จากกรณีโครงการสร้างรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ โดยเป็นความร่วมมือระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ซึ่งก่อนหน้านี้ญี่ปุ่นได้แสดงความสนใจเข้าร่วมลงทุนตามกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ หรือ จีทูจี โดยจะมีการนำระบบรถไฟชินคันเซ็นมาใช้ในโครงการดังกล่าวด้วย ถือว่าสร้างความตื่นเต้นให้กับคนไทยไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะหวังว่าจะมีเส้นทางคมนาคมเทียบเท่ากับต่างประเทศเสียที
1. ญี่ปุ่นยื่นข้อเสนอให้ทางการไทยลงทุน 100% เองเท่านั้น โดยเสนอเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้หากไทยมีเงินลงทุนไม่พอ โดยผลการศึกษาของทางญี่ปุ่น ระบุว่า รถไฟความเร็วสูงเส้นทางนี้ มีต้นทุนการก่อสร้างทั้งหมดที่ราว ๆ 4.2 แสนล้านบาท (1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ)
2. แต่ทางการไทยกลัวว่าจะถูกคนในประเทศด่า เพราะรัฐบาลชุดนี้เคยไปด่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ว่าขายชาติ สร้างหนี้ให้ลูกหลาน 50 ปี ตอนที่ชัชชาติจะสร้างรถไฟความเร็วสูงเมื่อ 5 ปีก่อนไว้เยอะ เลยต่อรองกับญี่ปุ่นว่าขอให้ญี่ปุ่นร่วมลงทุน (joint investment) ได้ไหม เพื่อทำให้ตัวเลขหนี้ของฝ่ายไทยน้อยที่สุด (ด้วยเหตุผลทางการเมืองนั่นแหละ) ซึ่งญี่ปุ่นปฏิเสธและให้ข้อเสนอเดิม คือ จะให้กู้เงินดอกเบี้ยต่ำแทน
4. หนักเข้าไปอีก ฝ่ายไทยเลยเสนอให้ลดสถานีกลางทางลง เพื่อลดต้นทุน ฝ่ายนักวิชาการของญี่ปุ่นเลยสวนกลับมาว่า วัตถุประสงค์ของการสร้างรถไฟ คือ สถานีกลางทางนี่แหละ ที่จะกระจายความเจริญไปสู่ท้องถิ่น ขยายความเป็นเมือง (urbanization) แล้วสร้างความเป็นเมืองที่ศิวิไลซ์กว่าเดิมขึ้นมา มีการจ้างงานในท้องถิ่น ประชาชนในท้องถิ่นมีระดับรายได้ที่สูงขึ้น และคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่นดีขึ้น
อีกทั้ง การลดสถานีกลางทางไม่คุ้มค่าเลย หากต้องแลกมากับการสูญเสียผู้โดยสารจากสถานีกลางทางนี้ไป (อย่าลืมว่าสิ่งที่รถไฟสามารถทำในสิ่งที่เครื่องบินทำไม่ได้ คือ สถานีกลางทาง) โดยสรุปแล้วญี่ปุ่นเลยยื่นข้อเสนอว่า ญี่ปุ่นจะเข้ามาลงทุนสร้างให้ โดยให้ทางการไทยใช้แผนลงทุนที่ญี่ปุ่นศึกษามาเท่านั้น ไม่มีการลดความเร็ว ลดสถานีใด ๆ ทิ้ง และให้ฝ่ายไทยลงทุนเอง 100% โดยญี่ปุ่นยินดีให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่ไทย (แต่ไทยจะไปกู้จากที่อื่นก็ได้ ถ้าดอกเบี้ยต่ำกว่า) ถ้านอกเหนือจากนี้ ญี่ปุ่นขอบาย
ภาพจาก ไทยพีบีเอส
ข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Tanawat Wongchai