วันที่ 3 กรกฎาคม 2560 นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ขณะนี้กรมสรรพากรอยู่ระหว่างเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนของร่างกฎหมายเรียกเก็บภาษีจากการทำธุรกิจผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business) ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร โดยมีสาระสำคัญ คือ มีการปรับปรุงอัตราเรียกเก็บภาษี e-Business ที่ระดับเพดานสูงสุด 15% ของเงินได้ที่จ่าย จากเดิมที่มีแนวคิดจะจัดเก็บเพียง 5% ของเงินได้ที่จ่าย
ทั้งนี้ กรมสรรพากรได้มีการปรับปรุงเพดานอัตราจัดเก็บภาษี e-Business สูงสุดไว้ที่ 15% ของเงินได้ที่จ่าย โดยอัตรานี้จะอิงตามมาตรา 70 ของประมวลรัษฎากร แต่อย่างไรก็ตามการเรียกเก็บภาษีจะมีหลายอัตราขึ้นอยู่กับประเภทธุรกรรม ซึ่งในร่างกฎหมายมีการแยกประเภทธุรกรรมไว้อย่างชัดเจน และมีข้อยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีให้
อีกทั้งจะให้อำนาจแก่สถาบันการเงินเป็นผู้จัดเก็บภาษี หัก ณ ที่จ่าย แทนกรมสรรพากร ซึ่งเมื่อใดที่มีการโอนเงินเพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการต่าง ๆ บนโลกออนไลน์ จะมีแบบฟอร์มให้กับสถาบันการเงินในไทย เพื่อให้ลูกค้าที่ทำธุรกรรมการโอนเงินใด ๆ กรอกว่าการรับโอนเงินนั้น เป็นการรับโอนตามปกติ หรือมีเป็นการรับโอนในเชิงธุรกิจ จากนั้นสถาบันการเงินจะส่งแบบฟอร์มนี้กลับมากรมสรรพากร เพื่อตรวจสอบอีกครั้ง
นายประสงค์ กล่าวต่อว่า ขั้นตอนการเสนอร่างกฎหมายนี้จะต้องผ่านกระบวนการรับฟังความเห็นจากประชาชน ซึ่งจะใช้เวลา 15 วัน ทำให้คาดว่าจะสามารถเสนอร่างกฎหมายให้ระดับนโยบายพิจารณาภายได้ในเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งที่ผ่านมากรมสรรพากรได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมวางแนวทางจัดเก็บภาษี ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์ รวมถึงผู้เกี่ยวข้องในการให้ความรู้ด้านเทคโนโลยี และการค้าขายผ่านระบบอีคอมเมิร์ซจากภาครัฐและเอกชน
สำหรับแนวคิดของการจัดเก็บภาษี e-Business เนื่องจากปัจจุบันธุรกิจการค้ามีความเปลี่ยนแปลงไป โดยมีการค้าขายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบออนไลน์มากขึ้น ซึ่งมีมูลค่าซื้อ-ขายบนโลกออนไลน์สูงถึงล้านล้านบาท ดังนั้นหากกฎหมายมีผลบังคับใช้ภาครัฐก็จะสามารถเก็บภาษีในส่วนนี้ได้
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
,