x close

ธปท. เผย 8 ทางเลือก ปรับโครงสร้างหนี้ ที่ลูกหนี้ควรรู้ หลังจะให้หยุดพักชำระหนี้ ต.ค. นี้

          แบงก์ชาติ เผย 8 ทางเลือกปรับโครงสร้างหนี้ที่ลูกหนี้ควรรู้ เพื่อสู้วิกฤตเศรษฐกิจจากโควิด 19 หลังจะให้หยุดพักชำระหนี้สิ้นเดือน ต.ค. นี้ มาดูกันว่า..แนวทางปรับโครงสร้างหนี้แบบไหนที่เหมาะกับเรา

ปรับโครงสร้างหนี้

           จากกรณีธนาคารแห่งประเทศไทย ออกมาประกาศมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ช่วงโควิด 19 ในระยะที่ 2 ว่า หลังสิ้นเดือนตุลาคมนี้ ลูกหนี้ไม่สามารถพักชำระหนี้ต่อได้แล้ว เพราะสถานะความต้องการความช่วยเหลือของลูกหนี้แต่ละรายมีความแตกต่างกัน จึงจะให้สถาบันการเงินพิจารณาลูกหนี้แต่ละรายเพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุด พร้อมแนะลูกหนี้แบบไหนสามารถเลื่อนจ่ายหนี้ต่อไปได้โดยไม่เสียประวัตินั้น

อ่านข่าว : แบงก์ชาติ เปิดเหตุผล ทำไมให้หยุดพักชำระหนี้หลัง ต.ค.-แนะทาง จากนี้ไปอย่างไรต่อ

           ล่าสุด (23 กรกฎาคม 2563) ธนาคารแห่งประเทศไทย เผยแพร่บทความโดย คมน์ ไทรงาม ฝ่ายคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงินแบงก์ชาติ เกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้สู้ภัยเศรษฐกิจจากพิษโควิด 19 ลดโอกาสที่ลูกหนี้ดีจะกลายเป็นลูกหนี้เสีย กับ 8 ทางเลือกปรับโครงสร้างหนี้ (ยืด - พัก - ลด - ยก - เพิ่ม - เปลี่ยน - ปิด - รี) ดังนี้

เริ่มต้นอย่างไรดี ?

           - ไม่ต้องรอให้เป็นหนี้เสีย เมื่อคิดว่าเริ่มจะผ่อนไม่ไหว ให้รีบติดต่อสถาบันการเงิน จะได้ไม่เสียประวัติข้อมูลเครดิต

           - หากเป็นหนี้เสียแล้ว ก็สามารถติดต่อสถาบันการเงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ให้เหมาะสมและผ่อนไหวได้

           - เตรียมตัวก่อนเข้าไปเจรจา คิดไว้คร่าว ๆ ว่าแนวทางปรับโครงสร้างหนี้แบบไหนที่เหมาะกับเรา

แนวทางปรับโครงสร้างหนี้ 8 วิธี แบบไหนดีที่เหมาะกับเรา

           1. ยืดหนี้ : การยืดหรือขยายระยะเวลาชำระหนี้ นิยมใช้กันมากที่สุดเพื่อช่วยให้ภาระการผ่อนสอดคล้องกับรายได้ที่ลดลง เช่น สินเชื่อระยะเวลาผ่อน 10 ปี ผ่อนมาแล้ว 6 ปี เหลือ 4 ปี เริ่มผ่อนไม่ไหว จะขอขยายให้ยาวออกไป เพื่อทำให้ยอดผ่อนชำระต่อเดือนปรับลดลง

           - สถาบันการเงินอาจพิจารณาอายุตัวของผู้กู้ประกอบด้วย ซึ่งในอดีตค่าเฉลี่ยของระยะเวลาผ่อนชำระหลังจากที่ปรับโครงสร้างหนี้อยู่ที่ประมาณ 8 ปี

           2. พักชำระเงินต้น : ช่วยลดภาระการผ่อนชั่วคราว โดยปกติค่างวดที่ผ่อนชำระประกอบด้วย 2 ส่วน คือ เงินต้นกับดอกเบี้ย เช่น เดิมสัญญาเงินกู้กำหนดค่าผ่อนชำระเท่ากันทุกเดือน เดือนละ 20,000 บาท ประกอบด้วย เงินต้น 8,000 บาท และดอกเบี้ย 12,000 บาท การพักชำระเงินต้นจะทำให้ค่างวดเหลือเพียง 12,000 บาท แต่การผ่อนแบบนี้เงินต้นจะไม่ลดลงในช่วงพัก จะส่งผลให้ลูกหนี้ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ขึ้นในช่วงท้ายสัญญา (balloon) หรือทำให้ต้องเป็นหนี้และแบกภาระดอกเบี้ยนานขึ้น

           - สถาบันการเงินอาจพิจารณาพักชำระเงินต้น เป็นเวลา 3-6 เดือน แต่เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น ลูกหนี้อาจนำเงินก้อนมา "โปะ" เพื่อลดหนี้ก่อนถึงกำหนดตามสัญญา ซึ่งจะทำให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายมีจำนวนลดลง และหนี้หมดเร็วขึ้น

           3. ลดอัตราดอกเบี้ย : อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ลดลง ทำให้ค่างวดที่จ่ายแต่ละเดือนแบ่งไปตัดลดเงินต้นได้มากขึ้น และเมื่อเงินต้นลด ภาระดอกเบี้ยก็จะลดลง เช่น เรากู้ยืมโดยมีอัตราดอกเบี้ย MOR+2% ต่อปี ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจทำให้ผ่อนชำระที่อัตราดอกเบี้ยเดิมไม่ไหว สามารถยื่นเรื่องขอลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้ต่ำลง

           - สถาบันการเงินพิจารณาลดให้หรือไม่ ดูจากหลายปัจจัย เช่น ต้นทุนของสถาบันการเงิน ประวัติการผ่อนชำระของลูกหนี้ ประเภทสินเชื่อ และหลักประกัน เป็นต้น

           4. ยกหรือผ่อนปรนดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ : เมื่อต้นปี 2563 แบงก์ชาติได้ประกาศให้สถาบันการเงินคิดดอกเบี้ยปรับบนฐานของงวดที่ผิดนัดชำระจริงเท่านั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และให้ความสำคัญกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้

           - สถาบันการเงินสามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยปรับได้ แต่ต้องไม่เป็นภาระแก่ลูกหนี้จนเกินไป หรือเป็นเหตุที่ทำให้ภาระหนี้สูงขึ้นมากจนชำระไม่ได้ กลายเป็นหนี้เสียในเวลาต่อมา

ปรับโครงสร้างหนี้

           5. เพิ่มเงินทุนหมุนเวียน : ในภาวะที่เหตุการณ์ในอนาคตมีความไม่แน่นอนสูง เงินทุนหมุนเวียน (working capital: WC) เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยหล่อเลี้ยงธุรกิจในยามที่ลำบาก ให้มีโอกาสฟื้นกลับอย่างรวดเร็วได้ในภายหลัง แบงก์ชาติจึงสนับสนุนให้สถาบันการเงินให้สินเชื่อ WC ใหม่แก่กิจการที่มีศักยภาพ โดยแยกการจัดชั้นสินเชื่อ WC ออกจากสินเชื่ออื่น ซึ่งอาจจะเป็น NPL ไปแล้ว ช่วยให้กิจการยังมีบัญชีสินเชื่อสถานะปกติไว้ใช้งานได้

           - ผู้กู้ควรเตรียมเหตุผลและประมาณการรายจ่ายที่จะเกิดขึ้นในระยะ 6-12 เดือนข้างหน้า อาทิ ค่าจ้างพนักงาน ค่าซื้อวัตถุดิบเพื่อผลิตสินค้า รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการดำเนินงาน เช่น ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าเช่าสำนักงาน เป็นต้น เพื่อให้สถาบันการเงินใช้ประกอบการพิจารณาวงเงิน

           - สถาบันการเงินจะพิจารณาจากประวัติการผ่อนชำระ เช่น 1 ปีที่ผ่านมา ลูกหนี้ชำระหนี้ทั้งในส่วนของเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นจำนวนเท่าใด วงเงิน WC ที่ขอเพิ่มเติมคิดเป็นสัดส่วนเท่าใดของภาระหนี้รวม เป็นต้น

           6. เปลี่ยนประเภทหนี้ : หนี้ที่อัตราดอกเบี้ยแพงควรถูกเปลี่ยนประเภทเป็นหนี้ที่อัตราดอกเบี้ยถูกลง เช่น ลูกหนี้ SMEs ใช้บัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดเป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนอัตราดอกเบี้ยสูง 18% และ 28% หรือลูกหนี้มีวงเงิน O/D ใช้วงเงินเต็ม

           - สถาบันการเงินอาจพิจารณาเปลี่ยนจากสินเชื่อหมุนเวียนที่อัตราดอกเบี้ยแพงเหล่านี้ ไปเป็นสินเชื่อแบบมีกำหนดระยะเวลาชำระ (term loan) ที่ดอกเบี้ยถูกลง

           7. ปิดจบด้วยเงินก้อน : หากพอมีความสามารถหาเงินก้อนได้จำนวนหนึ่ง เช่น จากเงินออม จากการยืมญาติมิตร หรือจากการขายทรัพย์สิน ถึงแม้จะไม่มากเท่ายอดหนี้ที่มีอยู่ แต่ก็สามารถเจรจาขอส่วนลดให้เพียงพอต่อการปิดหนี้จบทั้งบัญชีได้

           - สถาบันการเงินอาจกำหนดให้ชำระเสร็จสิ้นภายในระยะเวลาสั้น ๆ 6 เดือน หรือเพียง 1-2 งวด อย่างไรก็ดี การเจรจาขอปิดจบโดยมีส่วนลดจะทำได้ค่อนข้างยาก ในกรณีที่มีหลักประกันมูลค่าสูงกว่ายอดหนี้

           8. รีไฟแนนซ์ (refinance) : คือ การปิดสินเชื่อจากเจ้าหนี้เดิมและย้ายไปใช้สินเชื่อของเจ้าหนี้ใหม่ที่ให้เงื่อนไขดีกว่า เช่น อัตราดอกเบี้ยถูกลง โดยนำหนี้ใหม่ไปชำระหนี้เดิมที่คงค้างอยู่ก่อน และเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ธนาคารออมสิน ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์รีไฟแนนซ์ ประเภทหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล (หนี้บัตร) บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด ซึ่งรับรีไฟแนนซ์หนี้บัตรสำหรับลูกหนี้ที่มีวินัยทางการเงินและประวัติการชำระดี

ปรับโครงสร้างหนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย





เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ธปท. เผย 8 ทางเลือก ปรับโครงสร้างหนี้ ที่ลูกหนี้ควรรู้ หลังจะให้หยุดพักชำระหนี้ ต.ค. นี้ อัปเดตล่าสุด 24 กรกฎาคม 2563 เวลา 11:12:16 78,049 อ่าน
TOP