ทนายเผยข่าวดี โดนแฮกบัตร ผู้บริโภคไม่ต้องจ่าย ฎีกา 2624/2568 ชี้ชัด ภาระการพิสูจน์ อยู่ที่ธนาคาร แนะข้อควรระวัง และสิ่งสำคัญที่ต้องทำหลังถูกแฮกบัตร มิเช่นนั้นอาจต้องรับผิด
![โดนแฮกบัตร โดนแฮกบัตร]()
ล่าสุด (20 ธันวาคม 2568) เฟซบุ๊ก ทนายแก้ว ได้เผยข่าวที่ทำให้ผู้ใช้บัตรเครดิตต่างยินดี หลังฎีกา 2624/2568 ชี้ชัดว่า "ภาระการพิสูจน์" อยู่ที่ "ธนาคาร" ส่งผลให้ผู้บริโภคที่ถูกแฮกบัตรเครดิต "ไม่ต้องจ่าย" ต่อยอดการรูดบัตรที่เกิดจากการถูกแฮก
โดยระบุว่า "ฎีกาใหม่ ! คนถือบัตรเครคิตมีเฮ ๆๆ เน้นว่าเมื่อ ถูกแฮกต้องไปแจ้งความโดยด่วน ฎีกานี้วางหลักสวยมาก ๆ คนถือบัตรไม่ต้องจ่าย แต่ต้องดูเทียบเคียงแต่ละข้อเท็จจริงด้วยเพราะอาจแตกต่างกันได้"
โดยสรุปข้อมูล ดังนี้
- เกิดเหตุการณ์ ยอดรูดปริศนาโผล่ : เหยื่อไปแจ้งความ หากไม่ได้ใช้ แต่ธนาคารทวงเงิน อ้างสัญญา
- คำตัดสิน ธนาคารต้องพิสูจน์ : ภาระการพิสูจน์เป็นของธนาคาร ที่ต้องพิสูจน์ว่า "เจ้าของบัตรได้ใช้จริงหรือไม่ ?" เพราะธนาคารเป็นผู้จัดทำระบบยืนยันตัวตน และได้รับประโยชน์จากการให้บริการนี้
- ผลลัพธ์ พิสูจน์ไม่ได้ = ยกฟ้อง : ศาลยกฟ้อง เจ้าของบัตรไม่ต้องรับผิดชอบ
ข้อควรระวัง สิ่งที่ต้องทำเมื่อถูกแฮกบัตรเครดิต
1. รู้ตัวปุ๊บ แจ้งความปั๊บ ! เพื่อเป็นหลักฐาน
2. อย่าประมาทเลินเล่ออย่างร้ายเร่ง (เช่น การบอก OTP) อาจต้องรับผิด
![โดนแฮกบัตร โดนแฮกบัตร]()
ขณะที่ทางเพจ ทนายคลายทุกข์ ได้ออกมาเล่าคดีบัตรเครดิต ที่ศาลยกฟ้องเพราะผู้ถือบัตรไม่ได้ใช้บัตร
ฎีกาที่ 2624/2568 โดยระบุว่า กรณีที่เราใช้บัตรเครดิตของธนาคาร
บางครั้งเราอาจถูกมิจฉาชีพมาดูดข้อมูลไป
ลักลอบเอาข้อมูลบัตรเครดิตไปใช้รูดซื้อสินค้า
จากนั้นปรากฏว่าเหยื่อพบว่าไม่ได้ใช้บัตร แต่กลับถูกทางธนาคารฟ้อง
ทำให้เหยื่อต้องชดใช้เงินแก่ธนาคาร ซึ่งก็ฟังดูไม่เป็นธรรม
เนื่องจากทุกวันนี้มิจฉาชีพเยอะ ระบบต่าง ๆ ของธนาคารก็ไม่รัดกุม
ทำให้โดนคนร้ายแฮกข้อมูลบ้าง ขโมยข้อมูลบ้าง
แต่ปรากฏว่า คำพิพากษาฎีกาที่ 2624/2568 ตัดสินว่า จำเลยเป็นผู้ถือบัตรเครดิตของธนาคารของโจทย์ และปรากฏว่ามียอดการใช้เงินประมาณ 2 แสนกว่าบาท ทางจำเลยต่อสู้ว่าไม่ได้ใช้ แต่ถูกคนร้ายนำข้อมูลไปรูดบัตร ลายมือชื่อที่ใช้ในการซื้อของก็ไม่ใช่ของจำเลย โดยมีการไปแจ้งความแล้ว

เป็นภัยมืดที่ไม่ใช่เรื่องใกล้ตัวอีกต่อไป
ในยุคที่การรูดบัตรเครดิตทางออนไลน์ทำได้ง่าย
แต่กลับไม่ยากที่จะถูกมิจฉาชีพแฮกบัตรเครดิต จนเกิดความเสียหายจำนวนมาก
และหลาย ๆ
ครั้งที่เหยื่อถูกกดดันให้เป็นฝ่ายรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น
ทั้งที่ไม่ได้เป็นคนนำบัตรไปใช้
ล่าสุด (20 ธันวาคม 2568) เฟซบุ๊ก ทนายแก้ว ได้เผยข่าวที่ทำให้ผู้ใช้บัตรเครดิตต่างยินดี หลังฎีกา 2624/2568 ชี้ชัดว่า "ภาระการพิสูจน์" อยู่ที่ "ธนาคาร" ส่งผลให้ผู้บริโภคที่ถูกแฮกบัตรเครดิต "ไม่ต้องจ่าย" ต่อยอดการรูดบัตรที่เกิดจากการถูกแฮก
โดยระบุว่า "ฎีกาใหม่ ! คนถือบัตรเครคิตมีเฮ ๆๆ เน้นว่าเมื่อ ถูกแฮกต้องไปแจ้งความโดยด่วน ฎีกานี้วางหลักสวยมาก ๆ คนถือบัตรไม่ต้องจ่าย แต่ต้องดูเทียบเคียงแต่ละข้อเท็จจริงด้วยเพราะอาจแตกต่างกันได้"
โดยสรุปข้อมูล ดังนี้
- เกิดเหตุการณ์ ยอดรูดปริศนาโผล่ : เหยื่อไปแจ้งความ หากไม่ได้ใช้ แต่ธนาคารทวงเงิน อ้างสัญญา
- คำตัดสิน ธนาคารต้องพิสูจน์ : ภาระการพิสูจน์เป็นของธนาคาร ที่ต้องพิสูจน์ว่า "เจ้าของบัตรได้ใช้จริงหรือไม่ ?" เพราะธนาคารเป็นผู้จัดทำระบบยืนยันตัวตน และได้รับประโยชน์จากการให้บริการนี้
- ผลลัพธ์ พิสูจน์ไม่ได้ = ยกฟ้อง : ศาลยกฟ้อง เจ้าของบัตรไม่ต้องรับผิดชอบ
ข้อควรระวัง สิ่งที่ต้องทำเมื่อถูกแฮกบัตรเครดิต
1. รู้ตัวปุ๊บ แจ้งความปั๊บ ! เพื่อเป็นหลักฐาน
2. อย่าประมาทเลินเล่ออย่างร้ายเร่ง (เช่น การบอก OTP) อาจต้องรับผิด

ภาพจาก เฟซบุ๊ก ทนายแก้ว
แต่ปรากฏว่า คำพิพากษาฎีกาที่ 2624/2568 ตัดสินว่า จำเลยเป็นผู้ถือบัตรเครดิตของธนาคารของโจทย์ และปรากฏว่ามียอดการใช้เงินประมาณ 2 แสนกว่าบาท ทางจำเลยต่อสู้ว่าไม่ได้ใช้ แต่ถูกคนร้ายนำข้อมูลไปรูดบัตร ลายมือชื่อที่ใช้ในการซื้อของก็ไม่ใช่ของจำเลย โดยมีการไปแจ้งความแล้ว
ปรากฏว่าโจทย์ไม่ยอมค้นหาความจริง
ทั้งที่โจทย์ควรต้องพยายามพิสูจน์หาความจริงว่าคนที่นำบัตรไปใช้เป็นใคร
ด่้วยเหตุนี้เมื่อโจทย์ไม่ดำเนินการพิสูจน์ความจริง ศาลจึงพิพากษายกฟ้อง
จำเลยไม่ต้องรับผิด คดีนี้ผู้บริโภคไม่ต้องรับผิดแม้แต่บาทเดียว
ซึ่งเป็นแนวทางในการต่อสู้คดีอื่น ๆ ได้






