จากกรณี นางสาวณิชา เกียรติธนะไพบูลย์ หรืออะตอม อายุ 24 ปี ถูกคนร้ายล้วงกระเป๋าแล้วนำเอาบัตรประชาชนไปเปิดบัญชีธนาคาร 7 แห่ง 9 บัญชี จนได้รับความเดือดร้อน ต้องถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวเข้าฝากขังยังเรือนจำจังหวัดตาก เป็นเวลา 3 วัน ก่อนได้รับการประกัน และเจ้าตัวเตรียมดำเนินการฟ้องร้องเอาผิดกับ 7 ธนาคารที่ทำให้เสียชื่อ ตามที่มีรายงานไปแล้วนั้น (อ่านข่าว : เหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ล้วงบัตรประชาชนไปเปิดบัญชี จ่อฟ้อง 7 แบงก์ดัง ทำเสียชื่อ)
ล่าสุด (10 มกราคม 2561) ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์ ได้รับรายงานจากแหล่งข่าวกระทรวงยุติธรรม เผยว่า คดีความดังกล่าวอยู่ในความดูแลของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ที่จะต้องเข้าไปตรวจสอบสถาบันการเงินทั้ง 7 แห่ง ที่อนุญาตให้นำบัตรประชาชนของผู้อื่นไปเปิดบัญชีถึง 9 บัญชี เพราะเป็นหน้าที่ในการกำกับดูแลโดยตรงของ ปปง. ซึ่งกระทรวงยุติธรรมไม่สามารถเข้าไปยุงเกี่ยวด้วยได้ เพราะไม่ได้รับการร้องเรียนมา
อย่างไรก็ตาม มีรายงานรายชื่อ 7 ธนาคาร ที่คนร้ายนำบัตรประชาชนของนางสาวณิชา ไปเปิดบัญชี มีดังนี้..
- ธนาคารกสิกรไทย 1 บัญชี
- ธนาคารกรุงไทย 2 บัญชี
- ธนาคารทหารไทย 1บัญชี
- ธนาคารออมสิน 1 บัญชี
- ธนาคารกรุงเทพ 1 บัญชี
- ธนาคารธนชาต 2 บัญชี
- ธนาคารไทยพาณิชย์ 1 บัญชี
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์ ได้มีการสอบถามไปยัง นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน หนึ่งในธนาคารที่คนร้ายไปเปิดบัญชี เปิดเผยว่า หลังเกิดเรื่องได้มีการแจ้งไปยังทุกสาขาทั่วประเทศให้พนักงานตรวจสอบข้อมูลในการเปิดบัญชีอย่างรอบคอบและทำตามระเบียบอย่างเคร่งครัดอีกครั้ง ซึ่งปกติพนักงานธนาคารจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่กำหนดไว้อยู่แล้ว โดยเฉพาะการทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า หรือเควายซี แต่การตรวจสอบตัวตนของผู้ที่มาเปิดบัญชีใหม่ จะต้องใช้บัตรประชาชนและการตรวจสอบจากบัตรประชาชนจะรู้เพียงว่าบุคคลนั้น ชื่อ นามสกุลอะไร อยู่ที่ไหน แต่ไม่สามารถที่จะเชื่อมข้อมูลหรือลิงก์ดูรูปได้ และไม่รู้ว่าบัตรประชาชนถูกยกเลิกทำบัตรใหม่แล้วหรือไม่ เพราะมีข้อจำกัดในการดูข้อมูล
เบื้องต้น หากผู้เสียหายมีความต้องการที่จะฟ้องร้องธนาคารก็สามารถทำได้ เพื่อพิสูจน์ความเป็นจริงและต่อสู้กันในชั้นศาลต่อไป
ด้าน นายลือชัย ชัยปริญญา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานเครือข่ายธุรกิจขนาดเล็กและรายย่อย ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ทางธนาคารได้กำชับให้พนักงานทุกคนทุกสาขาเพิ่มความระมัดระวังในการเปิดบัญชี โดยให้เพิ่มความรอบคอบและการสังเกตตัวตนของลูกค้าเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวซ้ำอีก พร้อมแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ขอให้ลูกค้าและประชาชนเชื่อมั่นในระบบของธนาคารโดยเฉพาะการเปิดบัญชี ว่าธนาคารมีคู่มือการปฏิบัติที่ชัดเจน และมีขั้นตอนในการพิสูจน์ตัวตนของลูกค้าอย่างละเอียด
ขณะที่อีก 5 ธนาคารที่เหลือ อาทิ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารธนชาต ปฏิเสธการให้สัมภาษณ์ เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดการสับสนจากที่สมาคมธนาคารไทยได้แถลงไป ส่วนธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารทหารไทย ไม่สามารถติดต่อผู้บริหารได้
ภาพจาก workpointnews
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก