ภาษีที่ดิน 2564 เก็บเท่าไร สำหรับคนมีบ้านหลายหลัง หรือมีที่ดินเชิงพาณิชย์ ถ้ารู้จักวางแผนดี ๆ ก็จะช่วยให้จ่ายภาษีที่ดินน้อยลง ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป เจ้าของสิ่งปลูกสร้าง ที่ดิน ห้องชุด ที่ถือครองอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ของปีนั้น ๆ จะต้องเสียภาษีที่ดิน ตามที่ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 กำหนด ซึ่งบางกรณีอาจได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี รวมทั้งอาจมีการประกาศลดภาษีเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษในแต่ละปี เช่น ในปี 2563 ปรับลดภาษีที่ต้องจ่ายให้ถึง 90% เพื่อบรรเทาภาระภาษีจากสถานการณ์โควิด 19 และล่าสุด ครม. เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 ไฟเขียวขยายเวลาปรับลดอัตราการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ปี 2564 ลง 90% เช่นเดียวกับปี 2563 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในช่วงโควิด 19 ระลอกใหม่ ดังนั้น ผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์จะเสียภาษีในอัตราเพียง 10% ของที่จ่ายจริงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่มีอสังหาริมทรัพย์ครอบครองเป็นจำนวนมากกว่า 2 แห่ง หรือมีที่ดินที่ใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ที่ดินรกร้าง จะต้องเสียภาษีในอัตราสูงกว่าประเภทอื่น ๆ จึงต้องมองหาวิธีที่จะช่วยให้จ่ายภาษีน้อยลง แต่ก่อนจะไปดูว่าต้องวางแผนอย่างไร ตามมาทำความเข้าใจเรื่องภาษีที่ดินให้ชัดเจนกันก่อน เจ้าของที่ดิน/เจ้าของสิ่งปลูกสร้าง/เจ้าของห้องชุด (ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเจ้าบ้าน เพราะหากเจ้าบ้านไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ ไม่มีชื่อในโฉนดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น เจ้าบ้านก็ไม่ใช่ผู้ที่ต้องเสียภาษี) ผู้ครอบครองทรัพย์สิน ทำประโยชน์ในที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างของรัฐ เช่น ผู้เช่าที่ราชพัสดุอยู่ แม้ไม่ได้เป็นเจ้าของที่นั้น ๆ แต่เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามกฎหมายฉบับนี้ เป็นผู้ครอบครอง หรือใช้ประโยชน์ในที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างนั้นอยู่ในวันที่ 1 มกราคม ของปีนั้น เช่น หากซื้อคอนโดมิเนียมในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 จะยังไม่ต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในปี 2564 เพราะยังไม่ได้ครอบครองในวันที่ 1 มกราคม 2564 แต่จะต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในปี 2565 อัตราการเก็บภาษีที่ดิน แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ตามลักษณะการใช้ประโยชน์ ได้แก่ เกษตรกรรม, ที่อยู่อาศัย, อื่น ๆ (พาณิชยกรรม อุตสาหกรรม) และที่ดินรกร้างว่างเปล่า โดยคิดอัตราภาษีเป็นรูปแบบขั้นบันไดเพิ่มขึ้นตามมูลค่าราคาประเมิน สำหรับในปี 2564 มีกรณียกเว้นและลดภาษีบางประการ รวมทั้งให้ปรับลดจำนวนเงินที่ต้องจ่ายภาษีลง 90% จึงคิดอัตราภาษี ดังนี้ เจ้าของเป็นบุคคลธรรมดา : ในปี 2564 ไม่ต้องเสียภาษีที่ดิน เจ้าของเป็นนิติบุคคล : ในปี 2564 เสียภาษีที่ดินตามอัตราปกติ คือ ทั้งนี้ ในปี 2564 มีประกาศปรับลดจำนวนเงินที่ต้องเสียภาษีที่ดินลง 90% ผู้ครอบครองจึงเหลือจ่ายภาษีเพียง 10% เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น นิติบุคคลมีที่ดินเกษตรกรรม มูลค่า 70 ล้านบาท ปกติต้องเสียภาษี 7,000 บาท แต่ปี 2564 ได้ลด 90% เหลือจ่ายเพียง 700 บาท ไม่ว่าจะเป็นที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าของใช้อยู่อาศัยเอง หรือให้เช่าเพื่ออยู่อาศัย รวมถึงบ้าน หอพัก อพาร์ตเมนต์ คอนโด ที่ปล่อยเช่ารายเดือน จะเก็บภาษีในหมวดที่พักอาศัย โดยแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ กรณีบ้านหลังหลัก (เป็นเจ้าของทั้งที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง + มีชื่อในทะเบียนบ้าน) มีราคาไม่ถึง 50 ล้านบาท จะได้รับการยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษี แต่ส่วนที่เกิน 50 ล้านบาท ให้เสียภาษีตามอัตราปกติ ทั้งนี้ ในปี 2564 มีประกาศปรับลดจำนวนเงินที่ต้องเสียภาษีที่ดินลง 90% ผู้ครอบครองจึงเหลือจ่ายภาษีเพียง 10% เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น มีบ้านหลังหลักพร้อมที่ดิน มูลค่า 60 ล้านบาท ดังนั้น ทรัพย์สินส่วน 50 ล้านบาทแรก ส่วนที่เหลืออีก 10 ล้านบาท นำมาคำนวณภาษี 0.03% เท่ากับต้องเสียภาษี 3,000 บาท แต่ในปี 2564 ได้ส่วนลด 90% จึงเสียภาษีเพียง 300 บาท กรณีเป็นเจ้าของเฉพาะบ้านอย่างเดียว (บ้านเจ้าของอยู่เองบนที่ดินเช่า) และมีชื่อในทะเบียนบ้านในวันที่ 1 มกราคม ของปีภาษีนั้น จะต้องเสียภาษี ดังนี้ ทั้งนี้ ในปี 2564 มีประกาศปรับลดจำนวนเงินที่ต้องเสียภาษีที่ดินลง 90% ผู้ครอบครองจึงเหลือจ่ายภาษีเพียง 10% เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น มีบ้านบนที่ดินเช่า มูลค่า 10 ล้านบาทพอดี และมีชื่อในทะเบียนบ้าน เท่ากับไม่ต้องเสียภาษี มีบ้านบนที่ดินเช่า มูลค่า 30 ล้านบาท และมีชื่อในทะเบียนบ้าน ดังนั้น 10 ล้านบาทแรก ได้รับการยกเว้น ส่วนที่เหลือ 20 ล้านบาท จะนำมาคิดภาษีที่ 0.02% เท่ากับต้องเสียภาษี 4,000 บาท แต่ในปี 2564 ได้ส่วนลด 90% จึงเสียภาษีเพียง 400 บาท กรณีบุคคลนั้นเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านหลังที่ 2 เป็นต้นไป ไม่ว่าบ้านหลังนั้นจะมีมูลค่าเท่าไรก็ต้องเสียภาษี ตามอัตรานี้ ทั้งนี้ ในปี 2564 มีประกาศปรับลดจำนวนเงินที่ต้องเสียภาษีที่ดินลง 90% ผู้ครอบครองจึงเหลือจ่ายภาษีเพียง 10% เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น หากเรามีบ้านหลังที่ 2 มูลค่า 5 ล้านบาท ต้องคิดภาษี 0.02% เท่ากับต้องเสียภาษี 1,000 บาท แต่ในปี 2564 ได้ส่วนลด 90% จึงเสียภาษีเพียง 100 บาท หมายถึง ที่ดินอื่น ๆ ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตรและการอยู่อาศัย เช่น เป็นที่ดินเพื่อเชิงพาณิชย์ อย่างโรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ โรงงาน หอพักรายวัน เสียภาษีตามอัตราต่อไปนี้ ทั้งนี้ ในปี 2564 มีประกาศปรับลดจำนวนเงินที่ต้องเสียภาษีที่ดินลง 90% ผู้ครอบครองจึงเหลือจ่ายภาษีเพียง 10% เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น หากเป็นเจ้าของร้านค้า มูลค่า 40 ล้านบาท ก็จะเสียภาษี 0.3% หรือ 120,000 บาท/ปี แต่ในปี 2564 ได้ส่วนลด 90% เท่ากับต้องจ่ายภาษี 12,000 บาท หมายถึง ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ได้ทำประโยชน์ตามควร หรือถูกปล่อยทิ้งไว้ว่างเปล่า จะต้องเสียภาษีดังนี้ นอกจากนี้ หากปล่อยรกร้างเป็นเวลา 3 ปี ติดต่อกัน จะถูกเก็บภาษีเพิ่มอีก 0.3% ในปีที่ 4 และถูกเก็บเพิ่มขึ้น 0.3% ทุก ๆ 3 ปี หากยังไม่ได้มีการนำมาทำประโยชน์ แต่สูงสุดไม่เกิน 3% อย่างไรก็ตาม ในปี 2564 มีประกาศปรับลดจำนวนเงินที่ต้องเสียภาษีที่ดินลง 90% ผู้ครอบครองจึงเหลือจ่ายภาษีเพียง 10% เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น มีที่ดินรกร้าง มูลค่า 10 ล้านบาท ต้องเสียภาษี 0.3% หรือ 30,000 บาท แต่ในปี 2564 ได้ส่วนลด 90% เท่ากับต้องจ่ายภาษี 3,000 บาท ภาษีที่ต้องจ่าย = มูลค่าที่ดิน x อัตราภาษี โดยมูลค่าที่ดิน = ราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน (ต่อ ตร.ว.) x ขนาดพื้นที่ดิน ภาษีที่ต้องจ่าย = (มูลค่าที่ดิน + มูลค่าสิ่งปลูกสร้าง) x อัตราภาษี โดยมูลค่าที่ดิน = ราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน (ต่อ ตร.ว.) x ขนาดพื้นที่ดิน มูลค่าสิ่งปลูกสร้าง = (ราคาประเมินทุนทรัพย์โรงเรือนสิ่งปลูกสร้าง (ต่อ ตร.ม.) x ขนาดพื้นที่สิ่งปลูกสร้าง) - ค่าเสื่อมราคา ภาษีที่ต้องจ่าย = มูลค่าห้องชุด x อัตราภาษี โดยมูลค่าห้องชุด = ราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุด (ต่อ ตร.ม.) x ขนาดพื้นที่ห้องชุด (ตร.ม.) ให้แยกกันคำนวณตามการใช้ประโยชน์ที่ดิน เช่น บ้านขนาด 50 ตารางวา 2 ชั้น ชั้นแรกเป็นร้านขายของ ชั้นบนเป็นที่อยู่อาศัย ให้คำนวณภาษีชั้นแรกในอัตราที่ดินเพื่อพาณิชยกรรม ส่วนชั้นบน คำนวณตามอัตราภาษีที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย อย่างที่ทราบแล้วว่า ถ้าเรามีบ้าน หรือคอนโดมิเนียม หรือห้องชุดหลายแห่ง จะได้รับการยกเว้นภาษีเฉพาะบ้านหลังหลักหลังเดียวที่เรามีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเท่านั้น ส่วนบ้านหลังที่ 2 เป็นต้นไป ไม่ว่าจะมีมูลค่าเท่าไรก็ต้องจ่ายภาษี แต่ถ้าต้องการเซฟค่าภาษีให้น้อยลง สามารถใช้วิธีต่อไปนี้ โดยดำเนินการก่อนวันที่ 1 มกราคม 2564 เนื่องจากบ้านหลังหลักที่เราเป็นทั้งเจ้าของที่ดิน-สิ่งปลูกสร้าง และมีชื่อในทะเบียนบ้าน จะได้รับการยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษี ถ้ามีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท แต่ถ้าเราเป็นเพียงเจ้าของบ้าน ไม่ใช่เจ้าของที่ดิน ตรงนี้จะได้รับการยกเว้น 10 ล้านบาท ซึ่งก็ช่วยประหยัดภาษีได้พอสมควร เพราะหากราคาบ้านเกินตามเกณฑ์ที่กำหนดก็จะเสียภาษีแค่ส่วนต่างที่เกินมาเท่านั้น หากญาติสนิท เช่น ภรรยา ลูก พ่อแม่ ยังไม่ได้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์แห่งใดเลย เราสามารถโอนที่ดิน-บ้าน-คอนโด ที่เป็นชื่อเรา ให้เป็นชื่อของญาติได้ เพื่อจะได้ใช้สิทธิ์ยกเว้นภาษีบ้านหลังหลัก มูลค่าไม่เกิน 10-50 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ข้อสำคัญมาก ๆ ที่ต้องพิจารณาก่อนใช้วิธีโอนบ้านก็คือ ลองคำนวณให้ดีก่อนว่า ระหว่างการโอนที่ดิน-บ้านให้คนอื่น กับไม่โอนบ้านให้คนอื่นแต่ยอมจ่ายภาษีที่ดินทุกปี แบบไหนจะเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าในระยะยาว เพราะการโอนที่ดิน-บ้าน ก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมและภาษีเช่นกัน ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงกว่าภาษีที่ดินด้วย ที่ดินเปล่าที่ไม่ได้ใช้ทำประโยชน์อันใด จะถูกเก็บภาษีในอัตราสูง คือเริ่มต้น 0.3% และเมื่อปล่อยรกร้างเป็นเวลา 3 ปี ติดต่อกัน จะถูกเก็บภาษีเพิ่มอีก 0.3% ในปีที่ 4 จึงมีคำแนะนำสำหรับคนมีที่ดินเปล่า ซึ่งต้องการประหยัดภาษี ดังนี้ เพราะที่ดินเกษตรกรรมจะเสียภาษีถูกที่สุด คือ เจ้าของที่ดินเป็นบุคคลธรรมดา ไม่ต้องเสียภาษีใน 3 ปีแรก (ปี 2563-2565) ส่วนปี 2566 เป็นต้นไป จะได้รับยกเว้น 50 ล้านบาทแรก/เขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เจ้าของที่ดินเป็นนิติบุคคล แม้จะไม่ได้รับการยกเว้นภาษี แต่ก็ยังเสียภาษีถูกกว่าประเภทที่ดินรกร้าง ยกตัวอย่างเช่น เรามีที่ดินรกร้างมูลค่า 30 ล้านบาท ต้องเสียภาษีอัตรา 0.3% คิดเป็น 90,000 บาท แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นที่ดินเกษตรกรรม จะไม่ต้องเสียภาษีเลย เพราะได้รับการยกเว้น อย่างไรก็ตาม ที่ดินเกษตรกรรมจะต้องมีการปลูกพืช หรือเลี้ยงสัตว์ แต่ไม่ใช่ว่าปลูกต้นไม้แค่ 10 ต้น แล้วจะเปลี่ยนที่ดินรกร้างให้เป็นที่ดินเกษตรกรรมได้เลย เนื่องจากคำว่าที่ดินเพื่อการเกษตรจะต้องปลูกต้นไม้ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดด้วย เช่น กล้วย : ขั้นต่ำ 200 ต้น/ไร่ ขนุน : ขั้นต่ำ 25 ต้น/ไร่ ทุเรียน : ขั้นต่ำ 20 ต้น/ไร่ ฝรั่ง : ขั้นต่ำ 45 ต้น/ไร่ มะม่วง : ขั้นต่ำ 20 ต้น/ไร่ มะพร้าวอ่อน : ขั้นต่ำ 20 ต้น/ไร่ มะนาว : ขั้นต่ำ 50 ต้น/ไร่ ยางพารา : ขั้นต่ำ 80 ต้น/ไร่ หลักเกณฑ์และรายละเอียดของการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตร สามารถอ่านได้ที่นี่ ที่ดินแปลงใหญ่มีมูลค่าสูงจะเสียภาษีอัตราสูงกว่าที่ดินแปลงเล็กตามอัตราภาษีขั้นบันได หลายคนจึงใช้วิธีแบ่งที่ดินออกเป็นแปลงเล็ก ๆ หรือโอนที่ดินที่แบ่งแล้วให้เป็นชื่อภรรยา ชื่อลูก อย่างไรก็ตาม หากมีการโอนที่ดินต้องพิจารณาเรื่องค่าธรรมเนียมการโอนด้วย กรณีมีที่ดินเกษตรกรรมในนามบุคคลธรรมดา การกระจายที่ดินให้อยู่คนละองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จะช่วยลดภาษีได้อีกทาง เพราะแม้ว่าปี 2564-2565 จะไม่ต้องเสียภาษีเลย แต่ในปี 2566 เป็นต้นไป ซึ่งต้องเสียภาษีตามปกติ ก็จะได้รับยกเว้น 50 ล้านบาทแรก/เขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น เราอาจจะสร้างบ้านบนที่ดินผืนนั้นไว้อยู่อาศัยเอง หรือสร้างบ้าน-หอพักไว้ปล่อยเช่ารายเดือนก็ได้ เพื่อจะได้จ่ายภาษีที่ดินในประเภทที่อยู่อาศัย ซึ่งเสียภาษีในอัตรา 0.02-0.10% ถูกกว่าอัตราภาษีที่ดินรกร้างถึง 10 เท่า โดยกฎหมายกำหนดว่าที่อยู่อาศัยจะต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้ เจ้าของที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะให้บุคคลใช้เพื่อการอยู่อาศัย เช่น ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าของใช้อยู่อาศัยเอง ให้ญาติพี่น้องอยู่อาศัย หรือให้เช่าเพื่ออยู่อาศัย ให้เสียภาษีในอัตราที่อยู่อาศัย ให้ครอบคลุมถึงช่วงเวลาระหว่างการก่อสร้าง หรือปรับปรุงต่อเติมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินที่ใช้เพื่อการอยู่อาศัยด้วย เช่น บ้านที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง หรือคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการตกแต่ง เป็นต้น สำหรับบ้าน หอพัก อพาร์ตเมนต์ หรือคอนโด ปล่อยเช่ารายเดือนนั้น ให้เก็บตามอัตราภาษีที่อยู่อาศัย ไม่ใช่เพื่อการพาณิชย์ แต่หากให้เช่าเป็นรายวัน จะจัดอยู่ในหมวดใช้ประโยชน์เพื่อการอื่น ๆ หากมีอสังหาริมทรัพย์ครอบครองจำนวนมาก อาจใช้วิธีจดทะเบียนให้นิติบุคคลเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แทน เนื่องจากนิติบุคคลที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดิน หรือสิ่งปลูกสร้าง แม้จะต้องเสียภาษีในอัตราเต็ม ไม่ได้รับการยกเว้นบางประการเหมือนกับบุคคลธรรมดา แต่สามารถนำภาษีที่จ่ายไปมาหักเป็นรายจ่ายของบริษัทเพื่อลดหย่อนได้ทุกปี จึงช่วยบรรเทาภาระภาษีได้อีก พ.ร.บ. ฉบับนี้ มีข้อยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีที่ดิน กรณีที่เจ้าของทรัพย์สินยินยอมให้ราชการใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ เช่น ใช้เป็นสวนสาธารณะของชุมชน เป็นสนามกีฬาของชุมชน เป็นต้น โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเจ้าของทรัพย์สินจัดทำข้อตกลงร่วมกันให้ใช้ทรัพย์สินนี้เพื่อประโยชน์สาธารณะตลอดทั้งปีภาษี นอกจากนี้ ยังมีกรณีลดภาษี เมื่อเจ้าของที่ดินนำทรัพย์สินมาใช้เพื่อสาธารณะ โดยให้บริการแก่ประชาชนทั่วไป เช่น ใช้เป็นสถานที่เล่นกีฬา สวนสัตว์ สวนสนุก ที่จอดรถสาธารณะของรถไฟฟ้าหรือสถานีขนส่ง หรือนำจัดตั้งเป็นโรงเรียน โรงเรียนสอนศาสนา ตรงนี้กฎหมายได้กำหนดให้ลดภาษีร้อยละ 90 ของจำนวนภาษีที่ต้องจ่าย (แต่การจัดตั้งนั้นต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด) หากเก็บค่าเช่ารายวัน จะต้องเสียภาษีที่ดินประเภทพาณิชยกรรม แต่หากปล่อยเช่าเป็นรายเดือน หรือรายปี จะถือว่าเป็นบ้านเพื่อใช้อยู่อาศัย เสียภาษีในอัตราที่ถูกกว่ามาก ในทางกฎหมาย คนที่จ่ายภาษีคือเจ้าของทรัพย์สิน แต่ในทางปฏิบัติเจ้าของกรรมสิทธิ์ก็สามารถเจรจาให้ผู้เช่าเป็นผู้จ่ายภาษีที่ดินแทนได้เช่นกัน หรือจะแบ่งจ่ายกันคนละครึ่งก็ได้ ขึ้นอยู่กับการตกลงของทั้งสองฝ่าย เช่น ที่ดิน หรือห้องชุด มีเจ้าของร่วมกันหลายคน สามารถตกลงให้คนใดคนหนึ่งเป็นผู้จ่ายภาษีที่ดินคนเดียวก็ได้ หรือจะร่วมกันจ่ายก็ได้ บุคคลธรรมดาที่ได้รับมรดกเป็นที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หรือห้องชุด โดยใช้เป็นบ้านหลังหลัก มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ณ วันที่ 1 มกราคม ของปีนั้น และรับโอนเป็นมรดกก่อนวันที่ 13 มีนาคม 2562 จะได้ลดภาษี 50% ของจำนวนภาษีที่จะต้องเสีย เช่น คุณเอ็มได้รับมรดกที่ดินพร้อมบ้าน มูลค่า 55 ล้านบาท โดยมีชื่ออยู่ในบ้านหลังนี้ จะได้รับยกเว้นภาษี 50 ล้านบาทแรก ส่วนเกินอีก 5 ล้านบาท จะเสียภาษี 0.03% คิดเป็น 1,500 บาท แต่คุณเอ็มได้รับบ้านหลังนี้มาตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2562 จึงได้ลดภาษี 50% เท่ากับต้องจ่ายภาษี 750 บาท ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลักษณะต่อไปนี้จะได้ลดภาษีร้อยละ 90 เป็นเวลาไม่เกิน 3 ปี ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่นำมาพัฒนาเป็นโครงการจัดสรร (ตามกฎหมายจัดสรรที่ดิน) ทั้งเพื่ออยู่อาศัย หรือเพื่ออุตสาหกรรม ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่นำมาพัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรม (ตามกฎหมายการนิคมฯ) ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่นำมาพัฒนาเป็นอาคารชุด (ตามกฎหมายอาคารชุด) หากปีใดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้รับความเสียหาย หรือถูกทำลายด้วยเหตุอันพ้นวิสัยที่จะป้องกันได้ เช่น อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย ภัยแล้ง ฯลฯ ตามที่กำหนด จะได้รับการลดหรือยกเว้นภาษี ดังนี้ ทรัพย์สินเสียหายไม่เกิน 2 ใน 3 ของจำนวนเนื้อที่ทั้งหมด ให้ลดภาษีตามส่วนที่เสียหาย ทรัพย์สินเสียหายเกินกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนเนื้อที่ทั้งหมด ให้ได้รับยกเว้นภาษี เท่ากับไม่ต้องเสียภาษีที่ดินในปีภาษีถัดไป ก่อนจะมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เจ้าของทรัพย์สินจะต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน หรือภาษีบำรุงท้องที่ ทุกปีอยู่แล้ว แต่เมื่อเปลี่ยนมาเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแทน หากจำนวนเงินที่ต้องจ่ายสูงกว่าจำนวนภาษีเดิมที่เสียอยู่ กฎหมายก็ยังผ่อนปรนให้ทยอยปรับภาษีส่วนที่เพิ่มจากเดิมในช่วง 3 ปีแรก ดังนี้ ปีที่ 1 จ่ายเท่ากับจำนวนภาษีเดิมที่จ่ายในปีก่อนใช้ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินฯ ภาษีส่วนที่เหลือให้จ่าย 25% ปีที่ 2 จ่ายเท่ากับจำนวนภาษีเดิมที่จ่ายในปีก่อนใช้ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินฯ ภาษีส่วนที่เหลือให้จ่าย 50% ปีที่ 3 จ่ายเท่ากับจำนวนภาษีเดิมที่จ่ายในปีก่อนใช้ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินฯ ภาษีส่วนที่เหลือให้จ่าย 75% ตามกฎหมายได้กำหนดระยะเวลาเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ดังนี้ ประกาศราคาประเมินที่ดิน : โดยปกติคือ ก่อนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ของทุกปี แต่สำหรับปี 2564 กระทรวงมหาดไทยให้ขยายระยะเวลาออกไปอีก 2 เดือน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนช่วงโควิด ดังนั้น กำหนดการประกาศราคาประเมินที่ดิน จะเลื่อนเป็นก่อนวันที่ 1 เมษายน 2564 แจ้งการประเมินภาษีให้ผู้เสียภาษีทราบ : ภายในเดือนเมษายน 2564 เมื่อได้รับแจ้งให้ตรวจสอบอัตราภาษี ประเภทของภาษีที่จัดเก็บให้เรียบร้อย กรณีที่พบว่าข้อมูลไม่ถูกต้อง เช่น ประเมินบ้านซึ่งเป็นที่พักอาศัย เป็นการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ซึ่งจะทำให้เสียภาษีมากขึ้น เราสามารถใช้สิทธิ์คัดค้านการประเมินภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ ภดส.6 ชำระภาษี : ภายในเดือนมิถุนายน 2564 แต่หากต้องจ่ายภาษีเป็นจำนวนเกิน 3,000 บาท เราสามารถใช้สิทธิ์ขอผ่อนชำระภาษีได้ 3 งวดเท่า ๆ กัน โดยไม่เสียดอกเบี้ย คือต้องจ่ายงวดที่ 1 ภายในเดือนมิถุนายน งวดที่ 2 เดือนกรกฎาคม และงวดที่ 3 เดือนสิงหาคม 2564 อปท. มีหนังสือแจ้งเตือนผู้เสียภาษีที่มีภาษีค้างชำระ : ภายในเดือนกรกฎาคม 2564 หลายคนเข้าใจผิดว่า กรมสรรพากรเป็นผู้เก็บภาษีที่ดิน แต่จริง ๆ แล้ว เราต้องจ่ายภาษีที่ดินที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของพื้นที่นั้น ๆ คือ กรุงเทพฯ : ชำระภาษีที่สำนักงานเขตในพื้นที่ที่ทรัพย์สินตั้งอยู่ เมืองพัทยา : ชำระภาษีที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา ต่างจังหวัด : ชำระภาษีที่สำนักงานเทศบาล/ที่ทำการขององค์การบริหารส่วนตำบล/ที่ทำการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีกฎหมายกำหนด หรือสถานที่อื่นที่ผู้บริหารท้องถิ่นกำหนด ถ้าเราไม่มาชำระภาษีภายในระยะเวลาที่กำหนด จะต้องเสียภาษีค้างชำระ รวมทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ดังนี้ 1. หากไม่มาชำระภาษีภายในเวลาที่กำหนด แต่ต่อมาได้มาชำระภาษีก่อนจะได้รับหนังสือแจ้งเตือน ให้คิดเบี้ยปรับร้อยละ 10 ของจำนวนภาษีค้างชำระ 2. หากมาชำระภาษีภายในระยะเวลาที่กำหนดในหนังสือแจ้งเตือน ให้คิดเบี้ยปรับร้อยละ 20 ของจำนวนภาษีค้างชำระ 3. หากมาชำระภาษีภายหลังจากที่กำหนดในหนังสือแจ้งเตือน ให้คิดเบี้ยปรับร้อยละ 40 ของจำนวนภาษีค้างชำระ 4. หากไม่ได้ชำระภาษีภายในเวลาที่กำหนด ให้เสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1 ต่อเดือนของจำนวนภาษีค้างชำระ เศษของเดือนให้นับเป็น 1 เดือน 5. กรณีที่ผู้บริหารท้องถิ่นให้ขยายกำหนดเวลาชำระภาษี และได้ชำระภายในกำหนดเวลาที่ขยายให้นั้น ให้คิดเงินเพิ่มลดลงเหลือร้อยละ 0.5 ต่อเดือน หรือเศษของเดือน 6. เบี้ยปรับอาจงดได้ในกรณีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างถูกยึดหรืออายัดตามกฎหมาย โดยเราจะต้องยื่นคำร้องเป็นหนังสือต่อผู้บริหารท้องถิ่น เพื่อของดเบี้ยปรับของภาษีที่ค้างชำระ เมื่อเราทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอย่างชัดเจนแล้วว่าต้องเสียภาษีเท่าไร หรือต้องทำอย่างไรถึงช่วยประหยัดภาษี ทีนี้ก็สามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปวางแผนจัดการเรื่องภาษีได้อย่างถูกต้องต่อไป เพื่อรักษาสิทธิ์ของตัวเองอย่างเต็มที่* หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 28 มกราคม 2564 ขอบคุณข้อมูลจาก สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง, ราชกิจจานุเบกษา, สำนักงานเทศบาลตำบลเสาธงหิน, เทศบาลนครอุดรธานี, กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย, ธนาคารอาคารสงเคราะห์, ไทยพีบีเอส, เฟซบุ๊กสถานีข่าวกระทรวงการคลัง : Ministry of Finance News Station
แสดงความคิดเห็น