เที่ยวเก่งแล้วไง ไม่มีปัญหาเรื่องเงินให้เพลียใจก็แล้วกัน ใครอยากมีเงินไปเที่ยวแบบสบายใจ ใช้จ่ายในชีวิตทั่วไปก็ราบรื่น ลองมาดูวิธีบริหารเงินแบบบ้าน ๆ ตามรีวิวนี้กัน
อยากไปเที่ยวได้บ่อย ๆ แบบไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเงิน ก็ต้องเก็บเงินให้ได้เยอะ ๆ แค่นั้นเองจริงไหมล่ะ ว่าแต่เราจะมีวิธีบริหารเงินยังไง ในเมื่อค่าใช้จ่ายรอบตัวจุกจิกไปหมด นู่นก็ต้องจ่าย นี่ก็ต้องใช้เงิน หันมาอีกทีก็เดือนชนเดือน ไม่เหลือเงินไปเที่ยวอย่างที่แพลนไว้แล้วล่ะ เอ๊...หรือเราจะลองบริหารการเงินใหม่ดูสักที เหมือนอย่างที่ คุณผู้หญิงคนเดียวก็เที่ยวได้ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม เขามาแชร์ประสบการณ์บริหารเงินสไตล์มนุษย์เงินเดือนง่าย ๆ แถมยังมีเงินเพียงพอสำหรับออกไปท่องโลกกว้างด้วย ตามนี้ล่ะ
วิธีบริหารเงินสำหรับมนุษย์เงินเดือนบ้าเที่ยว (ฉบับบ้าน ๆ) โดย คุณผู้หญิงคนเดียวก็เที่ยวได้ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
คำว่า บ้าเที่ยว นี่คือขนาดไหน ?
ก็คือปกติจะแพลนทริปยันจบปีไว้ล่วงหน้า บางทีเลยไปถึงปีถัดไป กิจกรรมยามว่าง คือ นั่งเช็กตั๋วเครื่องบินและที่พัก ถ้าเจอโปรตั๋วถูกบางทีก็มือลั่นไม่รู้ตัว รู้อีกทีคือตัดบัตรไปแล้ว 555
เชื่อว่าหลายคนฝันจะมีโอกาสได้เดินทางรอบโลก (เราเองก็เหมือนกัน) ปัญหาคือถ้าเราไม่รวยล่ะจะทำยังไง ?
เราเองเริ่มเดินทางจริงจังตอนอายุ 22 ปีค่ะ (ตอนนี้อายุ 28 ปี) ตอนนั้นเป็นนักศึกษาแต่อยากไปเที่ยว เลยทำงานพิเศษหาเงินสมทบทุนท่องเที่ยวโดยการเป็นล่ามและไกด์ตอนสมัยอยู่ต่างประเทศ จำได้ว่าก่อนหน้านั้นเคยไปเที่ยวต่างประเทศแค่ 3 ประเทศ คือ เยอรมนี, สิงคโปร์ และรัสเซีย ตั้งใจทำงาน และหาเงินมาก ๆ เพราะความสุขของเราคือการได้เดินทางไปที่ต่าง ๆ ใช้เงินส่วนใหญ่ในชีวิตไปกับการท่องเที่ยว จนเวลาผ่านไป 6 ปี ด้วยความบ้าท่องเที่ยวเลยได้แผนที่ที่เคยไปแผ่นนี้มา
คำถามที่ถูกถามบ่อยที่สุดคงจะเป็น "ไปเอาเงินที่ไหนมาเที่ยว ?"
เราเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดา บ้านไม่ได้มีฐานะร่ำรวยค่ะ เน้นการบริหารเงินและหลักการที่ว่าถ้าอยากให้เงินงอกเงยต้องลงทุนและหาเงินเพิ่มค่ะ
ตอนนี้ทำงานประจำมาได้เกือบ 3 ปีละค่ะ เข้าใจมนุษย์เงินเดือนดีว่ามีสิ่งยั่วยุหลายสิ่ง ทั้งค่าสังคม, ค่าบุฟเฟ่ต์ชาบู, ค่าเครื่องสำอาง, ค่าเสื้อผ้า ไม่แปลกที่จะใช้เงินเดือนชนเดือน แต่ถ้าเรารู้จักการบริหารเงินให้ดีเราจะมีเงินสำหรับท่องเที่ยวตลอดเวลาค่ะ ซึ่งแต่ละคนมีวิธีการบริหารเงินที่แตกต่างกันไป ที่จะนำเสนอวันนี้เป็นตัวอย่างของการบริหารเงินของเราเองที่ใช้ตั้งแต่เริ่มเป็นมนุษย์เงินเดือนค่ะ
จากการลองมาหลายวิธี เราคิดว่าไม่มีวิธีไหนผิด-ถูก มีแต่วิธีที่เหมาะสมกับเรามากที่สุด ถ้าใครยังไม่มีไอเดียหรือกำลังหาทางบริหารเงินลองเอาวิธีนี้ไปปรับใช้ดูนะคะ (เรายังโสด ที่บ้านไม่ได้มีหนี้สินหรือภาระอะไรที่ต้องใช้เงินแต่ละเดือนชำระเยอะ ๆ ค่ะ มีค่าบัตรเครดิตทั่วไป คนมีครอบครัวอาจจะต้องปรับสัดส่วนให้เหมาะสมกับรายจ่ายค่ะ)
ก่อนจะเริ่มใช้วิธีนี้ แนะนำให้มีเงินออมอย่างน้อย 6-12 เท่าของเงินเดือนเรา ก้อนนี้จะเอาไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินในชีวิตค่ะ
หลังจากนั้นจะเอาเงินเดือนมาแบ่งออกเป็น 5 ส่วนตั้งแต่เงินเดือนออก (ย้ำว่าแบ่งสัดส่วนก่อนใช้ แยกบัญชีเลยก็ได้ค่ะ) ดังนี้
1) ค่าใช้จ่ายส่วนตัว 50% : ค่าที่อยู่ ค่าอาหาร ค่าเดินทาง
2) ค่าใช้จ่ายจิปาถะหรือให้ที่บ้าน 5%
3) เงินสำหรับเก็บออม 5%
4) เงินสำหรับลงทุน 20%
5) เงินสำหรับท่องเที่ยว 20%
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัด ๆ คือ
สมมติเราได้เงินเดือน 30,000 บาท ก่อนอื่นคือต้องเก็บเงินให้ได้ 6-12 เท่าของเงินเดือนคือ 180,000–360,000 บาท อดทนหน่อยค่ะ ช่วงแรกอย่าเพิ่งฟุ่มเฟือย
หลังจากเก็บได้แล้วเงินเดือนแต่ละเดือนแบ่งออกเป็น 5 ส่วน
1) ค่าใช้จ่ายส่วนตัว 15,000 บาท
บริหารค่าที่อยู่ ค่าอาหาร ค่าเดินทาง (สมมติ เช่าอพาร์ตเมนต์เดือนละ 7,000 บาท ค่าอาหาร 6,000 บาท ค่าเดินทาง 2,000 บาท - เราไม่มีรถเป็นของตัวเองค่ะ)
2) ค่าใช้จ่ายจิปาถะ 1,500 บาท
อาจจะได้การ์ดงานแต่งคนนู้นคนนี้ ค่าสังคม, ช้อปปิ้งเสื้อผ้าหรือของที่อยากได้หรือให้ที่บ้าน
3) เงินออม 1,500 บาท
เงินก้อนนี้ควรเป็นการออมที่มีความเสี่ยงต่ำ เอาออกมาใช้ได้ง่าย กรณีมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น ฝากธนาคาร
4) เงินสำหรับลงทุน 6,000 บาท
เงินก้อนนี้รับความเสี่ยงได้มากกว่าก้อนข้างบนเพราะต้องการหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้น อาจจะเป็นการลงทุนในกองทุนรวม, ลงทุนในหุ้นหรือทำธุรกิจส่วนตัว
5) เงินสำหรับท่องเที่ยว 6,000 บาท
อาจจะดูเยอะสำหรับหลาย ๆ คน แต่สำหรับคนบ้าเที่ยวอย่างปอ ก้อนนี้จะทำให้เราไม่เดือดร้อนเวลาต้องการจัดทริปในแต่ละปีค่ะ ถ้าคิดเป็นก้อนรวมก็ตกปีละ 72,000 บาท ซึ่งอาจจะไปยุโรปได้ยาว ๆ ทริปนึง หรือแบ่งเป็นทริปเล็ก ๆ ไปเที่ยวไม่ไกลจากไทยได้หลายทริปมากเลยค่ะ เช่น ไปเที่ยวเวียดนามงบ 3 พันนิด ๆ (ดูรีวิวได้ที่ travelwithpor )
น่าจะพอเห็นภาพกันคร่าว ๆ แล้วนะคะ อยากบอกว่าสิ่งที่ยากที่สุดก็คือการทำให้การบริหารเงินนี้เกิดขึ้นจริงและอยู่กับเราไปตลอด ช่วงแรก ๆ อาจจะทรมานนิดนึงสำหรับคนที่ไม่เคยบริหารเงินมาก่อน แต่ถ้าเราใจเด็ดทำได้สัก 3 เดือน จะเริ่มภูมิใจและทำต่อไปได้เรื่อย ๆ
อย่าปล่อยให้ความฝันเป็นแค่ฝัน เราต้องลงมือทำมันให้เป็นจริงค่ะ
ป.ล. ใครมีวิธีบริหารเงินมาใช้ในการท่องเที่ยวยังไง แชร์ได้นะคะ เผื่อเราเอาไปปรับใช้บ้าง
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
คุณผู้หญิงคนเดียวก็เที่ยวได้ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม, travelwithpor
วิธีบริหารเงินสำหรับมนุษย์เงินเดือนบ้าเที่ยว (ฉบับบ้าน ๆ) โดย คุณผู้หญิงคนเดียวก็เที่ยวได้ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
คำว่า บ้าเที่ยว นี่คือขนาดไหน ?
ก็คือปกติจะแพลนทริปยันจบปีไว้ล่วงหน้า บางทีเลยไปถึงปีถัดไป กิจกรรมยามว่าง คือ นั่งเช็กตั๋วเครื่องบินและที่พัก ถ้าเจอโปรตั๋วถูกบางทีก็มือลั่นไม่รู้ตัว รู้อีกทีคือตัดบัตรไปแล้ว 555
เชื่อว่าหลายคนฝันจะมีโอกาสได้เดินทางรอบโลก (เราเองก็เหมือนกัน) ปัญหาคือถ้าเราไม่รวยล่ะจะทำยังไง ?
เราเองเริ่มเดินทางจริงจังตอนอายุ 22 ปีค่ะ (ตอนนี้อายุ 28 ปี) ตอนนั้นเป็นนักศึกษาแต่อยากไปเที่ยว เลยทำงานพิเศษหาเงินสมทบทุนท่องเที่ยวโดยการเป็นล่ามและไกด์ตอนสมัยอยู่ต่างประเทศ จำได้ว่าก่อนหน้านั้นเคยไปเที่ยวต่างประเทศแค่ 3 ประเทศ คือ เยอรมนี, สิงคโปร์ และรัสเซีย ตั้งใจทำงาน และหาเงินมาก ๆ เพราะความสุขของเราคือการได้เดินทางไปที่ต่าง ๆ ใช้เงินส่วนใหญ่ในชีวิตไปกับการท่องเที่ยว จนเวลาผ่านไป 6 ปี ด้วยความบ้าท่องเที่ยวเลยได้แผนที่ที่เคยไปแผ่นนี้มา
คำถามที่ถูกถามบ่อยที่สุดคงจะเป็น "ไปเอาเงินที่ไหนมาเที่ยว ?"
เราเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดา บ้านไม่ได้มีฐานะร่ำรวยค่ะ เน้นการบริหารเงินและหลักการที่ว่าถ้าอยากให้เงินงอกเงยต้องลงทุนและหาเงินเพิ่มค่ะ
ตอนนี้ทำงานประจำมาได้เกือบ 3 ปีละค่ะ เข้าใจมนุษย์เงินเดือนดีว่ามีสิ่งยั่วยุหลายสิ่ง ทั้งค่าสังคม, ค่าบุฟเฟ่ต์ชาบู, ค่าเครื่องสำอาง, ค่าเสื้อผ้า ไม่แปลกที่จะใช้เงินเดือนชนเดือน แต่ถ้าเรารู้จักการบริหารเงินให้ดีเราจะมีเงินสำหรับท่องเที่ยวตลอดเวลาค่ะ ซึ่งแต่ละคนมีวิธีการบริหารเงินที่แตกต่างกันไป ที่จะนำเสนอวันนี้เป็นตัวอย่างของการบริหารเงินของเราเองที่ใช้ตั้งแต่เริ่มเป็นมนุษย์เงินเดือนค่ะ
จากการลองมาหลายวิธี เราคิดว่าไม่มีวิธีไหนผิด-ถูก มีแต่วิธีที่เหมาะสมกับเรามากที่สุด ถ้าใครยังไม่มีไอเดียหรือกำลังหาทางบริหารเงินลองเอาวิธีนี้ไปปรับใช้ดูนะคะ (เรายังโสด ที่บ้านไม่ได้มีหนี้สินหรือภาระอะไรที่ต้องใช้เงินแต่ละเดือนชำระเยอะ ๆ ค่ะ มีค่าบัตรเครดิตทั่วไป คนมีครอบครัวอาจจะต้องปรับสัดส่วนให้เหมาะสมกับรายจ่ายค่ะ)
ก่อนจะเริ่มใช้วิธีนี้ แนะนำให้มีเงินออมอย่างน้อย 6-12 เท่าของเงินเดือนเรา ก้อนนี้จะเอาไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินในชีวิตค่ะ
หลังจากนั้นจะเอาเงินเดือนมาแบ่งออกเป็น 5 ส่วนตั้งแต่เงินเดือนออก (ย้ำว่าแบ่งสัดส่วนก่อนใช้ แยกบัญชีเลยก็ได้ค่ะ) ดังนี้
1) ค่าใช้จ่ายส่วนตัว 50% : ค่าที่อยู่ ค่าอาหาร ค่าเดินทาง
2) ค่าใช้จ่ายจิปาถะหรือให้ที่บ้าน 5%
3) เงินสำหรับเก็บออม 5%
4) เงินสำหรับลงทุน 20%
5) เงินสำหรับท่องเที่ยว 20%
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัด ๆ คือ
สมมติเราได้เงินเดือน 30,000 บาท ก่อนอื่นคือต้องเก็บเงินให้ได้ 6-12 เท่าของเงินเดือนคือ 180,000–360,000 บาท อดทนหน่อยค่ะ ช่วงแรกอย่าเพิ่งฟุ่มเฟือย
หลังจากเก็บได้แล้วเงินเดือนแต่ละเดือนแบ่งออกเป็น 5 ส่วน
1) ค่าใช้จ่ายส่วนตัว 15,000 บาท
บริหารค่าที่อยู่ ค่าอาหาร ค่าเดินทาง (สมมติ เช่าอพาร์ตเมนต์เดือนละ 7,000 บาท ค่าอาหาร 6,000 บาท ค่าเดินทาง 2,000 บาท - เราไม่มีรถเป็นของตัวเองค่ะ)
2) ค่าใช้จ่ายจิปาถะ 1,500 บาท
อาจจะได้การ์ดงานแต่งคนนู้นคนนี้ ค่าสังคม, ช้อปปิ้งเสื้อผ้าหรือของที่อยากได้หรือให้ที่บ้าน
3) เงินออม 1,500 บาท
เงินก้อนนี้ควรเป็นการออมที่มีความเสี่ยงต่ำ เอาออกมาใช้ได้ง่าย กรณีมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น ฝากธนาคาร
4) เงินสำหรับลงทุน 6,000 บาท
เงินก้อนนี้รับความเสี่ยงได้มากกว่าก้อนข้างบนเพราะต้องการหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้น อาจจะเป็นการลงทุนในกองทุนรวม, ลงทุนในหุ้นหรือทำธุรกิจส่วนตัว
5) เงินสำหรับท่องเที่ยว 6,000 บาท
อาจจะดูเยอะสำหรับหลาย ๆ คน แต่สำหรับคนบ้าเที่ยวอย่างปอ ก้อนนี้จะทำให้เราไม่เดือดร้อนเวลาต้องการจัดทริปในแต่ละปีค่ะ ถ้าคิดเป็นก้อนรวมก็ตกปีละ 72,000 บาท ซึ่งอาจจะไปยุโรปได้ยาว ๆ ทริปนึง หรือแบ่งเป็นทริปเล็ก ๆ ไปเที่ยวไม่ไกลจากไทยได้หลายทริปมากเลยค่ะ เช่น ไปเที่ยวเวียดนามงบ 3 พันนิด ๆ (ดูรีวิวได้ที่ travelwithpor )
น่าจะพอเห็นภาพกันคร่าว ๆ แล้วนะคะ อยากบอกว่าสิ่งที่ยากที่สุดก็คือการทำให้การบริหารเงินนี้เกิดขึ้นจริงและอยู่กับเราไปตลอด ช่วงแรก ๆ อาจจะทรมานนิดนึงสำหรับคนที่ไม่เคยบริหารเงินมาก่อน แต่ถ้าเราใจเด็ดทำได้สัก 3 เดือน จะเริ่มภูมิใจและทำต่อไปได้เรื่อย ๆ
อย่าปล่อยให้ความฝันเป็นแค่ฝัน เราต้องลงมือทำมันให้เป็นจริงค่ะ
ป.ล. ใครมีวิธีบริหารเงินมาใช้ในการท่องเที่ยวยังไง แชร์ได้นะคะ เผื่อเราเอาไปปรับใช้บ้าง
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
คุณผู้หญิงคนเดียวก็เที่ยวได้ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม, travelwithpor