ช่วงเดือนธันวาคมจนถึงเดือนมีนาคมของทุกปีเป็นช่วงเวลาที่ใครหลายคนรอคอย เพราะบริษัทจะจ่ายเงินโบนัสให้กับพนักงานเพื่อเป็นรางวัลสำหรับความตั้งใจทุ่มเททำงานมาตลอดทั้งปี และเมื่อได้รับเงินโบนัสก้อนโตแล้ว หลายคนมักจะนำเงินไปใช้กับการช้อปปิ้งหรือเที่ยวต่างประเทศจนหมด หากไม่อยากให้เงินโบนัสของเราต้องหมดไปอย่างรวดเร็วกับสิ่งเหล่านี้ K-Expert มีแนวทางในการบริหารและใช้เงินโบนัสให้เกิดประโยชน์สูงสุดมาฝาก ไปติดตามกันค่ะ
แนวทางการบริหารเงินโบนัส
คนที่มีหนี้บัตรเครดิตหรือบัตรกดเงินสด การนำเงินโบนัสไปชำระหนี้ถือเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอันดับแรกเลยค่ะ เนื่องจากหนี้บัตรเครดิตหรือบัตรกดเงินสดมีอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 20-28% ต่อปี การชำระหนี้ดังกล่าวจึงช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของเราลงได้ในระยะยาว และหากเป็นไปได้ แนะนำให้นำเงินโบนัสไปชำระหนี้ทั้งหมดก่อนที่จะนำเงินไปใช้จ่ายซื้อของที่อยากได้หรือท่องเที่ยวค่ะ
2. ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี
สำหรับคนที่มีภาระต้องจ่ายภาษี ช่วงเดือนธันวาคมถือเป็นโค้งสุดท้ายในการลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพื่อช่วยลดหย่อนภาษี โดยก่อนการลงทุน แนะนำให้ตรวจสอบยอดเงินที่สามารถลงทุนได้ ซึ่งยอดเงินลงทุนในกองทุนแต่ละประเภทต้องไม่เกิน 15% ของรายได้ทั้งปีที่ต้องเสียภาษี และสำหรับกองทุนรวม RMF ยอดเงินลงทุนเมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และประกันชีวิตแบบบำนาญแล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาทค่ะ
อย่างไรก็ตาม การซื้อกองทุนรวม LTF ในเดือนธันวาคมเพียงเดือนเดียวอาจทำให้ซื้อหน่วยลงทุนได้ในราคาที่สูงกว่าการกระจายการลงทุนไปตลอดทั้งปี จึงแนะนำให้ลงทุนแบบรายเดือนสม่ำเสมอ (Dollar Cost Averaging) เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนค่ะ
3. ชำระหนี้สินเชื่อบ้านมากขึ้น
ส่วนคนที่กำลังผ่อนบ้านอยู่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ดอกเบี้ยบ้านทำให้เรามีภาระค่าใช้จ่ายในการผ่อนบ้านที่สูงขึ้น การนำเงินโบนัสส่วนหนึ่งมาชำระหนี้สินเชื่อบ้านมากขึ้นจะช่วยให้เงินต้นของยอดหนี้ลดลงไป ซึ่งจะทำให้ภาระผ่อนบ้านหมดเร็วขึ้นค่ะ
4. สำรองเงินเพื่อเป็นสภาพคล่องเผื่อฉุกเฉิน
เราควรมีการกันเงินสำรองไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน 6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน โดยให้กันเงินไว้ในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ หรือกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งหากมีเหตุการณ์ฉุกเฉินที่จำเป็นต้องใช้เงินขึ้นมา เช่น อุบัติเหตุ เจ็บป่วย หรือต้องออกจากงาน เงินสำรองในส่วนนี้จะช่วยให้ภาระต่าง ๆ บรรเทาลงไป และยังช่วยให้ไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินเพื่อนำมาชำระค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดฝันเหล่านี้ค่ะ
5. เริ่มออมและลงทุนเพื่อเป้าหมายที่ต้องการ
เชื่อว่าหลายคนมีเป้าหมายทางการเงินในใจ และเป้าหมายทางการเงินของแต่ละคนก็มักแตกต่างกัน เช่น คนโสดอาจมีเป้าหมายที่จะซื้อบ้านหรือรถยนต์ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ส่วนคนที่มีครอบครัวแล้วอาจมีเป้าหมายการออมเงินเพื่อการศึกษาบุตร เงินโบนัสก้อนโตที่ได้รับจึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเริ่มออมเงินเพื่อเป้าหมายที่ต้องการ เมื่อเริ่มออมหรือลงทุนจากเงินโบนัสแล้ว หลังจากนั้นก็สามารถออมเงินหรือลงทุนเป็นรายเดือนอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ การเลือกผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้เหมาะสมกับเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญ หากเป็นเป้าหมายระยะสั้น (1-3 ปี) แนะนำให้ออมเงินในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น เงินฝาก กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น กองทุนตราสารหนี้แบบกำหนดระยะเวลา เป็นต้น แต่หากเป็นเป้าหมายระยะยาว แนะนำให้ลงทุนในตราสารทางการเงินที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น เพื่อโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่สูง เช่น หุ้น ทองคำ ทั้งนี้ อย่าลืมทำแบบทดสอบความเสี่ยงเพื่อให้ทราบว่า ตัวเราเองสามารถรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหนด้วยนะคะ
หวังว่าวิธีการบริหารเงินโบนัสที่แนะนำจะเป็นแนวทางให้หลาย ๆ คนนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวเอง โดยสามารถแบ่งเงินส่วนหนึ่งมาปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้น และเงินอีกส่วนหนึ่งสามารถนำไปซื้อสินค้าที่เราต้องการเพื่อเป็นรางวัลจากการทำงานหนักได้ เพียงเท่านี้เงินโบนัสของเราก็จะมีคุณค่าเพิ่มมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมาค่ะ
K-Expert Action
• นำเงินโบนัสไปชำระหนี้บัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดให้เร็วที่สุด เพื่อลดภาระหนี้และภาระดอกเบี้ย
• วางแผนซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีตั้งแต่ต้นปี
• ใช้เงินโบนัสให้รางวัลกับตัวเองเป็นลำดับสุดท้าย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก