
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
เดี๋ยวนี้เห็นโฆษณาเชิญชวนให้คนทำประกันชีวิตกันเพียบ ทั้งในหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ (แม้กระทั่งเซลล์ขายประกันก็ยังโทรศัพท์ตามตื๊ออยู่บ่อย) ดู ๆ แล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่า การทำประกันชีวิตจะให้ประโยชน์อะไรกับเราบ้าง เราควรทำไว้ไหม หรือถ้าคิดจะทำ ควรจะเลือกแบบไหนดี ใครที่กำลังวางแผนเรื่องนี้อยู่ ลองมาดูข้อมูลต่อไปนี้ เพื่อจะได้ช่วยตัดสินใจได้ค่ะ

ประกันชีวิต หรือ กรมธรรม์ประกันชีวิต ในนัยของกฎหมาย จะหมายถึงสัญญาต่างตอบแทนที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า "ผู้เอาประกัน" มีหน้าที่ต้องจ่ายเบี้ยประกันให้กับคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง เรียกว่า "บริษัทประกันชีวิต" และเมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิต หรืออยู่ครบตามสัญญาของกรมธรรม์ ทางฝ่าย "บริษัทประกันชีวิต" ก็มีหน้าที่ต้องจ่ายผลตอบแทน เรียกว่า "ทุนประกันชีวิต" ให้แก่ผู้เอาประกันหรือผู้รับผลประโยชน์ตามกรมธรรม์
หากพูดง่าย ๆ ก็คือ การประกันชีวิต เป็นการเฉลี่ยความเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นการตาย การสูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ และการสูญเสียรายได้ในยามชรา ที่จะเกิดขึ้นจากคนหนึ่งไปยังอีกหลาย ๆ คน โดยมีผู้รับประกันภัยทำหน้าที่กระจายความเสี่ยงระหว่างผู้เอาประกันทั้งหมด ด้วยการให้ผู้เอาประกันจ่ายเงินจำนวนหนึ่งในรูปของ "เบี้ยประกัน" ให้แก่ผู้รับประกันไว้เป็นเงินกองกลาง เมื่อผู้เอาประกันได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ที่เอาประกัน ผู้รับประกันก็จะนำเงินกองกลางนั้นไปชดใช้ตามจำนวนที่ได้ตกลงกัน

หลายคนกำลังมีคำถามว่า ทำไมต้องทำประกันชีวิตด้วย ทำประกันชีวิตแล้วจะได้ประโยชน์อะไร ซึ่งคนที่ทำประกันชีวิตไว้ก็ให้เหตุผลแตกต่างกันไป เช่น









หากพิจารณาจากเหตุผลข้างต้นแล้ว ก็พอสรุปได้ว่า เพื่อที่จะได้มีทุนสำรองไว้ ในกรณีต่าง ๆ นั่นเอง

เมื่อเริ่มสนใจจะทำประกันชีวิตแล้ว ก็ต้องมารู้จักก่อนว่าประกันชีวิตมีกี่ประเภท โดยทั่วไป แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

เป็นการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยค่อนข้างสูง ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไป อาจให้ชำระเบี้ยประกันภัยเป็นรายปี, ราย 6 เดือน, ราย 3 เดือน หรือรายเดือน แล้วแต่แพ็กเกจนั้น ๆ และบางบริษัทอาจให้ตรวจสุขภาพ หรือไม่ต้องตรวจสุขภาพก็ได้ ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินเอาประกันภัย และอายุของผู้ทำประกัน

เป็นการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยค่อนข้างต่ำ คือประมาณ 10,000 - 30,000 บาท เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางถึงรายได้ต่ำ โดยทั่วไปกำหนดให้ชำระเบี้ยประกันเป็นรายเดือน และไม่ต้องตรวจสุขภาพ แต่บริษัทอาจกำหนดเงื่อนไขให้มีระยะเวลารอคอย (Waiting Period) เป็นเวลา 180 วัน
คำว่า ระยะเวลารอคอย (Waiting Period) ก็คือ ระยะเวลาที่กำหนดไว้เพื่อพิสูจน์สุขภาพของผู้เอาประกันภัย หากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตภายในระยะเวลาดังกล่าว ด้วยโรคภัยไข้เจ็บตามธรรมชาติ บริษัทประกันชีวิตไม่ต้องจ่ายเงินเอาประกันภัย แต่จะคืนเบี้ยประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยได้ชำระมาแล้วทั้งหมดให้ก็ได้

เป็นการประกันชีวิตที่กรมธรรม์หนึ่งจะมีผู้เอาประกันชีวิตร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ส่วนมากจะเป็นกลุ่มของพนักงานบริษัท ในการพิจารณารับประกันอาจจะมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ตรวจก็ได้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัท ซึ่งต้องพิจารณาเรื่องความเสี่ยงภัยของบุคคลในกลุ่มทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอายุ เพศ หน้าที่การงาน หรือจำนวนเงินเอาประกัน และเพราะเป็นการประกันกลุ่มนี่เอง จึงทำให้อัตราเบี้ยประกันชีวิตจะถูกกว่าประเภทสามัญและประเภทอุตสาหกรรม

อีกเรื่องหนึ่งที่คนสนใจทำประกันชีวิตอยากรู้กันมากก็คือ การทำประกันชีวิตมีรูปแบบไหนบ้าง เพราะเห็นบางแผนก็บอกตลอดชีพ บางแผนก็กำหนดอายุ กำหนดช่วงเวลา มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีลักษณะความคุ้มครองและผลประโยชน์แตกต่างกันออกไป ถ้างั้นขอบอกให้ทราบไว้เลยว่า ถ้าเป็นประกันชีวิตรูปแบบพื้นฐานก็จะมีอยู่ 4 แบบ ดังนี้

เป็นการประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองตลอดชีพ โดยบริษัทตกลงจะจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ให้แก่ผู้รับประโยชน์ เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต ไม่ว่าจะเสียชีวิตเมื่อใดก็ตาม แต่ถ้าหากผู้เอาประกันภัยมีชีวิตอยู่จนถึงอายุ 99 ปี บริษัทประกันชีวิตก็จะจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ให้แก่ผู้เอาประกันภัย
วัตถุประสงค์ของการทำประกันชีวิตแบบตลอดชีพก็คือ เพื่อที่ลูกหลาน หรือผู้รับผลประโยชน์จะได้มีเงินทุนในภายภาคหน้า รวมทั้งจะได้มีเงินมารักษาการเจ็บป่วย และจ่ายค่าทำศพของผู้เอาประกัน หลังจากเสียชีวิตไปแล้ว โดยจะได้ไม่ต้องเป็นภาระของผู้อื่น

เป็นการประกันชีวิตที่บริษัทจะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยเมื่อมีชีวิตอยู่ครบกำหนดสัญญา หรือจ่ายเงินเอาประกันภัย ให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตลงภายในระยะเวลาประกันภัย
การประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์นี้ เป็นส่วนผสมของการคุ้มครองชีวิตและการออมทรัพย์ โดยผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงินคืน เมื่อสัญญาครบกำหนด

เป็นการประกันชีวิตที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตในระยะเวลาที่กำหนดไว้ เช่น 1 ปี, 5 ปี, 10 ปี หรือ 20 ปี ซึ่งสัญญาประกันชีวิตแบบนี้มีลักษณะเป็นการให้ความคุ้มครองการเสี่ยงภัยอันเกิดจากการเสียชีวิตแต่เพียงอย่างเดียว ไม่มีการสะสมทรัพย์รวมอยู่ด้วย จึงมีลักษณะเช่นเดียวกับสัญญาประกันอัคคีภัย เมื่อครบกำหนดสัญญาแล้วจึงไม่มีมูลค่าใด ๆ คืนให้ผู้เอาประกัน
วัตถุประสงค์ของการทำประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลาก็คือ เพื่อคุ้มครองการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และมีข้อดีตรงนี้เบี้ยประกันภัยจะถูกกว่าแบบอื่น เพราะไม่มีเงินเหลือคืนให้หากผู้เอาประกันภัยอยู่จนครบกำหนดสัญญา

เป็นการประกันชีวิตที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเท่ากันอย่างสม่ำเสมอให้แก่ผู้เอาประกันภัยทุกเดือน นับแต่ผู้เอาประกันภัยเกษียณอายุ หรือมีอายุครบ 55 ปี หรือ 60 ปี เป็นต้นไปจนครบสัญญา แล้วแต่เงื่อนไขในกรมธรรม์ที่กำหนดไว้ และขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เอาประกันชีวิตที่จะเลือกซื้อ
สัญญาประกันชีวิตแบบนี้เหมาะกับผู้เอาประกันภัยที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสะสมทรัพย์ไว้เป็นค่าใช้จ่ายหลังจากที่เกษียณอายุการทำงานแล้ว

หากคิดจะทำประกันชีวิตแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณา ดังนี้





เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำประกันชีวิตรูปแบบไหน กับบริษัทใด หลังจากนั้น ก็ต้องดำเนินการดังนี้











ในการขอรับเงินผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ หรือที่เข้าใจกันทั่วไปว่าเป็นการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนนั้น ให้ดำเนินการดังนี้
1. ติดต่อบริษัทประกันภัยให้เร็วที่สุด
2. กรณีผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต จะแยกเป็นกรณีตามสาเหตุของการเสียชีวิต ดังนี้
2.1 เสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ต้องแจ้งให้ทราบภายใน 14 วัน และเตรียมหลักฐานประกอบด้วย





2.2 เสียชีวิตโดยฆ่าตัวตาย







2.3 เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ เตรียมหลักฐานตาม 2.1(1) - (5) โดยเพิ่ม








3. กรณีเรียกร้องค่ารักษาพยาบาล ทุพพลภาพ และสูญเสียอวัยวะ แจ้งบริษัททราบภายใน 10 วัน และเตรียมหลักฐาน ดังนี้



4. กรณีกรมธรรม์ครบกำหนด
ในกรณีเป็นการประกันชีวิต ประเภทสะสมทรัพย์ที่มีเงินคืนเมื่อกรมธรรม์ครบกำหนด ให้ดำเนินการติดต่อบริษัทประกันภัย และเตรียมหลักฐาน คือ กรมธรรม์ประกันชีวิต และบัตรประชาชนของผู้เอาประกันภัย

หากเป็นการเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ โรคภัยไข้เจ็บ ทางบริษัทประกันภัยจะสามารถจ่ายเงินสินไหมให้ตามสัญญาที่ระบุไว้ แต่ก็ยังมีการเสียชีวิตบางกรณีที่บริษัทจะยกเว้นการจ่ายเงินเอาประกัน นั่นคือ
1. ผู้เอาประกันภัยถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา
2. ผู้เอาประกันฆ่าตัวตายภายใน 1 ปี นับจากวันทำสัญญาหรือวันต่ออายุสัญญาครั้งสุดท้าย
ความตายที่เกิดจากสาเหตุข้างต้นดังกล่าว บริษัทประกันชีวิตจะไม่จ่ายจำนวนเงินเอาประกันชีวิตให้ แต่จะคืนเบี้ยประกันชีวิตที่ได้ชำระมาแล้วทั้งหมดเท่านั้น

1. ผู้เอาประกันชีวิตต้องชำระเงินในระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ตามสัญญา
2. หากตัวแทนของบริษัทประกันชีวิตยังไม่มาเก็บเงิน ตามกฎหมายจะถือว่าเป็นหน้าที่ของผู้เอาประกันชีวิตจะต้องไปชำระที่สาขาของบริษัทด้วยตนเอง หรือส่งเป็นธนาณัติ เช็ค เพื่อที่บริษัทจะได้ส่งใบเสร็จรับเงินมาให้อย่างถูกต้อง โดยต้องเขียนที่อยู่ของท่านให้ถูกต้อง เพื่อมิให้เสียโอกาสและประโยชน์
3. หากไม่สามารถหาเงินมาชำระได้ภายในวันที่ระบุไว้ ผู้เอาประกันชีวิตมีสิทธิที่จะได้รับการผ่อนผันการชำระเงินได้ โดยยืดระยะเวลาได้ประมาณ 30 วัน
4. การชำระเบี้ยประกันภัยตรงเวลามีผลให้กรมธรรม์ประกันภัยไม่ขาดอายุ ส่งผลต่อการได้รับสิทธิประโยชน์อย่างครบถ้วนตามสัญญาประกันชีวิต การชำระเบี้ยประกันภัยทุกครั้ง หากชำระผ่านตัวแทนประกันชีวิตควรเรียกใบรับเงินชั่วคราว หากชำระผ่านช่องทางอื่นควรเก็บหลักฐานการชำระเงินไว้ทุกครั้ง จนกว่าจะได้รับใบรับเงินตัวจริงจากบริษัทประกันชีวิต เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ของตัวเอง
5. ผู้เอาประกันชีวิตสามารถนำประกันชีวิตมาหักภาษีรายได้บุคคลได้ โดยรัฐบาลได้เพิ่มจำนวนเงินเบี้ยประกันชีวิตที่สามารถนำไปหักภาษีได้ไม่เกิน 100,000 บาท

เมื่อได้รับกรมธรรม์ประกันภัยจากบริษัทประกันชีวิตแล้ว ขอให้ตรวจสอบความถูกต้อง หากไม่พึงพอใจด้วยสาเหตุใดก็ตามสามารถใช้สิทธิยกเลิกสัญญา (Free Look) โดยส่งคืนกรมธรรม์ประกันภัยมายังบริษัทประกันชีวิตภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับกรมธรรม์จากบริษัทประกันชีวิตซึ่งบริษัทประกันชีวิตจะคืนเบี้ยประกันภัย ที่เหลือจากการหักค่าตรวจสุขภาพตามที่จ่ายจริง (ถ้ามี) และค่าใช้จ่ายของบริษัทฉบับละ 500 บาทแล้ว

หากเกิดกรณีนี้ขึ้น จะมีแนวทางให้เลือก 3 แบบคือ
1. ขอรับเงินสด กรณีนี้ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยจะสิ้นสุดทันทีจำนวนเงินสดที่ได้รับคืนจะเป็นไปตามจำนวนที่ระบุในตารางเวนคืนเงินสดที่แนบอยู่ท้ายกรมธรรม์ประกันภัย
2. ขอเปลี่ยนเป็นมูลค่าใช้เงินสำเร็จ กรณีนี้ระยะเวลาความคุ้มครองจะเท่าเดิมตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย แต่จำนวนเงินเอาประกันภัยจะลดลง จำนวนเงินเอาประกันภัยใหม่จะเป็นไปตามจำนวนที่ระบุในตารางมูลค่าใช้เงินสำเร็จที่แนบอยู่ท้ายกรมธรรม์ประกันภัย
3. ขอเปลี่ยนเป็นมูลค่าขยายเวลา กรณีนี้จำนวนเงินเอาประกันภัยจะเท่าเดิมตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย แต่ระยะเวลาความคุ้มครองใหม่จะเป็นไปตามที่ระบุไว้ในตารางมูลค่าขยายเวลาที่แนบอยู่ท้ายกรมธรรม์ประกันภัย

เพราะการซื้อประกันชีวิตเป็นการเฉลี่ยภัยในหมู่ผู้เอาประกันภัยด้วยกัน หากผู้เอาประกันภัยรายใดเสียชีวิต บริษัทประกันชีวิตก็จะนำเงินจากเบี้ยประกันชีวิตของผู้เอาประกันภัยทุกคนไปจ่ายให้กับผู้รับประโยชน์ของผู้ที่เสียชีวิต ดังนั้นเหตุที่มูลค่าเวนคืนเงินสดมีมูลค่าน้อยกว่าเพราะเบี้ยประกันภัยที่ท่านชำระมาแล้วส่วนหนึ่งจะถูกนำไปจ่าย ให้แก่ผู้เอาประกันภัยรายอื่นที่เสียชีวิต

เพื่อสนองความต้องการของผู้เอาประกันชีวิตที่ต้องการความคุ้มครองเพิ่มมากขึ้นจากความคุ้มครองด้านการมีชีวิตอยู่หรือการตาย บริษัทประกันชีวิตจึงได้มีรูปแบบความคุ้มครองต่าง ๆ เพิ่มขึ้น เช่น การประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล การประกันภัยค่ารักษาพยาบาลและผ่าตัดในโรงพยาบาล การประกันภัยโรคร้ายแรงและอื่น ๆ อีกมาก
ทั้งนี้ การที่ผู้เอาประกันภัยจะสามารถเลือกซื้อความคุ้มครองพิเศษนี้ได้จะต้องเลือกซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตหลักก่อนแล้ว จึงค่อยซื้อความคุ้มครองพิเศษนี้ในรูปแบบของสัญญาเพิ่มเติม โดยสัญญาเพิ่มเติมที่ซื้อนี้จะเป็นสัญญาปีต่อปี
ใครที่สนใจจะทำประกันชีวิต แต่ยังไม่มีข้อมูล วันนี้ ก็คงได้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวการทำประกันชีวิตมากขึ้นจากข้อมูลที่กระปุกดอทคอมนำมาแนะนำกันแล้วนะคะ แต่ถ้าใครอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม หรือมีข้อสงสัย ลองสอบถามได้ที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.), สมาคมประกันชีวิตไทย หรือสายด่วนกรมการประกันภัย โทร. 1186
ขอขอบคุณข้อมูลจาก


