ลดหย่อนภาษี 2562 มีอะไรบ้าง ค่าใช้จ่ายแบบไหน ซื้อสินค้าประเภทใด สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ ลองมาตรวจสอบก่อนยื่นภาษี 2562 ใครมีรายได้ถึงเกณฑ์ต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ก็อย่าลืมคำนวณภาษีของตัวเองดูก่อนว่าต้องจ่ายภาษีเท่าไร และถ้าต้องการประหยัดขึ้นมาหน่อยก็สามารถหาตัวช่วยมาลดหย่อนภาษี 2562 ได้เลย ซึ่งปีนี้มีอยู่หลายรายการให้เลือกใช้สิทธิ์กันเต็มที่ กระปุกดอทคอมจึงรวบรวมรายละเอียดต่าง ๆ มาบอกต่อให้มนุษย์เงินเดือนได้ทราบแล้ว แม้จะมีเงินเดือนน้อย ยังไม่ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี แต่ถ้าเรามีรายได้ตามเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด ก็ต้องยื่นแบบแสดงรายได้ด้วยเช่นกัน นั่นคือ คนโสด - หากมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) เพียงประเภทเดียว จะต้องยื่นแบบภาษีเมื่อมีเงินได้เกิน 120,000 บาท - หากมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) และมีเงินได้ประเภทอื่นด้วย หรือกรณีมีเฉพาะเงินได้ประเภทอื่นที่ไม่ใช่เงินได้จากการจ้างแรงงาน จะต้องยื่นแบบภาษีเมื่อมีเงินได้เกิน 60,000 บาท คนมีคู่ - หากมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) เพียงประเภทเดียว จะต้องยื่นแบบภาษีเมื่อมีเงินได้เกิน 220,000 บาท - หากมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) และมีเงินได้ประเภทอื่นด้วย หรือกรณีมีเฉพาะเงินได้ประเภทอื่นที่ไม่ใช่เงินได้จากการจ้างแรงงาน จะต้องยื่นแบบภาษีเมื่อมีเงินได้เกิน 120,000 บาท ทั้งนี้ สำหรับปีภาษี 2562 จะสามารถยื่นภาษีฯ ได้ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2563 ตามมาตรการผ่อนปรนเพื่อช่วยเหลือจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ปีภาษี 2562 ยังคงใช้อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบเดิม คือเก็บภาษีแบบขั้นบันได ตั้งแต่ 5-35% ของรายได้สุทธิ (หลังหักค่าลดหย่อนต่าง ๆ แล้ว) แต่หากใครมีรายได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท ก็จะได้รับการยกเว้นภาษี เท่ากับว่าผู้ที่มีเงินเดือนประมาณ 25,833 บาท หรือมีรายได้ตลอดทั้งปีรวมแล้วไม่เกิน 310,000 บาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนส่วนตัวรวม 160,000 บาทแล้ว จะเหลือเงินได้สุทธิ 150,000 บาท ซึ่งได้รับการยกเว้นภาษี อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีเงินเดือนเกิน 25,833 บาท หรือมีรายได้ตลอดทั้งปีมากกว่า 310,000 บาท ก็อาจไม่ต้องเสียภาษีได้เช่นกันถ้ามีค่าลดหย่อนต่าง ๆ มาช่วย ดังนั้น ใครมีรายได้เกินนี้ ต้องลองคำนวณภาษีและหักค่าลดหย่อนกันดี ๆ หากอยากทราบรายได้สุทธิของตัวเอง ต้องนำรายได้ทั้งหมดมารวมกัน แล้วหาค่าลดหย่อนต่าง ๆ มาหักออกจากรายได้ทั้งหมด เหลือเท่าไรคือรายได้สุทธิที่เราจะนำไปคำนวณภาษีตามขั้นบันได ซึ่งค่าลดหย่อนมีอะไรบ้างนั้น ลองมาตรวจสอบรายละเอียดกัน จำนวน : 60,000 บาท เงื่อนไข : ลดหย่อนภาษีได้ทันทีที่ยื่นแบบฯ จำนวน : 60,000 บาท เงื่อนไข : • สำหรับสามี-ภรรยาที่จดทะเบียนสมรส • คู่สมรสต้องไม่มีเงินได้ หรือมีเงินได้แต่เลือกนำมาคำนวณภาษีพร้อมกัน ไม่ได้แยกยื่นแบบฯ จำนวน : ลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท (ไม่จำกัดจำนวนบุตร) เงื่อนไข : • หากเป็นบุตรตามกฎหมาย สามารถนำมาหักลดหย่อนได้ไม่จำกัดจำนวนบุตร • หากเป็นบุตรบุญธรรม สามารถนำมาหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 3 คน • หากมีทั้งบุตรบุญธรรมและบุตรชอบด้วยกฎหมาย ให้นำบุตรชอบด้วยกฎหมายทั้งหมดมาหักก่อน แล้วจึงนำบุตรบุญธรรมมาหัก รวมกันได้ไม่เกิน 3 คน • กรณีมีบุตรชอบด้วยกฎหมายที่มีชีวิตอยู่รวมเป็นจำนวนตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป จะนำบุตรบุญธรรมมาหักไม่ได้ นอกจากนี้ บุตรที่จะนำมาหักลดหย่อนภาษีต้องมีคุณสมบัติตามนี้ด้วย • บุตรมีอายุอยู่ระหว่างแรกเกิดจนถึง 20 ปี ในปีภาษีนั้น • ถ้าบุตรมีอายุระหว่าง 21-25 ปี ในปีภาษีนั้น ต้องกำลังศึกษาในระดับอนุปริญญา (ปวส.) ขึ้นไป • ถ้าบุตรมีอายุ 25 ปีขึ้นไป ในปีภาษีนั้น ต้องเป็นบุคคลไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ • บุตรต้องไม่มีเงินได้ในปีภาษีตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไป (ยกเว้นเงินปันผล) หรือรายได้ที่มีนั้นได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย เช่น บุตรที่อายุไม่เกิน 20 ปี และรับเงินปันผล ซึ่งเงินปันผลนั้นจะถือว่าเป็นเงินของผู้ปกครอง และไม่ถือว่าบุตรมีรายได้ จำนวน : หักค่าใช้จ่ายได้ตามจริง สูงสุดไม่เกินปีละ 60,000 บาท เงื่อนไข : ผู้ที่มีเงินได้หรือคู่สมรส สามารถนำค่าใช้จ่ายฝากครรภ์และค่าคลอดบุตร มาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ ดังนี้ • เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการรักษาพยาบาลอันเนื่องมาจากการตั้งครรภ์และคลอดบุตร ไม่ว่าจะเป็นค่าตรวจครรภ์ รับฝากครรภ์ ค่าบำบัดทางการแพทย์ ค่ายาและค่าเวชภัณฑ์ ค่าทำคลอด ค่ากินอยู่ในโรงพยาบาล • สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีกับค่าใช้จ่ายที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2562 • หากเป็นค่าคลอดบุตรในการตั้งครรภ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นในปีภาษีเดียวกัน เช่น ตั้งครรภ์ปี 2562 แต่คลอดปี 2563 จะได้รับสิทธิลดหย่อนตามจำนวนที่จ่ายจริงในปีที่ใช้ แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 60,000 บาท เช่น ในปี 2562 จ่ายค่าฝากครรภ์ไปจำนวน 10,000 บาท ก็จะสามารถหักลดหย่อนภาษีปี 2562 ได้ 10,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 50,000 บาท สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีเมื่อคลอดบุตรในปี 2563 ได้ • หากจ่ายค่าฝากครรภ์หรือคลอดบุตรหลายคราวในปีภาษีเดียวกัน สามารถลดหย่อนภาษีได้คราวละไม่เกิน 60,000 บาท เช่น จ่ายค่าคลอดบุตรคนแรกในเดือนมกราคม 2562 จะสามารถนำค่าใช้จ่ายส่วนนี้มาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 60,000 บาท และถ้าหากในเดือนธันวาคม 2562 มีการตั้งครรภ์และฝากครรภ์บุตรคนที่ 2 อีก ก็จะได้สิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมอีกตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 60,000 บาท รวมแล้วหากมีบุตร 2 คน ภายในปี 2562 จะสามารถนำค่าใช้จ่ายมาหักลดหย่อนได้สูงสุด 120,000 บาท • กรณีคลอดบุตรแฝด สามารถหักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 60,000 บาท เนื่องจากเป็นการตั้งครรภ์คราวเดียว • สามารถนำค่าใช้จ่ายจากการตั้งครรภ์และคลอดบุตรมาหักลดหย่อนภาษีได้ ไม่ว่าทารกที่คลอดจะมีชีวิตรอดหรือไม่ • สามีสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีค่าคลอดบุตรได้ไม่เกิน 60,000 บาท หากภรรยาไม่มีเงินได้ • กรณีสามีและภรรยามีเงินได้ทั้งคู่ จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีค่าตั้งครรภ์และคลอดบุตรได้ 2 กรณี คือ - สามี-ภรรยา แยกยื่นภาษี : ภรรยาจะเป็นผู้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 60,000 บาท ส่วนสามีไม่สามารถใช้สิทธิได้ - สามี-ภรรยา ยื่นรายการและเสียภาษีรวมกัน : ผู้ที่ยื่นภาษีสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ 60,000 บาท • สิทธิลดหย่อนภาษีดังกล่าว เมื่อนำไปรวมกับสิทธิการเบิกค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตรจากสวัสดิการภาครัฐและเอกชน ต้องไม่เกิน 60,000 บาท อธิบายง่าย ๆ ก็คือ หากใช้สิทธิเบิกค่าคลอดบุตรจากสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการ / สิทธิประกันสังคม / สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ รวมทั้งสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลที่ได้รับจากนายจ้างภาคเอกชนแล้ว จะสามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้แค่ส่วนที่ยังไม่เกิน 60,000 บาทเท่านั้น หลักฐานที่ใช้ลดหย่อนภาษี : - ใบรับรองแพทย์ - ใบเสร็จรับเงิน หรือหลักฐานอื่นที่แสดงว่าได้จ่ายค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตรให้แก่สถานพยาบาล จำนวน : ลดหย่อนได้ตามจริง สูงสุดไม่เกิน 9,000 บาท จำนวน : ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท เงื่อนไขประกันชีวิต : • ต้องเป็นประกันชีวิตที่มีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป • มีผลตอบแทนคืนไม่เกิน 20% ของเบี้ยสะสม (เงินปันผลหรือเบี้ยคืนรายปี) • ต้องเป็นกรมธรรม์ที่ซื้อจากบริษัทประกันชีวิตที่ดำเนินกิจการในไทย • หากเวนคืนกรมธรรม์ก่อนครบ 10 ปี ถือว่าผิดเงื่อนไข จะไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ • หากเราซื้อประกันชีวิตให้คู่สมรสไว้ และคู่สมรสไม่มีรายได้ แต่ยังจ่ายเบี้ยประกันอยู่ ก็ยังสามารถนำเบี้ยประกันที่จ่ายไปมาหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 10,000 บาท เงื่อนไขเงินฝากเพื่อสงเคราะห์ชีวิต : • ต้องเปิดบัญชีเงินฝากเพื่อสงเคราะห์ชีวิต (ปัจจุบันมี 2 ธนาคาร คือ ออมสิน และ ธ.ก.ส.) • ฝากเงินตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป • ผู้มีเงินได้เป็นผู้จ่ายเงินฝากเท่านั้น • กรณีได้รับเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนคืนทุกปี ต้องไม่เกิน 20% ของเงินฝากรายปี • มีหลักฐานจากธนาคารผู้รับฝากเงิน • หักลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่ฝากเงินจริง แต่เมื่อรวมกับเงินที่ได้จ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิตแล้ว ต้องไม่เกิน 100,000 บาท ตัวอย่างเช่น หากจ่ายเบี้ยประกันชีวิตในปีนั้นไปแล้ว 70,000 บาท เราจะมีสิทธิ์นำเงินฝากสงเคราะห์ชีวิตไปลดหย่อนภาษีได้อีกเพียง 30,000 บาท จำนวน : 15% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท เงื่อนไข : • ต้องเป็นประกันที่มีระยะเวลาเอาประกัน 10 ปีขึ้นไป • ต้องเป็นกรมธรรม์ที่ซื้อจากบริษัทประกันชีวิตที่ดำเนินกิจการในไทย • จ่ายผลตอบแทนให้ผู้เอาประกันตั้งแต่อายุ 55 ปี ต่อเนื่องไปจนถึงอายุ 85 ปี หรือมากกว่านั้น • เมื่อรวมค่าเบี้ยประกันที่จ่ายให้กับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือกองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท • หากมีประกันชีวิตแบบทั่วไปอยู่แล้ว แต่ยังไม่ครบ 1 แสนบาท สามารถนำค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญไปรวมกับสิทธิลดหย่อนประกันชีวิตแบบทั่วไปให้ครบ 1 แสนบาทก่อน ส่วนที่เหลือก็ยังสามารถนำมาลดหย่อนโดยใช้สิทธิเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญได้ 15% ของเงินได้ที่เสียภาษี แต่ไม่เกิน 200,000 บาท จำนวน : ลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท เงื่อนไข • บิดา-มารดาต้องไม่มีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ขอหักลดหย่อนเกิน 30,000 บาทขึ้นไป • บิดาหรือมารดาต้องอยู่ในไทยไม่ต่ำกว่า 180 วัน ในปีภาษีนั้น • ลูกที่จะใช้สิทธิต้องเป็นบุตรตามกฎหมายเท่านั้น บุตรบุญธรรมไม่สามารถใช้สิทธิได้ • ลูกสามารถใช้สิทธิได้หลายคน โดยหารเฉลี่ยกัน เช่น ลูก 2 คน ร่วมกันซื้อประกันสุขภาพให้บิดา จำนวน 15,000 บาท ดังนั้นลูกแต่ละคนสามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพบิดาไปลดหย่อนภาษีได้คนละ 7,500 บาท อย่างไรก็ตาม แบบประกันสุขภาพของบิดา-มารดาที่นำมาลดหย่อนภาษีได้จะต้องเป็นความคุ้มครองด้านใดด้านหนึ่งใน 4 ด้านเท่านั้น คือ • คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล หรือจ่ายเงินชดเชย จากการเจ็บป่วยทั่วไป • คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล หรือจ่ายเงินชดเชย จากกรณีอุบัติเหตุ • คุ้มครองกรณีที่เป็นโรคร้ายแรง • ประกันคุ้มครองการพยาบาลสำหรับการเจ็บป่วยระยะยาว (Long Term Care) หมายเหตุ : ในปี 2563 จะมีการปรับเงื่อนไข RMF ใหม่ ให้สามารถซื้อ RMF เพื่อลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 500,000 บาท และไม่มีขั้นต่ำในการซื้อ จำนวน : ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินปีละ 10,000 บาท ส่วนจำนวนเงินที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 15% ของรายได้ และไม่เกิน 490,000 บาท จะได้รับยกเว้น ไม่ต้องนำไปรวมกับเงินได้ที่ต้องเสียภาษี เงื่อนไข : • เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เมื่อรวมกับ RMF, กบข., กองทุนครูโรงเรียนเอกชน, ประกันชีวิตแบบบำนาญ, กองทุนการออมแห่งชาติ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท จำนวน : ลดหย่อนภาษีได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี เงื่อนไข : • เมื่อรวมกับ RMF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนครูโรงเรียนเอกชน, ประกันชีวิตแบบบำนาญ, กองทุนการออมแห่งชาติ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท จำนวน : ลดหย่อนภาษีได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี เงื่อนไข : • เมื่อรวมกับ กบข., RMF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, ประกันชีวิตแบบบำนาญ, กองทุนการออมแห่งชาติ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท จำนวน : ตามจำนวนที่จ่ายจริง สูงสุดปีละ 13,200 บาท เงื่อนไข : • เมื่อรวมกับ กบข., RMF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, ประกันชีวิตแบบบำนาญ, กองทุนครูโรงเรียนเอกชน ต้องไม่เกิน 500,000 บาท จำนวน : ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท เงื่อนไข : • ดอกเบี้ยจากเงินกู้การเช่าซื้อบ้าน คอนโด หรือที่อยู่อาศัย • ต้องเป็นการกู้ยืมจากสถาบันการเงินภายในประเทศ เช่น ธนาคารพาณิชย์และธนาคารของรัฐต่าง ๆ โดยทรัพย์สินที่กู้ต้องใช้มาเป็นหลักในการค้ำประกันการกู้ (จำนอง) ด้วย • ต้องเป็นการกู้เพื่อซื้อหรือสร้างที่อยู่บนที่ดินของตัวเอง หรือกู้เพื่อซื้อคอนโดมิเนียม • หากมีการกู้สำหรับที่อยู่อาศัยมากกว่า 1 แห่ง สามารถใช้ลดหย่อนรวมกันได้ทุกแห่ง แต่ต้องไม่เกิน 100,000 บาท • กรณีกู้ร่วมกันหลายคน ก็ให้แบ่งดอกเบี้ยคนละเท่า ๆ กัน แต่รวมแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนเช่นกัน จำนวน : ไม่เกิน 200,000 บาท เช่น หากเราซื้อบ้านราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท สามารถใช้สิทธิ์หักลดหย่อนภาษีได้ทันที 200,000 บาท แบ่งเป็นกลุ่มเงินบริจาคที่ลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า และกลุ่มเงินบริจาคที่ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง จำนวน : ตามที่บริจาคจริง แต่ต้องไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอย่างอื่น เงื่อนไข : • ต้องเป็นการบริจาคผ่านหน่วยงานส่วนราชการ องค์กรของรัฐบาล องค์การ หรือสถานสาธารณกุศล หรือผ่านเอกชนที่เป็นตัวแทนรับบริจาคที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมสรรพากร • มีใบเสร็จรับเงินเป็นหลักฐานลดหย่อนภาษี จำนวน : ตามจำนวนที่บริจาคจริง แต่รวมกันแล้วไม่เกิน 10,000 บาท จำนวน : ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท เงื่อนไข : • เป็นการซื้อสินค้าเพื่อการศึกษาและกีฬา ประกอบด้วย อุปกรณ์การศึกษา แต่ไม่รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, เครื่องแต่งกายสำหรับการศึกษา, อุปกรณ์กีฬา (ไม่รวมอุปการณ์สำหรับกีฬาอิเล็กทรอนิกส์) และเครื่องแต่งกายสำหรับการเล่นกีฬา • ซื้อสินค้าระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม - 30 มิถุนายน 2562 • มีใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปเป็นหลักฐาน จำนวน : เมื่อรวมกับการซื้อหนังสือในโครงการช้อปช่วยชาติ 2561 ในช่วงวันที่ 1-16 มกราคม 2562 ต้องไม่เกิน 15,000 บาท เช่น ช่วงวันที่ 1-16 มกราคม 2562 ได้ซื้อหนังสือในโครงการช้อปช่วยชาติไปแล้ว 3,000 บาท จะเหลือวงเงินที่สามารถซื้อหนังสือเพื่อขอลดหย่อนภาษีตลอดทั้งปีได้อีกเพียง 12,000 บาท เงื่อนไข : • สามารถซื้อได้ทั้งหนังสือที่เป็นสิ่งพิมพ์ (ทุกประเภท ยกเว้นนิตยสารและหนังสือพิมพ์) รวมทั้ง e-Book • ต้องซื้อจากร้านที่เป็นบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลซึ่งประกอบกิจการในประเทศไทย และออกใบเสร็จรับเงิน หรือใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปได้ • ซื้อสินค้าระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2562 จำนวน : ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท เงื่อนไข : • ต้องซื้อจากร้านค้าโอทอปที่ลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชน • ซื้อสินค้าระหว่างวันที่ 30 เมษายน - 30 มิถุนายน 2562 • มีใบเสร็จรับเงิน หรือใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปที่ระบุว่าเป็นรายการซื้อสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ จำนวน : • ค่าซ่อมแซมอสังหาริมทรัพย์ หรือค่าวัสดุ หรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมอาคาร หรือห้องชุด ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท • ค่าซ่อมแซมรถ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกในรถ ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท เงื่อนไข : • เป็นผู้ประสบเหตุอุทกภัยจากพายุปาบึก ที่เกิดขึ้นช่วงวันที่ 3-7 มกราคม 2562 • ต้องมีการใช้จ่ายเพื่อซ่อมแซมระหว่างวันที่ 3 มกราคม - 31 มีนาคม 2562 จำนวน : • ค่าซ่อมแซมทรัพย์สิน รถ หรืออุปกรณ์ ลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท • ค่าซ่อมแซมอสังหาริมทรัพย์ ครอบคลุมบ้าน บ้านเช่า ลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกิน 100,000 บาท กรณีที่เจ้าของบ้านมีบ้านหลายหลังให้นำบิลมารวมกันและขอลดหย่อนภาษีในครั้งเดียว เงื่อนไข : • สำหรับผู้ประสบภัยน้ำท่วม 32 จังหวัด ในพื้นที่ที่ประกาศเขตภัยพิบัติจากพายุโพดุล พายุคาจิกิ และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ • ต้องมีการใช้จ่ายเพื่อซ่อมแซมระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม - 30 พฤศจิกายน 2562 • ผู้มีเงินได้ต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ผู้เช่า หรือผู้ใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินนั้น เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย ใช้ประกอบกิจการ หรือใช้ประโยชน์อื่น หรือต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือผู้เช่าซื้อรถนั้น • กรณีจ่ายค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมทรัพย์สินมากกว่า 1 แห่ง ให้รวมคำนวณค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมทรัพย์สินทุกแห่งเข้าด้วยกัน • กรณีจ่ายค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมรถ หรืออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกในรถมากกว่า 1 คัน ให้รวมคำนวณค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมรถทุกคันเข้าด้วยกัน * กรณีผู้มีเงินได้เป็นผู้พิการ ที่มีบัตรประจำตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นผู้อยู่ในไทย และมีอายุไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์ ในปีภาษี จะได้รับยกเว้นเงินได้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 190,000 บาท ในปีภาษีนั้น * กรณีเป็นผู้สูงอายุ มีอายุไม่ต่ำกว่า 65 ปีบริบูรณ์ ในปีภาษี จะได้รับยกเว้นเงินได้เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 190,000 บาท ในปีภาษีนั้น * กรณีมีเครดิตภาษีเงินปันผล สำหรับคนที่ลงทุนในหุ้น ใช้ยกเว้นภาษีได้ตามสัดส่วนที่ได้รับจากเงินปันผล โดยแนะนำให้สมัครสมาชิกที่เว็บไซต์ ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แล้วดาวน์โหลดเอกสารไปใช้ยื่นสรรพากร โดยที่เราไม่ต้องคำนวณให้ยุ่งยาก หรือหากยื่นภาษีทางออนไลน์ ก็สามารถดาวน์โหลดไฟล์ไปใส่ในเว็บไซต์ยื่นภาษีออนไลน์ของกรมสรรพากรได้เลย สำหรับใครที่เคยซื้อสินค้าหรือบริจาคหน่วยงานไหนไว้แล้วสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ อย่าลืมเก็บเอกสารต่าง ๆ ให้พร้อม เพื่อนำมาเป็นหลักฐานในการคำนวณภาษีและยื่นภาษี * หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 13 ธันวาคม 2562 ขอบคุณข้อมูลจาก กรมสรรพากร
แสดงความคิดเห็น