เป็นที่รู้กันดีว่าสหรัฐอเมริกาเปรียบเสมือนยักษ์ใหญ่ด้านเศรษฐกิจของโลก จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีมหาเศรษฐีอยู่ในประเทศนี้เต็มไปหมด และกว่าครึ่งของคนรวยที่ติดอันดับโลก ก็ล้วนมาจากอเมริกาแทบทั้งนั้น ทำให้ทางเว็บไซต์ Time.com ได้จัด 10 อันดับคนรวยที่สุดในอเมริกา (ข้อมูล ณ เดือนมกราคม 2561) มาบอกให้รู้กัน ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีเส้นทางประสบความสำเร็จที่น่าสนใจกันทั้งนั้น มาดูกันว่า พวกเขาสร้างเนื้อสร้างตัวได้อย่างไรจึงร่ำรวยมีทรัพย์สมบัติมากกว่าล้านล้านบาท
ภาพจาก PHILLIP FARAONE / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / AFP
มูลค่าทรัพย์สิน : 109.9 พันล้านดอลลาร์ (3.4 ล้านล้านบาท)
ชายที่ปัจจุบันอายุ 53 ปีคนนี้ แซงหน้าทุกคนขึ้นมาเป็นคนที่รวยที่สุดในประวัติศาสตร์ไปแล้ว จากราคาหุ้น Amazon ที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย เจฟฟ์ เบโซส์ เคยทำงานประจำในกองทุนป้องกันความเสี่ยงแห่งหนึ่งใน New York ก่อนที่จะลาออกมาเปิดธุรกิจของตัวเองในปี 2537 ด้วยการขายหนังสือออนไลน์ ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่าร้านหนังสือออนไลน์ในวันนั้น จะเติบโตกลายเป็นบริษัท E-commerce ยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Amazon.com ได้อย่างทุกวันนี้
และสิ่งที่น่าสนใจมากคือ เจฟฟ์ เบโซส์ ยังได้เข้าไปลงทุนกับ Startup อย่าง Blue Origin บริษัทด้านการขนส่งทางอวกาศ เพื่อพัฒนาจรวดที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ สำหรับบรรจุผู้โดยสารไปยังอวกาศ ซึ่งทั้งหมดก็เพื่อสานฝันของเขาที่อยากจะย้ายอุตสาหกรรมการผลิตต่าง ๆ ออกไปผลิตนอกโลกให้หมด
ปัจจุบัน เจฟฟ์ เบโซส์ อาศัยอยู่กับภรรยาและลูก ๆ อีก 4 คน ที่เมืองเมดินา รัฐวอชิงตัน โดยเขามีบ้าน 5 หลัง ครอบครองที่ดินกว่า 290,000 เอเคอร์ ในรัฐเทกซัส พร้อมทั้งเป็นผู้ที่มีที่ดินมากที่สุดในสหรัฐฯ และเขายังเคยได้รับเลือกให้เป็นบุคคลแห่งปีของนิตยสาร Time เมื่อปี 2542
ภาพจาก เฟซบุ๊ก BillGates
มูลค่าทรัพย์สิน : 93.3 พันล้านดอลลาร์ (2.9 ล้านล้านบาท)
คงไม่มีใครไม่รู้จักเขาคนนี้ บิล เกตส์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทซอฟต์แวร์ชื่อดังอย่าง Microsoft ซึ่งเขาเริ่มฉายแววความอัจฉริยะมาตั้งแต่สมัยอยู่ชั้นมัธยม โดยได้ร่วมกับ พอล อัลเลน หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Microsoft อีกคน พัฒนาฐานข้อมูลจราจรขึ้นมา ขณะที่ยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ
ก่อนที่เขาจะกลายเป็นมหาเศรษฐี ตอนอายุเพียง 31 ปีเท่านั้น หลังจากได้เปิดตัวบริษัท Microsoft ในปี 2529 นอกจากชื่อเสียงเรื่องความร่ำรวยแล้ว บิล เกตส์ ยังได้รับการยกย่องเรื่องของความใจบุญ โดยเขาได้ก่อตั้งมูลนิธิบิล แอนด์ เมอลินดา เกตส์ ร่วมกับภรรยา เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและขจัดปัญหาความยากจนของคนทั่วโลก จึงทำให้เขาได้รับเลือกเป็นบุคคลแห่งปีของนิตยสาร Time ในปี 2548 รวมทั้งได้รับเหรียญ Presidential Medal of Freedom ซึ่งเป็นเครื่องอิสริยาภรณ์สูงสุดของสหรัฐอเมริกา จากประธานาธิบดี บารัค โอบามา ในปี 2559 อีกด้วย
ภาพจาก NICHOLAS KAMM / AFP
มูลค่าทรัพย์สิน : 87.2 พันล้านดอลลาร์ (2.7 ล้านล้านบาท)
วอร์เรน บัฟเฟตต์ ประธานบริษัท Berkshire Hathaway เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก ด้วยแนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ VI ที่เลือกซื้อหุ้นพื้นฐานดี แล้วลงทุนไปยาว ๆ ซึ่งรู้ไหมว่า เขาเริ่มซื้อหุ้นตัวแรกตั้งแต่อายุได้เพียง 11 ขวบ และเสียภาษีครั้งแรกตอนอายุ 13 ปีเท่านั้น จากรายได้ที่เขาปั่นจักรยานส่งหนังสือพิมพ์
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Mark Zuckerberg
มูลค่าทรัพย์สิน : 77.5 พันล้านดอลลาร์ (2.4 ล้านล้านบาท)
มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก โด่งดังเป็นพลุแตกจากการนำ Facebook เสนอขายหุ้นให้ประชาชนครั้งแรก (IPO) เมื่อปี 2555 ซึ่งกลายเป็นการทำ IPO ที่มีมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ ทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีติดอันดับโลกไปโดยปริยาย ปัจจุบัน มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ทั่วอเมริกา ที่มีมูลค่ารวมกว่า 175 ล้านดอลลาร์ แถมมีที่ดินในฮาวายถึง 700 ไร่ เพื่ออาศัยอยู่กับภรรยาและลูกอีก 2 คน
ขณะเดียวกัน มาร์คและภรรยาก็เป็นมหาเศรษฐีใจบุญอีกคนหนึ่ง โดยได้บริจาคเงินถึง 3 พันล้านดอลลาร์ ให้กับงานวิจัยที่เกี่ยวกับการป้องกันและรักษาโรคต่าง ๆ พร้อมจัดตั้ง "Biohub" ขึ้นที่มหาวิทยาลัย Calif San Francisco เพื่อสนับสนุนการทำงานวิจัยดังกล่าว
ภาพจาก กูเกิลพลัส Larry Page
มูลค่าทรัพย์สิน : 54.9 พันล้านดอลลาร์ (1.7 ล้านล้านบาท)
อดีตหัวเรือใหญ่ของ Google ที่ตอนนี้ย้ายไปบริหารงานให้กับ Alphabet ซึ่งเป็น Holding Company ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อถือหุ้น Google และบริษัทอื่น ๆ ทั้งหมดในเครืออีกทีหนึ่ง โดยเน้นลงทุนธุรกิจเทคโนโลยี และ AI เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ความร่ำรวยของ แลร์รี เพจ ก็มาจากการที่เขาเป็นผู้ถือหุ้นใน Google อยู่ 6% ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ได้หยุดที่จะพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ โดยยังลงทุนเพื่อพัฒนาบริษัท Startup อีกกว่า 100 แห่ง
ทั้งนี้ แลร์รี เพจ มีความหลงใหลคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เด็กแล้ว เนื่องจากได้รับการปลูกฝังจากพ่อและแม่ ซึ่งเป็นอาจารย์ในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ ของมหาวิทยาลัย Michigan State
ภาพจาก oracle.com
มูลค่าทรัพย์สิน : 54.7 พันล้านดอลลาร์ (1.7 ล้านล้านบาท)
ผู้ก่อตั้งบริษัทซอฟต์แวร์รายใหญ่ของโลกอย่าง Oracle แสดงให้ทุกคนเห็นแล้วว่าเขารวยขนาดไหน จากการถือหุ้น 25% ใน Oracle โดยเขาเป็นทั้งเจ้าของเกาะลาไน บนหมู่เกาะฮาวาย มีทีมแข่งเรือใบเป็นของตัวเอง รวมถึงเป็นเจ้าของการจัดทัวร์นาเมนต์เทนนิสทั้งหมด
ขณะเดียวกัน แลร์รี เอลลิสัน ก็มีแนวคิดเหมือนกับมหาเศรษฐีหลาย ๆ คน ที่อยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ โดยเขาได้บริจาคเงิน จำนวน 330 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนงานวิจัยที่เกี่ยวกับการรักษาโรคต่าง ๆ
ภาพจากอินสตาแกรม sergeybrinofficial
อันดับ 7 : เซอร์เกย์ บริน
มูลค่าทรัพย์สิน : 53.3 พันล้านดอลลาร์ (1.6 ล้านล้านบาท)
เซอร์เกย์ บริน มีความชื่นชอบเทคโนโลยีมาตั้งแต่เด็ก จนได้มาพบกับ แลร์รี เพจ ทำให้ทั้งคู่ร่วมพัฒนา Google ขึ้นมาจนสำเร็จ ปัจจุบัน เซอร์เกย์ บริน เข้าไปเป็นผู้ดูแลโครงการ Google X เป็นหลัก ซึ่งเป็นโปรเจคท์ลับของ Google ในการคิดค้นผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ ๆ ถึงขนาดมีข่าวลือว่าเขาแอบสร้างยานอวกาศ ไว้ในโรงเก็บเครื่องบินของ Silicon Valley เลยทีเดียว
ส่วนเรื่องความใจบุญ เซอร์เกย์ บริน ก็ไม่แพ้ใคร เพราะได้บริจาคเงินประมาณ 50 ล้านดอลลาร์ ให้งานวิจัยเกี่ยวกับโรคพาร์กินสัน และยังมอบเงินจำนวน 1 ล้านเหรียญ ให้กับสมาคมช่วยเหลือผู้อพยพ ซึ่งเป็นองค์กรที่เคยช่วยให้เขาออกมาจากการกวาดล้างชาวยิวในรัสเซียเมื่อตอนเป็นเด็ก
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Charles Koch & David Koch
มูลค่าทรัพย์สิน : 48.6 พันล้านดอลลาร์ (1.5 ล้านล้านบาท)
สองพี่น้องชาวอเมริกันคู่นี้ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Koch Industries กลุ่มบริษัทเคมีภัณฑ์ ที่มียอดขายรวมปีละกว่าแสนล้านดอลลาร์ โดยหลังจากทั้งคู่เรียนจบด้านวิศวกรรม จาก MIT ก็ได้ช่วยกันพัฒนาธุรกิจของครอบครัวจนประสบความสำเร็จดังทุกวันนี้
ทั้งนี้ ชาร์ลส์และเดวิด มีแนวคิดทางการเมืองที่คล้ายกัน พวกเขาจึงได้บริจาคเงินจำนวนหลายล้านดอลลาร์ ให้กับพรรครีพับลิกันและพรรคอนุรักษนิยม ตลอดชีวิตที่ผ่านมา
ภาพจาก walmart
มูลค่าทรัพย์สิน : 47.9 พันล้านดอลลาร์ (1.4 ล้านล้านบาท)
ลูกชายคนโตของตระกูลวอลตัน เจ้าของห้างค้าปลีกชื่อดังอย่าง Walmart โดยมีการคาดการณ์ว่าเขาคือผู้ถือหุ้นใน Walmart มากถึง 13% แม้ตอนนี้ ร็อบ วอลตัน จะลงจากตำแหน่งประธานบริษัทแล้วก็ตาม ปัจจุบันเขาเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งในอเมริกา แถมยังเพิ่งซื้อที่ดิน 1,500 เอเคอร์ในฮาวาย เพื่อสร้างรีสอร์ทอีกด้วย
สังเกตไหมว่ามหาเศรษฐีของอเมริกาหลายคนเลย เมื่อประสบความสำเร็จ มีเงินทองร่ำรวยแล้ว ก็มักจะนำเงินไปทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ช่วยเหลือสังคมให้น่าอยู่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคให้มูลนิธิ หรือช่วยเหลืองานวิจัยต่าง ๆ นับเป็นตัวอย่างที่น่ายกย่องของนักธุรกิจระดับโลกที่สามารถเอาไปเป็นแบบอย่างได้อย่างดีเลย