ภาษี e-Service คือ การเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) กับผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ (e-Service) และอิเล็กทรอนิกส์แพลตฟอร์มต่าง ๆ โดยถ้ามียอดขายเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องนำส่ง VAT ให้กรมสรรพากร ซึ่งปัจจุบันคิดอัตรา 7% ของราคาค่าบริการ
พูดง่าย ๆ ก็คือ แพลตฟอร์มออนไลน์จากต่างประเทศที่ให้บริการในไทย เช่น Facebook, Google, Line, Microsoft, Apple, TikTok ฯลฯ หากมีรายได้เกิน 1.8 ล้านต่อปี จะต้องไปจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมชำระภาษีเป็นรายเดือน ภายในวันที่ 23 ของเดือนถัดไป
เหตุผลหลัก ๆ คือเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างผู้ประกอบการไทย กับผู้ประกอบการจากต่างประเทศนั่นเอง เพราะโดยปกติแล้วเมื่อทำธุรกิจ ผู้ประกอบการไทยต้องยื่นภาษี ชำระ VAT 7% ให้กรมสรรพากรมาโดยตลอด แต่ผู้ประกอบการจากต่างประเทศที่มีรายได้ในประเทศไทยกลับไม่ต้องเสียภาษี VAT เลย เนื่องจากกฎหมายเดิมไม่ได้ครอบคลุมถึง
ดังนั้น กฎหมาย e-Service จึงออกมาช่วยปิดช่องโหว่ตรงนี้ เพื่อให้ผู้ประกอบการต่างชาติต้องจดทะเบียนและเสียภาษีเช่นเดียวกับผู้ประกอบการไทย ซึ่งกรมสรรพากรก็คาดว่าจะสามารถจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้เพิ่มขึ้นปีละ 5,000 ล้านบาท
และไม่ใช่แค่ประเทศไทยเท่านั้นที่มีการจัดเก็บภาษี e-Service แต่กว่า 60 ประเทศ เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ มาเลเซีย ไต้หวัน ฯลฯ ก็ได้ออกกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อให้ผู้ประกอบการอิเล็กทรอนิกส์แพลตฟอร์มต่างประเทศจดทะเบียนและนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่หน่วยงานจัดเก็บภาษีของประเทศนั้น ๆ
ธุรกิจที่เกี่ยวข้องโดยตรงคือแพลตฟอร์มของบริษัทต่างประเทศที่ให้บริการทางออนไลน์ในประเทศไทย แบ่งเป็น 5 กลุ่มหลัก คือ
1. ธุรกิจให้บริการแพลตฟอร์มสำหรับขายของออนไลน์ เช่น Amazon, Alibaba
2. ธุรกิจให้บริการพื้นที่โฆษณาบนเว็บไซต์ หรือสื่อสังคมออนไลน์ เช่น Facebook, Google
3. ธุรกิจให้บริการจองโรงแรมที่พักและการเดินทาง เช่น Agoda, Booking, Airbnb
4. ธุรกิจให้บริการเป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อ-ผู้ขาย เช่น บริการเรียกรถรับ-ส่ง, ขนส่ง
5. ธุรกิจให้บริการสมาชิกดูหนัง-ฟังเพลงออนไลน์ เล่นเกม และแอปพลิเคชันต่าง ๆ เช่น Netflix, Disney, Youtube, IQIYI, Spotify, App Store, Play Store, Zoom, Slack
โดยทั้ง 5 กลุ่มธุรกิจนี้ หากมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี และยังไม่ได้จดทะเบียน VAT จะต้องมาจดทะเบียนและดำเนินการทางภาษีผ่านระบบงานภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ (VAT for Electronic Service : VES) บนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร
ถ้าต้องการทราบว่าผู้ประกอบการรายไหนจดทะเบียน VAT ในไทยแล้วบ้าง สามารถตรวจสอบรายชื่อได้ที่นี่เลย eservice.rd.go.th
ต้องจ่ายภาษีเพิ่มไหม
1. ถ้าผู้ใช้บริการจดทะเบียน VAT อยู่แล้ว
อย่างเช่น เราเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือเป็นบริษัทที่จดทะเบียน VAT เพื่อเสียภาษีทุกเดือนอยู่แล้ว หากใช้บริการแพลตฟอร์มจากต่างประเทศ เราต้องแจ้งหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี VAT ให้แพลตฟอร์มจากต่างประเทศทราบด้วยว่า เราเป็นผู้ประกอบการที่จดทะเบียน VAT อยู่แล้ว เพื่อที่ทางแพลตฟอร์มจะได้ไม่ชาร์จ VAT เพิ่มจากเรา
จากนั้นเราค่อยไปยื่นแบบ ภ.พ.36 เพื่อจ่ายภาษี VAT เอง ซึ่งสามารถนำภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบเสร็จรับเงินของกรมสรรพากรมาหักเป็นภาษีซื้อได้เช่นเดิม แต่ผู้ประกอบการที่เสียภาษี e-Service จะไม่มีสิทธิ์ออกใบกำกับภาษี และไม่สามารถนำภาษีซื้อมาหักออกจากภาษีขายได้
2. ถ้าผู้ใช้บริการไม่ได้จดทะเบียน VAT
นั่นก็คือคนทั่วไปอย่างเรา ๆ ซึ่งจะไม่ได้เสียภาษี e-Service โดยตรง เพราะเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการต่างประเทศ แต่ก็อาจจะได้จ่ายภาษีทางอ้อม เนื่องจากต้นทุนของประกอบการสูงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการบางรายมาเรียกเก็บ VAT 7% จากเราแทน
ดังนั้น หากเราใช้บริการแพลตฟอร์มจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขายสินค้า จองห้องพัก จองตั๋วเครื่องบิน ดูหนัง ฟังเพลง ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ดาวน์โหลดเกม ฯลฯ ก็มีโอกาสต้องจ่ายค่าบริการ ค่าสินค้าแพงขึ้นอีก 7% เช่น ปกติเคยซื้อโฆษณา Google Ads 1,000 บาท อาจต้องจ่ายเพิ่มเป็น 1,070 บาท เป็นต้น
บทความที่เกี่ยวข้องกับภาษีและการซื้อ-ขายออนไลน์
ขอบคุณข้อมูลจาก
กรมสรรพากร
ราชกิจจานุเบกษา
รัฐบาลไทย
accountingcenter.co