ประกันลดหย่อนภาษี เป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีประโยชน์ แต่ข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่หลายคนมองข้าม กลับทำให้พลาดโอกาสใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ไปอย่างน่าเสียดาย ! พอถึงช่วงปลายปี หลายคนก็มักจะมองหาวิธีลดหย่อนภาษี และ "ประกันลดหย่อนภาษี" ก็มักติดโผเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ เพราะได้ทั้งความคุ้มครองและช่วยประหยัดภาษีไปพร้อมกัน แต่ปัญหาที่เจอบ่อยคือ หลายคนรีบซื้อโดยไม่ศึกษาข้อมูลให้ดี เลยอาจไม่ทราบว่าประกัน บางประเภทไม่สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ หากซื้อผิดเงื่อนไขก็อาจเสียสิทธิไปอย่างน่าเสียดาย วันนี้เราเลยจะพามาเจาะลึกจุดที่มักพลาด และต้องเช็กดี ๆ ก่อนตัดสินใจซื้อประกัน จะได้ใช้สิทธิได้อย่างเต็มที่ หลายคนเข้าใจผิดว่าเบี้ยประกันทุกประเภทสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ แต่ตามกฎหมายกรมสรรพากรได้กำหนดเงื่อนไขและประเภทประกันไว้ชัดเจน หากซื้อผิดประเภทจะไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้เลย มาดูว่ามีแบบไหนบ้าง ประกันที่ใช้ลดหย่อนภาษีได้ ประกันชีวิตแบบทั่วไป : คือประกันที่คุ้มครองกรณีเสียชีวิต มีหลายประเภท คือ ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life), ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา (Term), ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ (Endowment), ประกันชีวิตควบการลงทุน (Unit-Linked) และประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อบ้าน (MRTA) ประกันสุขภาพ : เป็นประกันที่ให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละกรมธรรม์ สามารถใช้สิทธิได้ทั้งประกันสุขภาพตัวเอง และประกันสุขภาพบิดา-มารดา ประกันชีวิตแบบบำนาญ : คือประกันชีวิตอีกประเภทที่ช่วยให้ออมเงินในระยะยาว เมื่อถึงวัยเกษียณก็จะได้รับเงินคืนเป็นงวด ๆ อย่างสม่ำเสมอ ทำให้ยังมีรายได้ในช่วงบั้นปลายชีวิต ประกันที่ไม่สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ ประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพที่ซื้อให้ลูก ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล หรือ PA สามารถใช้สิทธิได้เฉพาะเบี้ยประกันในส่วนความคุ้มครองชีวิตเท่านั้น ประกันรถยนต์ ประกันเดินทาง ประกันวินาศภัยต่าง ๆ เช่น ประกันไฟไหม้ ประกันแต่ละประเภทมีเพดานสูงสุดที่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน ไม่ได้ลดเต็มจำนวนที่เราซื้อ ดังนี้ ประกันชีวิตแบบทั่วไป ประกันชีวิตทุกแบบ และประกันออมทรัพย์ (ไม่รวมประกันบำนาญ) ใช้สิทธิลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ต้องไม่เกิน 100,000 บาท ประกันชีวิตควบการลงทุน สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้เฉพาะส่วนค่าเบี้ยประกันชีวิตเท่านั้น รวมกับประกันชีวิตทั่วไปต้องไม่เกิน 100,000 บาท ส่วนเบี้ยที่นำไปลงทุนไม่สามารถใช้สิทธิได้ ส่วนใครที่ทำประกันชีวิตให้คู่สมรสที่ไม่มีรายได้ ยังสามารถลดหย่อนภาษีประกันชีวิตของคู่สมรสได้เพิ่มอีกไม่เกิน 10,000 บาท โดยเงื่อนไขสำคัญคือ ต้องเป็นคู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสมาก่อนปีที่จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษี เช่น ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี 2568 จะต้องจดทะเบียนสมรสก่อนวันที่ 1 มกราคม 2568 ประกันสุขภาพของตัวเอง ใช้ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 25,000 บาท นอกจากนี้เมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตแล้ว ก็ต้องไม่เกิน 100,000 บาท เช่น จ่ายค่าเบี้ยประกันสุขภาพ 30,000 บาท จ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิต 90,000 บาท รวมแล้ว 120,000 บาท แต่ในความเป็นจริงเราจะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีประกันสุขภาพได้ 25,000 บาท บวกกับสิทธิประกันชีวิต 75,000 บาท รวม 100,000 บาทเท่านั้น ประกันสุขภาพบิดา-มารดาตัวเอง / บิดา-มารดาคู่สมรส สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 15,000 บาท โดยต้องเป็นประกันสุขภาพที่มีเงื่อนไข 4 ข้อนี้ ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลอันเกิดจากการเจ็บป่วยและการบาดเจ็บ การชดเชยการทุพพลภาพและการสูญเสียอวัยวะ เนื่องจากการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ ประกันภัยอุบัติเหตุเฉพาะที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล การทุพพลภาพ การสูญเสียอวัยวะ และการแตกหักของกระดูก ประกันภัยโรคร้ายแรง (Critical Illnesses) ประกันภัยการดูแลระยะยาว (Long Term Care) อีกหนึ่งประเด็นสำคัญก็คือ บิดาหรือมารดาที่ทำประกันจะต้องมีรายได้พึงประเมินในปีภาษีนั้นไม่เกิน 30,000 บาท ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยเงินฝาก กำไรจากการขายหุ้น เบี้ยผู้สูงอายุ ฯลฯ ถือเป็นรายได้ที่ต้องนับรวมทั้งหมด ถ้าไม่ตรงตามเงื่อนไขนี้ แม้ยื่นภาษีไปก็จะใช้สิทธิข้อนี้ไม่ได้อยู่ดี ประกันชีวิตแบบบำนาญ ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15% ของรายได้ และสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท ถ้าซื้อประกันชีวิตแบบทั่วไปยังไม่ครบ 100,000 บาท สามารถนำเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญไปรวมกับสิทธิลดหย่อนประกันชีวิตทั่วไปให้ครบ 100,000 บาทก่อน ส่วนที่เหลือของเบี้ยประกันบำนาญจึงนำมาใช้สิทธิลดหย่อนในโควตาของประกันบำนาญได้สูงสุด 200,000 บาท หมายความว่า ถ้าเราไม่ได้ซื้อประกันชีวิตทั่วไปหรือประกันสุขภาพ เราสามารถใช้สิทธิประกันบำนาญอย่างเดียวก็ได้ในวงเงินลดหย่อนไม่เกิน 300,000 บาท วงเงินที่จ่ายเบี้ยประกันบำนาญ เมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) หรือกองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน หรือกองทุนรวม SSF หรือกองทุนรวม RMF แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท สรุปได้ว่า ถ้าเราซื้อประกันเกินวงเงินก็ไม่มีผลใด ๆ เพราะส่วนเกินจะไม่ถูกนำมาลดหย่อนภาษี ตกม้าตายที่ข้อนี้กันมาก็เยอะ เพราะเลือกซื้อประกันชีวิตแบบระยะสั้นที่จ่ายน้อย ผลตอบแทนสูง ได้เงินคืนเร็วที่ดูแล้วคุ้มกว่า เช่น ประกันชีวิต 3/1 (จ่ายเบี้ยประกัน 1 ปี คุ้มครอง 3 ปี), 5/3 (จ่ายเบี้ยประกัน 3 ปี คุ้มครอง 5 ปี) เป็นต้น แต่ถ้าต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ต้องซื้อประกันชีวิตหรือประกันออมทรัพย์ที่มีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไปเท่านั้น อย่างประกันชีวิตตลอดชีพ ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา หรือประกันสะสมทรัพย์ที่คุ้มครองเกิน 10 ปี เช่น 10/1, 10/5, 15/5, 20/7 เป็นต้น นอกจากนี้ ถ้าเป็นประกันชีวิตที่มีเงินปันผลหรือเบี้ยคืนรายปี จะต้องมีผลตอบแทนคืนไม่เกิน 20% ของเบี้ยสะสมด้วยนะ ถึงเข้าเงื่อนไขลดหย่อนภาษี อีกเงื่อนไขสำคัญก็คือ ต้องทำประกันกับบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทยเท่านั้น และอยู่ภายใต้การกำกับของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) หากซื้อประกันกับบริษัทที่จดทะเบียนในต่างประเทศหรือไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการในไทย จะไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ "ทำประกันจัดเต็มแมกซ์ไว้ก่อนเพื่อลดหย่อนภาษีปีนี้ ถ้าปีไหนจ่ายไม่ไหวค่อยยกเลิกหรือเวนคืนก็ยังได้ เพราะอย่างน้อยก็ได้สิทธิลดหย่อนในปีก่อน ๆ ไปแล้ว" ใครคิดแบบนี้อยู่รีบทำความเข้าใจใหม่เลย เพราะกรมสรรพากรระบุชัดเจนว่า หากยกเลิกหรือเวนคืนกรมธรรม์ก่อนครบ 10 ปี เบี้ยที่เคยนำไปใช้ลดหย่อนภาษีในปีก่อน ๆ จะถือว่าไม่เข้าเกณฑ์ทันที ตัวอย่างเช่น ซื้อประกันชีวิตแบบ 15/6 (จ่ายเบี้ย 6 ปี คุ้มครอง 15 ปี) และนำเบี้ยไปลดหย่อนทุกปี แต่พอถึงปีที่ 5 จ่ายต่อไม่ไหวแล้วตัดสินใจยกเลิก แบบนี้สิทธิลดหย่อนที่เคยใช้ตั้งแต่ปี 1-4 จะถูกยกเลิกทั้งหมด และต้องคืนภาษีที่เคยได้ประโยชน์ไปแล้วด้วย ซื้อประกันชีวิตแบบ 10/4 (จ่ายเบี้ย 4 ปี คุ้มครอง 10 ปี) จ่ายเบี้ยครบ 4 ปีไปแล้ว แต่พอถึงปีที่ 7 ตัดสินใจเวนคืนเพื่อเอาเงินมาใช้ กรณีนี้แม้จะจ่ายครบเบี้ยตามสัญญา แต่เพราะยังถือกรมธรรม์ไม่ครบ 10 ปี ก็ถือว่าผิดเงื่อนไขเช่นกัน สรุปคือ ถ้าใครผิดเงื่อนไขนี้จะหมดสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตั้งแต่ปีแรกที่ใช้สิทธิเลย และต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด. เพิ่มเติม โดยนำค่าเบี้ยประกันที่เคยหักออกไปกลับมาตั้งแต่ปีแรกที่นำมาใช้ลดหย่อนภาษี เท่ากับว่าต้องจ่ายภาษีคืน พร้อมเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของเงินภาษีที่ต้องจ่ายให้กับกรมสรรพากรด้วย ชีวิตวุ่นวายขึ้นมาทันที อุตส่าห์ซื้อประกันตรงตามเงื่อนไขแล้ว แต่ถ้าลืมแจ้งบริษัทประกันฯ ก็จบเลย เพราะกฎระเบียบใหม่กำหนดให้บริษัทประกันฯ ต้องเป็นผู้ส่งข้อมูลเบี้ยประกันของเราไปที่กรมสรรพากรโดยตรงเท่านั้น ดังนั้น หากเราไม่แจ้งบริษัทว่ามีความประสงค์ใช้สิทธิ บริษัทก็จะไม่ส่งข้อมูลไปที่กรมสรรพากร ทำให้เราไม่สามารถใช้สิทธิประกันลดหย่อนภาษีได้ ลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท แบบประกันต้องมีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป กรณีทำประกันชีวิตให้คู่สมรสที่ไม่มีรายได้ สามารถลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท และต้องมีสถานะเป็นสามี-ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายมาตลอดทั้งปีภาษีนั้น ลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท (รวมกับประกันชีวิตและประกันสุขภาพแล้ว) แบบประกันต้องมีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป ใช้ลดหย่อนภาษีได้เฉพาะส่วนที่จ่ายเป็นค่าเบี้ยประกันชีวิตเท่านั้น แต่ส่วนเบี้ยที่จ่ายเพื่อการลงทุนไม่สามารถใช้สิทธิได้ ลดหย่อนได้สูงสุด 15% ของรายได้ แต่ต้องไม่เกิน 200,000 บาท (วงเงินแยกจากประกันชีวิตทั่วไป) หากไม่ได้ใช้วงเงินลดหย่อนประกันชีวิตทั่วไปและประกันสุขภาพ (100,000 บาท) สามารถนำวงเงินมารวมได้ จึงซื้อประกันบำนาญลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 บาท เมื่อรวมกับ RMF, SSF, กบข., กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท เมื่อนำไปรวมกับเบี้ยประกันชีวิตทั่วไปจะลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท บิดา-มารดาต้องมีรายได้ปีนั้นไม่เกิน 30,000 บาท มาถึงตรงนี้เชื่อว่าทุกคนคงเข้าใจแล้วว่า การซื้อประกันไม่ใช่ว่าจะได้สิทธิลดหย่อนภาษีอัตโนมัติ แต่เราต้องเลือกทำประกันชีวิต ประกันออมทรัพย์ ประกันสุขภาพ หรือประกันบำนาญ ที่ตรงกับเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนดไว้ด้วย และที่สำคัญอย่าลืมแจ้งบริษัทประกันทุกครั้งว่าต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี เพื่อจะได้ไม่พลาดโอกาสที่ควรได้รับ ประกันสุขภาพ ที่ไหนดี ปี 2568 พร้อมไขข้อสงสัยร่วมจ่าย Copayment คืออะไรกันแน่ ? ประกันลดหย่อนภาษี ตัวไหนดี ชี้เป้าประกันออมทรัพย์ระยะสั้น ครบ 10 ปีได้เงินคืน อัปเดตวิธีลดหย่อนภาษี สำหรับมนุษย์เงินเดือนสายเซฟ ! ลดหย่อนภาษีบิดามารดาได้เท่าไหร่ นับอายุอย่างไร มีเงื่อนไขอะไรบ้างที่ลูก ๆ ควรรู้ก่อนยื่นภาษี สรุปเงื่อนไขกองทุน Thai ESGX ลดหย่อนภาษีได้เพิ่ม 3 แสน โอนสับเปลี่ยน LTF เดิมมาลงทุนได้อีก 5 แสน ขอบคุณข้อมูลจาก : กรมสรรพากร (1), (2), (3), สมาคมประกันชีวิตไทย
แสดงความคิดเห็น