แชร์ประสบการณ์การออมเงิน อายุ 24 ปี กับเงินเก็บ 1.6 ล้าน


ออมสิน GSB Life เงินฝากคุ้มครองชีวิต 2 รูปแบบ ไม่หักภาษี
แชร์ประสบการณ์การออมเงิน อายุ 24 ปี กับเงินเก็บ 1.6 ล้าน

 
เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก  คุณสมาชิกหมายเลข 1376045 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

           ใครที่กำลังท้อแท้กับชีวิต เพราะผ่านมากี่ปี ก็ยังไม่มีโอกาสได้สัมผัสเงินล้าน แถมยังไม่รู้ว่าควรจะออมเงินอย่างไรให้พอดีกับภาระที่มีอยู่ แต่ถ้าคุณยังอยากเดินหน้าเก็บเงินล้านให้ได้สักครั้ง ลองมาดูประสบการณ์การสู้ชีวิต และเคล็ดลับการออมดี ๆ จากประสบการณ์จริงของคุณสมาชิกหมายเลข 1376045 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่บอกว่า "ถ้าคนเราตั้งใจทำอะไรแล้วมันไม่ยากเกินไปสำหรับตัวเรา ไม่สายไปที่จะเริ่มต้น"

           สวัสดีครับ วันนี้ผมมีเรื่องราวของผมมาแชร์กันเพื่อเป็นกำลังใจให้สำหรับคนที่กำลังท้อ กำลังหมดหวังครับ เรื่องราวของผมไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรมันเป็นความภูมิใจและความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผู้ชายคนหนึ่งทำได้

           ตอนนี้ผมอายุ 24 เพิ่งเรียนจบรับปริญญาเมื่อเดือนพฤศจิกาที่ผ่านมา ปริญญาตรีคนละด้านกับงานที่ทำอยู่ครับ  ที่จบช้าอาจจะเพราะผมทำงานไปด้วยแล้วเรียนไปด้วยน่ะครับ  และงานที่ผมทำอยู่เป็นทางสายดนตรีไม่ได้เกี่ยวกับที่ผมจบมาเลยซักนิดเดียว  หลายคนคิดว่างานทางดนตรีมันคงไม่ยั่งยืนแน่นอน ความจริงแล้วไม่ว่างานอะไรจะยั่งยืนหรือไม่ยั่งยืนนั้นมันอยู่ที่ตัวเราต่างหากละครับ ต่อให้เราทำงานมั่นคงแต่ไม่กระตือรือร้นไม่มีการพัฒนามันก็อาจจะล้มได้ ผมขอเล่าย้อนชีวิตของผมแบบย่อนิดนึงนะครับ

           ตอนนี้ผมมีพี่น้อง 4 คน ผมเป็นคนที่ 3 พ่อแม่ผมเรียนไม่จบปริญญา เมื่อผมยังเด็กตอนนั้นยังมีพี่น้องแค่ 3 คนรวมตัวผม แม่ขายข้าวแกง พ่อขับรถส่งม้วนเทปหาเช้ากินค่ำเลี้ยงลูก 3 คน ไม่มีบ้านของตัวเองอาศัยอยู่กับญาติในกรุงเทพฯ แน่นอนว่าเงินต้องไม่พอ เพราะไหนจะค่าเลี้ยงดู ค่าเทอม ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เยอะแยะไปหมดสำหรับลูก 3 คน เท่าที่ทราบพ่อแม่ผมก็ไปยืมเงินจากญาติ ๆ มาตลอด จนผมเริ่มโตเริ่มเข้า ม.ต้น พ่อแม่ไม่มีเงินส่งเรียนตอนนั้นค่าเทอม 8,000 บาท โรงเรียนเอกชนใกล้บ้านที่ต้องเรียน เพราะผมสอบไม่ติดโรงเรียนของรัฐบาล  ตอนนั้นผมยังไม่โตเท่าไรยังคิดอะไรไม่ค่อยได้คนที่ส่งผมเรียนคือ อาโก  เป็นเจ้าของบ้านที่ผมพ่อแม่ผมอาศัยอยู่ด้วยซึ่งเป็นตึกแถว  ตอนนั้นเวลาเห็นเพื่อนเอามือถือมาโชว์ เอากีตาร์ เอาโน้ตบุ๊กมาโชว์ ผมเห็นแล้วก็อยากมีบ้างแต่ทำไงได้พ่อแม่เราไม่มีเงินซื้อให้ เงินใช้จ่ายยังจะแทบไม่พอเลยต้องไปยืมคนอื่น ผมก็ได้แต่ทำใจเพราะด้วยความที่ความคิดยังไม่โตเลยยังคิดไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้รบเร้าอะไรพ่อแม่ครับ เรียนโรงเรียนเอกชนแน่นอนว่าเพื่อน ๆ ผมก็ต้องบ้านมีเงินกัน เวลาชวนไปเที่ยวสยาม เที่ยวที่ไหนก็ตาม ผมมักจะไม่ค่อยได้ไปด้วย เหตุเพราะไม่ค่อยมีเงินนี่แหละครับ

           พอจบ ม.3 ผมย้ายไปเรียนโรงเรียนทางสายช่าง เรียน ปวช. เพราะค่าเทอมถูกหน่อย  สังคมไม่หรูหราเหมือนตอนอยู่โรงเรียนเอกชนเพราะโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่รับเฉพาะคนจน  ตอนนั้นพ่อแม่หันมาทำขนม  ทำเองที่บ้านขาย  รายได้น้อยกว่าเดิมอีกเพราะขายไม่ดี  พ่อให้เงินไปโรงเรียนวันละ 100 บาท ผมเก็บเงินวันละ 20 บาท ตอนนั้นเห็นเพื่อนเล่นกีตาร์แล้วรู้สึกเท่ ผมก็เลยไปหาที่เรียนกีตาร์และอาโกก็เป็นให้ค่าเรียนเดือนละ 1,000 บาท ไปเรียน แล้วผมก็เอาเงินเก็บของผมทั้งหมด 3,000 กว่าบาทไปซื้อกีตาร์ไฟฟ้ากับตู้แอมป์มาเล่น มาฝึก ตอนนั้นมีขึ้นประกวดบ้าง ขึ้นโชว์บ้างจนเรียนจบ ปวช.  มีที่เดียวที่ผมจะไปสอบคือที่ ๆ ผมเพิ่งจบมา ช่วงนั้นผมเริ่มคิดได้แล้วว่าผมชอบดนตรีจริง ๆ จัง ๆ แต่ไม่อยากไปเรียนทางสายดนตรีเพราะพ่อแม่ไม่ให้เรียน พ่อบอกว่าจบมาไม่รู้จะทำงานอะไร ช่วงนั้นผมเพิ่งได้เริ่มรู้จักกับ Youtube ใหม่ ๆ ผมก็ใช้กล้องดิจิตอลเก่า ๆ ที่ถ่ายวิดีโอได้ ถ่ายคลิปตัวเองเล่นกีตาร์ลง Youtube เล่น ๆ ก็เริ่มมีคนคลิกเข้ามาดูมากขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็ทำคลิป cover เพลงต่าง ๆ ลง youtube ตลอดมา จนผมสอบติดมหาลัยตอนปี 1 ค่าใช้จ่ายเยอะมากเต็มไปหมด ค่าเทอมตอนนั้นถ้าผมจำไม่ผิดประมาณ 9,000 บาท อาโกผมก็เป็นคนส่งผมเรียนเหมือนเดิม ถ้าไม่มีอาโกผมคงไม่มีทางได้เรียนหนังสือแน่นอน อาโกเป็นคนที่มีพระคุณกับผมมาก ๆ คนหนึ่งเป็นเหมือนแม่คนที่สองของผม พอเข้ามหาลัยปี 1 ได้เงินไปเรียนวันละ 150 บาท ตอนนั้นบ้านผมไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมาก ค่าเดินทางไปกลับประมาณ 40 บาท ที่เหลือคือค่าข้าวเช้ากับกลางวัน

           จนผมขึ้นปี 2  มันเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของผม พ่อแม่ทะเลาะกับอาโกเจ้าของบ้าน พ่อแม่ผมเลยคิดที่จะย้ายออกมาอยู่ลำพัง ก็เลยซื้อบ้านต่อจากญาติและใช้ชื่อญาติเป็นคนกู้เพราะพ่อแม่ผมไม่มีเครดิตอะไรเลย เงินจากขายขนมก็น้อยนิด และแล้วผมกับครอบครัวก็ย้ายออกมาอยู่บ้านใหม่ทาวน์เฮ้าส์หลังเล็ก ๆ ที่อยู่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากคนละจังหวัดกันเลย แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายทั้งค่าผ่อนบ้านค่าน้ำค่าไฟมาเต็มไปหมดตอนอยู่บ้านอาโก อาโกจะเป็นคนออกค่าใช้จ่ายในบ้านทั้งหมด แต่อาโกผมก็ยังเป็นคนส่งผมเรียนอยู่เหมือนเดิม พ่อแม่ผมก็เครียดเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้านที่ไม่พอกิน ก็ต้องไปยืมเงินคนอื่นอีกเหมือนเดิมแล้วก็ไม่รู้ว่าจะหาเงินที่ไหนไปใช้เขาแต่เรื่องพวกนี้พ่อแม่ผมไม่บอกผมอยู่แล้ว ตอนนั้นผมผอมมากค่ากินเวลาไปเรียนแต่ละวันไม่พอ เพราะหมดไปกับค่ารถและผมก็ไม่อยากรบกวนพ่อแม่เพิ่ม  ต้องตื่นเช้ามืดออกจากบ้านตี 5 กว่า ๆ ไปเรียนเพราะบ้านไกลมากเดินทาง 2 ชั่วโมงกว่าจะถึงมหาวิทยาลัย ไปเรียนก็หลับเพราะเหนื่อยกับการเดินทาง ค่ารถปาไปวันละ 80 บาท แต่ก็ได้เงินค่าขนมเท่าเดิม คือ 150 บาท เลิกเรียนกว่าจะเดินทางกลับถึงบ้านก็ประมาณ 2 ทุ่ม วงจรเป็นแบบนี้อยู่ตลอด เห็นเพื่อนมีโน้ตบุ๊ก มีกล้องถ่ายรูปแพง ๆ มือถือแพง ๆ มีรถขับผมก็อยากได้ แต่ก็ต้องทำใจ  ถ้าไม่เก็บเงินซื้อเองก็หมดสิทธิ์ไป เพื่อนผมคนหนึ่งนิสัยดีบ้านรวยพ่อเป็นเจ้าของบริษัทมีรถขับไปเรียน ทำไอโฟนหายเป็นเรื่องปกติซึ่งต่างจากตัวผมเองมากมายนัก ตอนนั้นผมมีเล่นดนตรีกลางคืนด้วยประปราย  ผมเรียนก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเพราะหัวผมมันไม่ไปทางด้านวิศวะเวลาไปเรียนแล้วมันก็เพลียด้วย

           ผมเริ่มมีคนรู้จักผมจาก youtube มากขึ้นผมก็เลยลองเริ่มเปิดสอนกีตาร์เบื้องต้นดูสอนวันเสาร์อาทิตย์เพราะวันธรรมดาไปเรียน  โดยไปประกาศสอนในเว็บนึงที่เกี่ยวกับทางดนตรีผมคิดค่าสอน 400 บาท  ตอนนั้นที่ผมเริ่มเปิดสอนเจ้าของเว็บที่ผมไปลงประกาศสอนเขาก็ส่งเมล์มาว่า "พี่เห็นเราใน youtube มานานแล้ว  เดี๋ยวพี่เปิดโรงเรียนสอนจะลองมาสอนดูไหม" ตั้งแต่นั้นมาผมก็ฝึกกีตาร์จริง ๆ จัง ๆ มากพยายามพัฒนาตัวเองเริ่มประกวดกีต้าร์มาเรื่อย ๆ สร้างชื่อเสียงและเครดิตให้กับตัวเอง เริ่มมีคนมาเรียนกับผมมากขึ้น ผมเริ่มไม่ต้องขอเงินค่าขนมพ่อแม่  ทางเว็บดนตรีเขาก็เริ่มดึงผมเข้าไปทำคลิปสอนทำคลิปรีวิวเครื่องดนตรีมากขึ้น ตอนนั้นขึ้นปี 3 ผมไม่ได้ขอเงินจากพ่อแม่แล้วแม้แต่บาทเดียว กลับกันผมเป็นคนให้เงินพ่อแม่รายเดือนแทน ออกค่าน้ำค่าไฟที่บ้านและออกค่าเทอมเอง ยิ่งผมให้พ่อแม่มากเท่าไรผมยิ่งมีรายรับมากขึ้นเรื่อย ๆ ผมถึงเข้าใจคำว่า "คนที่กตัญญูต่อพ่อแม่และผู้มีพระคุณจะไม่มีวันตกอับ จะมีแต่เจริญขึ้น" ผมประกวดได้รางวัลมาระดับการเล่นของผมเริ่มพัฒนาไปไกลผมก็เลยขึ้นค่าสอนจาก 400 บาท มาเป็น 700 บาท แล้วก็มาเป็น 1,000 บาท เป็นปรับแผนการสอนใหม่สอนตั้งแต่เบสิกถึงระดับสูง  ผมไปเปิดบัญชีฝากประจำของ ธอส. รักการออม รายได้จากการสอนที่หักจากให้พ่อแม่แล้วก็ค่าน้ำไฟที่บ้านผมเอามาฝากหมด เดือนละประมาณ 8,000-9,000 บาท ผ่านไป 2 ปี จนผมเรียนจบมหาวิทยาลัยปี 3 ตอนนั้นเห็นเพื่อนมีรถขับแล้วก็อยากมีบ้าง ผมมีเงินเก็บ 200,000 บาท ตอนผมเก็บเงินได้ 200,000 บาท ในขณะที่เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยผมดีใจที่สุดแล้ว ผมคิดว่าจะเอาเงิน 200,000 บาท ที่อุตส่าห์ทำงานหนักหามาได้ด้วยตัวเองจะเอาไปดาวน์รถป้ายแดงเวลาเดินทางไปเรียนจะได้ไม่เหนื่อยมากนักแล้วเวลาขนอุปกรณ์ดนตรีจะได้สะดวกด้วย เวลาเลิกเรียนจากมหาวิทยาลัยจะได้รีบกลับไปสอนต่อได้อีก ก็เลยตัดสินใจไปออกรถตอนนั้นทางฝ่ายขายของโชว์รูมรถบอกออกรถชื่อผมไม่ได้ทั้ง ๆ ที่ผมสเตทเม้นท์ที่ดีมาตลอด 2 ปี ทางโชว์รูมรถบอกว่าน้องยังเรียนไม่จบ แม้จะทำงานเอง แต่ยังเรียนไม่จบเลยออกรถให้ไม่ได้ จะใช้ชื่อพ่อแม่ออกรถก็ไม่ได้เพราะพ่อแม่ผมไม่มีสเตทเม้นท์ไม่มีเครดิตอะไรเลย ผมเซ็งมากเพราะการออกรถป้ายแดงด้วยตัวเองเป็นความฝันของผม จนอาโกผมเข้ามาบอกว่าเดี๋ยวซื้อเป็นชื่อโกแทนละกันแล้วผมก็ผ่อนเองไปตามปกติพอผ่อนหมดค่อยเปลี่ยนชื่อรถเป็นชื่อผม ในที่สุดผมก็ได้ออกรถป้ายแดงจากเงินตัวเอง ค่าใช้จ่ายรุมเร้า ค่าน้ำมันเดือนละ 4,000 บาท ค่าบำรุงรักษารถ ค่าผ่อนรถเดือนละ 6,800 บาท แต่ผมก็ยังไหวอยู่ตอนนั้นก็ให้เงินพ่อแม่ช่วยผ่อนบ้านกับออกค่าน้ำค่าไฟที่บ้านเหมือนเดิม พ่อแม่ผมเริ่มทำงานน้อยลงแต่ก็ยังมีน้องผมอีกคนที่ตอนนี้พี่ ๆ แล้วก็ตัวผมเองก็คอยส่งเสียน้องเรียนอยู่  จนผ่านมาถึงตอนนี้ผมทำงานมา 4 ปีกว่าเกือบ ๆ 5 ปีแล้วทำตั้งแต่ช่วงเรียนปี 2 ครับกว่าจะลืมตาอ้าปากได้เหนื่อยพอสมควร ในขณะที่วันหยุดเสาร์-อาทิตย์เพื่อน ๆ ที่มหาวิทยาลัยไปเที่ยวสนุกกันแต่ผมต้องทำงาน จริง ๆ รายได้ผมมีหลายทางครับ เช่น เป็นอาจารย์สอน, เป็นวิทยากรรับเชิญพูดให้ความรู้เกี่ยวกับการสร้างรายได้จาก youtube แล้วก็อะไรยิบย่อยน่ะครับ

           ตอนนี้รถผมกำลังจะผ่อนหมดแล้ว  มีเครื่องดนตรีแพง ๆ ไว้ใช้  มีเงินเก็บ ทั้งหมดนี้หามาได้ด้วยตัวเองทุกบาท  ตอนนี้ผมดูแลค่าใช้จ่ายพ่อแม่ น้องและค่าใช้จ่ายภายในบ้านเพราะพ่อแม่ไม่ได้ทำงานแล้วแต่ยังดีที่พี่ ๆ ช่วยอยู่ด้วยครับ ผมวางแผนไว้คงจะซื้อบ้านแต่งงานภายใน 2 ปีนี้ ไม่ว่าผมจะมีหรือไม่มีอะไรยังไงผมก็ยังคงใช้ชีวิตไม่ต่างจากเดิม ของใช้ในชีวิตประจำวันก็ของธรรมดา ๆ คล้าย ๆ เดิม  กินอาหารก็ไม่ต่างจากเดิมมากมายนัก และไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไงผมจะเดินทางตามสายนี้ให้จนถึงที่สุด ล่าสุดเพิ่งให้เงินแม่ค่าเครื่องบินไปเที่ยวอเมริกาไปหาหลานให้เขาได้ไปเที่ยว

           ยอมรับเลยว่าช่วงแรกผมลำบากมาก ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเงินกินข้าวก็ไม่ค่อยจะพอเลย สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกคือถ้าคนเราตั้งใจทำอะไรแล้วมันไม่ยากเกินไปสำหรับตัวเรา ไม่สายไปที่จะเริ่มต้น ผมเองบ้านจนไม่มีต้นทุนจะเริ่มทำอะไรด้วยซ้ำ และความกตัญญูต่อพ่อแม่และคนที่มีพระคุณจะทำให้เจริญขึ้นไม่มีวันตกอับ ตอนนี้อาโกผมจากไป 2 ปีแล้วด้วยโรคมะเร็งผมยังไม่ได้ทดแทนบุญคุณท่านเลย

           ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะครับหวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่กำลังท้อกำลังหมดหวัง จริง ๆ รายละเอียดมีเยอะกว่านี้อีกครับแต่กลัวมันจะยาวเกินไป ค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบให้เจอ พิมพ์ผิดประการใดขออภัยด้วยครับพิมพ์เองยังตาลายเองเลยครับถ้าแท็กผิดห้องก็ขออภัยด้วยนะครับ




เรื่องที่คุณอาจสนใจ
แชร์ประสบการณ์การออมเงิน อายุ 24 ปี กับเงินเก็บ 1.6 ล้าน อัปเดตล่าสุด 13 มกราคม 2558 เวลา 10:02:18 18,174 อ่าน
TOP
x close