้าโทรมาบ้าง ขายอยู่สักพักก็เริ่มรู้สึกว่าทำไมคนขายกันเยอะจัง โพสต์ตอนเช้า ตอนบ่ายตกไปอยู่หน้าอื่นและ ไม่เวิร์ก ๆ คิดอยู่นานว่าจะทำยังไงให้คน search Google มาแล้วเจออะไหล่เราเลย ไม่ต้องพึ่งเว็บบอร์ด ในที่สุดก็ไปศึกษาเรื่อง SEO = Search Engine Optimization (เริ่มมีสาระแล้วนะ ^^) ในที่สุดก็จับเอา Blog ของ Google ตอนนั้นเค้าฮิตเขียนบล็อกกัน (ที่มีโฆษณาเด็กป่วยอยู่ในโรงพยาบาลแล้วเขียนนิทานในบล็อก) ผมก็เลยประยุกต์เอามาขายอะไหล่ซะเลย พวกเว็บขายออนไลน์ดัง ๆ ที่ว่าเขาขายกันเยอะผมมองข้ามไปเลย เรื่องอะไรจะไปอาศัยเว็บคนอื่นล่ะ เราก็ทำเองได้

          พอหลังจากน้ำท่วมพ่อก็กลับไปทำงานเป็นช่างที่อู่ที่ปทุมธานีตามเดิม แกก็ขายอะไหล่ไปด้วย ไปตัดเขามาบ้างเพราะว่าเว็บมีคนเข้ามาถามเรื่อย ๆ แต่ของเราไม่มี ผมก็ได้เอาเงินโบนัสของผม 5,000 บาทให้พ่อกลับไปเป็นทุนซื้อของไว้หมุน จากคนเข้าเว็บวันละ 100 กว่าคน ปัจจุบันเฉลี่ยการเข้าหน้าเว็บ 2,000 กว่าคน/วัน สุดท้ายพ่อผมนี่แหละที่ลาออกจากการเป็นมนุษย์เงินเดือนก่อนผม นี่ก็อีกความภาคภูมิใจของผมครับเพราะตอนเด็ก ๆ ผมเคยมีความฝันว่าจะเปิดร้านขายอะไหล่ให้พ่อซึ่งดู ๆ แล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเปิดร้านขายอะไหล่ต้องมีทุนเป็นแสน ๆ แต่ผมกับพ่อสามารถเริ่มธุรกิจเงินแสนจาก "อะไหล่สองเข่ง และเงิน 5 พันบาทได้"

          ปัจจุบันผมลาออกจากบริษัทฝรั่ง ตอนนั้นเงินเดือนล่าสุด 39,500 บาท (ไม่น้อยนะสำหรับผม) ที่ตัดสินใจลาออกก็เพราะว่าการเป็น "มนุษย์เงินเดือน" มันคาดเดาอนาคตตัวเองได้ มองจากพี่ที่ทำงานบริษัทอายุ 35 แล้วเงินเดือนยังไม่ถึงแสนเลยเต็มที่ก็ 9 หมื่น (ถ้าบริษัทคนไทยนะ ไม่ต้องพูดถึง 10 ปีเงินเดือนยังไม่ถึง 5 หมื่นเลย) ผมไม่รอช้าอยู่แล้วครับ ในเมื่อมีธุรกิจที่สร้างมาด้วยตัวเองแล้ว นำความรู้ที่ตัวเองมีมารวมกับพ่อ เอาเงินเก็บมาลงทุนต่อยอดและบริหารระบบที่ร้านเองเต็มตัว ตอนนี้หน้าเว็บผม search ติดหน้าแรก Google แล้ว "ไม่เชื่อก็ลองค้นอะไหล่มือสองของรถเพื่อน ๆ ดูครับ น่าจะมีเว็บผมติดอยู่ในนั้น"

          อีกประมาณ 3 เดือนข้างหน้าผมก็อายุ 30 ปีบริบูรณ์ ตอนนี้ผมเดินเกินความฝันมาไกลแล้ว ถือเป็นความประสบความสำเร็จเล็ก ๆ ในชีวิตเด็กกรรมกรแบกหามอย่างผม ตอนนี้รายได้เฉลี่ยต่อเดือนผมอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 6 หลักต่อเดือน ชีวิตจากที่ไม่มีอะไรเลย เล่นดนตรียังไม่มีกีตาร์ของตัวเองต้องยืมเขา โน้ตบุ๊กที่ใช้ทำงานก็ผ่อนน้า เรียกได้ว่ามันผ่านความลำบากมามากแล้ว ทุกวันนี้ก็เลยไม่เคยกลัวเลยไอ้คำว่า "ลำบาก" เนี่ย ใช้ชีวิตเหมือนเดิม ขี่มอเตอร์ไซค์ไปไหนมาไหน ขับรถก็มือสอง รถใหม่ ๆ ผมไม่อยากผ่อนครับ ไม่อยากเป็นหนี้แล้ว ชีวิตคนเราไม่ได้เกิดมารวยก็อย่าไปท้อครับ คนจน ๆ อย่างเราทำธุรกิจแล้วรวยมีเยอะไป ไม่มีก็ไม่เห็นจะเป็นไร ชีวิตมันก็ดำเนินอยู่ได้ เราเริ่มจากศูนย์นี่แหละภูมิใจที่สุดแล้ว ดีกว่ารวยมาด้วยการทำงานหรือทำธุรกิจที่ผิดกฎหมายเพราะผมเชื่อว่า วันหนึ่งที่คุณมีเงินมาก ๆ คุณก็จะไม่มีเรื่องเล่าแห่งความภาคภูมิใจในตัวเองเลย

          ขอบคุณที่อ่านกันจนจบนะครับ ผมขอยืนยันว่าทุกเหตุการณ์ที่ผมเล่าเป็นเรื่องจริง มีหลักฐานและบุคคลอ้างอิง และขอบคุณผู้มีพระคุณทุกท่านที่อยู่ในช่วงชีวิตผมและให้โอกาสผมคนนี้ ผมจะไม่ลืมพระคุณเลย



เรื่องที่คุณอาจสนใจ
จากพนักงานขับรถเงินเดือน 3,600 สู่รายได้ 6 หลัก อัปเดตล่าสุด 26 กันยายน 2560 เวลา 14:33:36 49,989 อ่าน
TOP