ประกันสังคม เยียวยาผู้ประกันตน ของขวัญรับปีใหม่ 2564 จัดให้เพียบ... เพิ่มเงินสงเคราะห์บุตร เป็นเดือนละ 800 เพิ่มค่าฝากครรภ์ - ค่าคลอดบุตร แถมลดเงินสมทบ มาตรา 33 เหลือเดือนละ 450 และเงินชดเชยกรณีว่างงาน
วันที่ 24 ธันวาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 โดยที่ประชุมเห็นชอบเรื่องการเพิ่มสิทธิประโยชน์เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2564 แก่ผู้ประกันตนในระบบกองทุนประกันสังคม มาตรา 33 และมาตรา 39 ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ เป็นของขวัญ 4 ชิ้น ให้ผู้ประกันตน ดังนี้
1. เพิ่มเงินสงเคราะห์บุตร
- ให้ผู้ประกันตน ที่มีบุตรอายุตั้งแต่แรกเกิด ถึง 6 ปี
- ได้รับเงินเพิ่มจาก 600 บาท เป็น 800 บาทต่อคน โดยจ่ายคราวละไม่เกิน 3 คน
- มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป
- ผู้ประกันตนจะได้รับเงินสงเคราะห์บุตรที่ปรับเพิ่มของงวดเดือนมกราคม 2564 ตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 เป็นต้นไป
โดยจะมีผู้ประกันตนได้รับประโยชน์ จำนวน 1.362 ล้านคน คิดเป็นเงิน 13,739 ล้านบาทต่อปี ใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นจากเดิม 3,432 ล้านบาท ทั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกันตนที่มีบุตร
2. เพิ่มค่าคลอดบุตร
- ปรับค่าคลอดบุตรเป็น 15,000 บาท จากเดิม 13,000 บาท
- มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป
โดยการดำเนินการในครั้งนี้เป็นไปตามประกาศ คณะกรรมการการแพทย์ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการประกันสังคม เรื่องหลักเกณฑ์และอัตราค่าส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค สำหรับประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย อันมิใช่เนื่องจากการทำงาน พ.ศ. 2563
ในปี 2564 คาดว่า มีผู้ประกันตนที่ได้รับประโยชน์ทดแทนจากกรณีคลอดบุตร 293,073 คนต่อปี คิดเป็นเงิน 4,396 ล้านบาท สำนักงานประกันสังคม จ่ายเงินงบประมาณเพิ่มขึ้น 586.146 ล้านบาท
3. เพิ่มค่าฝากครรภ์
- มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป
โดยคาดว่าจะมีผู้ประกันตนได้รับสิทธิประมาณ 122,114 ครั้งต่อปี เป็นเงิน 36.6 ล้านบาท สำนักงานประกันสังคมจ่ายเงินงบประมาณเพิ่มขึ้น 17.89 ล้านบาท
4. ปรับลดเงินสมทบประกันสังคม
- ลดเงินสมทบฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายผู้ประกันตน มาตรา 33 เหลือร้อยละ 3 (450 บาท)
- ลดเงินสมทบผู้ประกันตน มาตรา 39 ลดเหลือ 278 บาท
- ปรับลดเป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม - มีนาคม 2564
ทั้งนี้ เพื่อช่วยเหลือนายจ้างและผู้ประกันตน ที่ยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของนายจ้างและผู้ประกันตน ในการจ่ายเงินสมทบ รวมเป็นเงิน 15,660 ล้านบาท
5. สิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน เนื่องจากโควิด 19
- ได้รับประโยชน์ทดแทน ในกรณีว่างงาน ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวัน
- จะได้รับตลอดระยะเวลาที่รัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐ สั่งปิดพื้นที่
- มีผลบังคับใช้ 19 ธันวาคม 2563
โดยมีเงื่อนไข คือ ภายในระยะเวลา 1 ปีปฏิทิน มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย ทุกครั้งรวมกันไม่เกิน 90 วัน ทั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้ใช้สิทธิจำนวน 700,727 ครั้ง ได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย คิดรวมเป็นเงินกว่า 5,225 ล้านบาท
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มในตอนท้ายว่า ซึ่งการมอบของขวัญปีใหม่ 2564 ในครั้งนี้ เป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ รวมถึงนโยบายเร่งด่วนของกระทรวงแรงงาน โดยเฉพาะด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม เพื่อให้ครอบคลุมการดูแลบริการและสิทธิประโยชน์ของวัยแรงงานทุกกลุ่มทุกวัย
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน

วันที่ 24 ธันวาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 โดยที่ประชุมเห็นชอบเรื่องการเพิ่มสิทธิประโยชน์เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2564 แก่ผู้ประกันตนในระบบกองทุนประกันสังคม มาตรา 33 และมาตรา 39 ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ เป็นของขวัญ 4 ชิ้น ให้ผู้ประกันตน ดังนี้
1. เพิ่มเงินสงเคราะห์บุตร

- ให้ผู้ประกันตน ที่มีบุตรอายุตั้งแต่แรกเกิด ถึง 6 ปี
- ได้รับเงินเพิ่มจาก 600 บาท เป็น 800 บาทต่อคน โดยจ่ายคราวละไม่เกิน 3 คน
- มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป
- ผู้ประกันตนจะได้รับเงินสงเคราะห์บุตรที่ปรับเพิ่มของงวดเดือนมกราคม 2564 ตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 เป็นต้นไป
โดยจะมีผู้ประกันตนได้รับประโยชน์ จำนวน 1.362 ล้านคน คิดเป็นเงิน 13,739 ล้านบาทต่อปี ใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นจากเดิม 3,432 ล้านบาท ทั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกันตนที่มีบุตร
2. เพิ่มค่าคลอดบุตร

- ปรับค่าคลอดบุตรเป็น 15,000 บาท จากเดิม 13,000 บาท
- มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป
โดยการดำเนินการในครั้งนี้เป็นไปตามประกาศ คณะกรรมการการแพทย์ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการประกันสังคม เรื่องหลักเกณฑ์และอัตราค่าส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค สำหรับประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย อันมิใช่เนื่องจากการทำงาน พ.ศ. 2563
ในปี 2564 คาดว่า มีผู้ประกันตนที่ได้รับประโยชน์ทดแทนจากกรณีคลอดบุตร 293,073 คนต่อปี คิดเป็นเงิน 4,396 ล้านบาท สำนักงานประกันสังคม จ่ายเงินงบประมาณเพิ่มขึ้น 586.146 ล้านบาท
3. เพิ่มค่าฝากครรภ์

ภาพจาก Patchareeloveson / Shutterstock.com
- ปรับเพิ่มค่าฝากครรภ์ เป็น 5 ครั้ง รวมเป็น 1,500 บาท จากเดิม 3 ครั้ง 1,000 บาท- มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป
โดยคาดว่าจะมีผู้ประกันตนได้รับสิทธิประมาณ 122,114 ครั้งต่อปี เป็นเงิน 36.6 ล้านบาท สำนักงานประกันสังคมจ่ายเงินงบประมาณเพิ่มขึ้น 17.89 ล้านบาท
4. ปรับลดเงินสมทบประกันสังคม

- ลดเงินสมทบฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายผู้ประกันตน มาตรา 33 เหลือร้อยละ 3 (450 บาท)
- ลดเงินสมทบผู้ประกันตน มาตรา 39 ลดเหลือ 278 บาท
- ปรับลดเป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม - มีนาคม 2564
ทั้งนี้ เพื่อช่วยเหลือนายจ้างและผู้ประกันตน ที่ยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของนายจ้างและผู้ประกันตน ในการจ่ายเงินสมทบ รวมเป็นเงิน 15,660 ล้านบาท
5. สิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน เนื่องจากโควิด 19

ภาพจาก Sushiman / Shutterstock.com
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน เนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจาการระบาดของโรคติดต่ออันตราย ตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยสาระของร่างดังกล่าว กำหนดให้ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตน ที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย และหน่วยงานของรัฐสั่งปิดพื้นที่เพื่อป้องกันการระบาดของโรคติดต่ออันตราย ตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ เป็นผลกระทบให้ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนไม่ได้ทำงาน และไม่ได้รับค่าจ้างในระหว่างนั้น โดยให้ลูกจ้างดังกล่าวซึ่งไม่ได้รับค่าจ้างดังกล่าว มีสิทธิดังนี้...- ได้รับประโยชน์ทดแทน ในกรณีว่างงาน ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวัน
- จะได้รับตลอดระยะเวลาที่รัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐ สั่งปิดพื้นที่
- มีผลบังคับใช้ 19 ธันวาคม 2563
โดยมีเงื่อนไข คือ ภายในระยะเวลา 1 ปีปฏิทิน มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย ทุกครั้งรวมกันไม่เกิน 90 วัน ทั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้ใช้สิทธิจำนวน 700,727 ครั้ง ได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย คิดรวมเป็นเงินกว่า 5,225 ล้านบาท
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มในตอนท้ายว่า ซึ่งการมอบของขวัญปีใหม่ 2564 ในครั้งนี้ เป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ รวมถึงนโยบายเร่งด่วนของกระทรวงแรงงาน โดยเฉพาะด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม เพื่อให้ครอบคลุมการดูแลบริการและสิทธิประโยชน์ของวัยแรงงานทุกกลุ่มทุกวัย