บุหรี่ เหล้า เบียร์ จ่อขึ้นราคา รับกฎหมายใหม่ หลัง สนช. มีมติผ่าน พ.ร.บ.การกีฬา คลัง คาด ปรับขึ้น 3-5 บาท
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2558 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ได้ผ่านกฎหมาย พ.ร.บ.การกีฬาแห่งประเทศไทย เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประกาศลงราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้กฎหมายมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ โดยกฎหมายดังกล่าวจะทำให้ผู้ผลิตและจำหน่ายยาสูบและสุราต้องจัดสรรเงินในอัตรา ร้อยละ 2 ของภาษีสรรพสามิตที่เสียในแต่ละปี ส่งเข้ากองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ
ทั้งนี้รายงานข่าวจากแหล่งข่าวกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากการรอประกาศผลบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นทางการ ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายมีแนวโน้มที่จะผลักภาระค่าสรรพสามิตเพิ่มในอัตรา ร้อยละ 2 ไปยังผู้บริโภค โดยคาดว่าราคาน่าจะขยับขึ้นไปประมาณ 3-5 บาท ซึ่งเงินในส่วนนี้จะนำเข้าสู่กองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ ประมาณปีละ 4 พันล้านบาท โดยเมื่อปีที่ผ่านมา กระทรวงการคลังสามารถจัดเก็บภาษีจากยาสูบและสุราได้กว่า 2 แสนล้านบาท แบ่งเป็น ยาสูบ 6.1 หมื่นล้านบาท สุรา 6.4 หมื่นล้านบาท และเบียร์ 7.6 หมื่นล้านบาท
ด้านแหล่งข่าวจากโรงงานยาสูบ แจ้งว่า โรงงานยาสูบกำลังพิจารณามาตรการเพิ่มต้นทุนของบุหรี่ทุกชนิดในอัตราร้อยละ 2 เพื่อให้เท่ากับเงินที่จะต้องนำเข้าสู่กองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ และปีนี้ยาสูบต้องเตรียมงบประมาณเพื่อรองรับการย้ายโรงงานฐานผลิตแห่งใหม่ ทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินให้กองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติได้ จึงจำเป็นต้องปรับราคาขึ้นดังกล่าว อีกทั้งยาสูบยังแบกรับภาระในการจ่ายเงินให้กับกองทุนอื่นอีก อาทิ กองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.) เงินบำรุงให้องค์กรกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะประเทศไทย (สสท.) หรือ ไทยพีบีเอส รวมปีละ 1,600 ล้านบาท ถ้าต้องจ่ายเงินอีก 1,000 ล้าน เพื่อนำเข้าสู่กองทุนพัฒนากีฬาแห่งประเทศไทย จะรวมเป็นเงินที่ยาสูบต้องจ่ายต่อปีทั้งสิ้น 2,600 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินจำนวนมากเมื่อเทียบกับกำไรที่ยาสูบทำได้คือปีละ 6,000 ล้านบาท
สำหรับการปรับขึ้นของราคาบุหรี่เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการจ่ายให้กองทุนการกีฬาแห่งชาตินั้นคงไม่ใช่เพียงบุหรี่ของไทย แต่กำลังพิจารณาที่จะปรับราคาของบุหรี่นอกอีกด้วย
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก