คลังจ่อใช้มาตรการกระตุ้นศก. ระลอกใหญ่ เป็นของขวัญปีใหม่ ปชช.
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
กระทรวงการคลัง เล็งประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกชุดใหญ่ เป็นของขวัญปีใหม่ประชาชน เน้นช่วยเหลือรายย่อย ตั้งเป้ากระตุ้นเศรษฐกิจในปีหน้า โดยไม่ก่อหนี้ภาคครัวเรือนเหมือนโครงการรถยนต์คันแรก
วันนี้ (24 พ.ย. 57) แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังรายงานว่า อีกไม่เกิน 3 สัปดาห์ นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2558 ให้แก่คนไทย โดยจะเป็นแพ็กเกจใหม่ที่มุ่งเน้นช่วยเหลือรายย่อยทั้งในส่วนของประชาชนทั่วไปและผู้ประกอบการ โดยเชื่อว่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนและกระตุ้นเศรษฐกิจในปีหน้า และไม่นำไปสู่การก่อหนี้ภาคครัวเรือนเหมือนโครงการรถยนต์คันแรกและบ้านหลังแรกของรัฐบาลชุดที่แล้ว
สำหรับมาตรการใหม่ที่กระทรวงการคลังเตรียมประกาศใช้นั้นประกอบด้วย
1. ขยายเพดาน การเสียภาษีจากรายได้สุทธิไม่เกิน 1 ล้านบาท เป็นไม่เกิน 3 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 15% ส่วนผู้ที่มีรายได้สุทธิที่เกินกว่า 3 ล้านบาทต้องเสียภาษีในอัตรา 20% ส่วนนี้ กรมสรรพากรจะสูญเสียรายได้ปีละประมาณ 1,000 ล้านบาท 2. การจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุน หรือ Venture Capital วงเงิน 50,000 ล้านบาท แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน 3. การตั้งกองทุนเพื่อเอสเอ็มอี โดยจะมีการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่แท้จริง จากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 2.7 ล้านราย แต่มีการค้นพบเพียง 1 ล้านรายเท่านั้น การลงทะเบียนครั้งนี้ กระทรวงการคลังจะเสนอ ไม่ให้มีการเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง เพื่อให้เกิดการลงทะเบียนเป็นไปด้วยความสมัครใจ เพื่อรัฐบาลจะได้หามาตรการช่วยเหลือให้ถึงมือเอสเอ็มอีอย่างแท้จริง 4. การจัดตั้งบริษัทสินเชื่อขนาดย่อม หรือนาโนไฟแนนซ์ อัตราดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 36% ต่อปี เพื่อลดปัญหาการกู้เงินนอกระบบของประชาชนที่เสียอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 20% ต่อเดือนหรือประมาณ 60% ต่อปี เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชนรายย่อย 5. การจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ซึ่งในปัจจุบันมีผลบังคับใช้แล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้า เนื่องจากหากนำ กอช. เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสำนักงานประกันสังคม ทางสำนักงานประกันสังคมจะต้องของบประมาณสนับสนุน 1,000 - 1,500 ล้านบาท กระทรวงการคลังจึงมีความคิดที่จะจัดตั้ง กอช. ขึ้นเป็นหน่วยงานใหม่ 6. การส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางสำนักงานใหญ่ของภูมิภาค (International Trading Headquarter) โดยจะเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การเพิ่มสิทธิประโยชน์สำหรับเงินได้จากการบริหารเงิน ประกันภัย การค้าและโลจิสติกส์ที่มีฐานรายได้ในต่างประเทศ การให้สิทธิพิเศษด้านการทำงาน หรือ VISA work permits ระยะยาว สำหรับผู้ที่เข้ามาทำงานในไทยรวมถึงครอบครัว เป็นต้น และ 7. Negative Income Tax หรือที่เรียกว่า เป็นนโยบาย “เงินโอน แก้จน คนขยัน” โดยกระทรวงการคลังจะไม่ดำเนินการขึ้นทะเบียนคนจนที่มีรายได้ 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 80,000 บาทต่อปี แต่คนเหล่านี้จะต้องเดินเข้ามาติดต่อหน่วยงานที่กระทรวงการคลังจะกำหนดขึ้นในภายหลังนอกจากนี้ ในส่วนของส่งเสริมการลงทุน ได้มีแนวทางให้ไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค (International Trading Headquarter) โดยจะเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การเพิ่มสิทธิประโยชน์สำหรับเงินได้จากการบริหารเงิน ประกันภัย การค้า และโลจิสติกส์ที่มีฐานรายได้ในต่างประเทศ การให้สิทธิพิเศษด้านการทำงาน หรือ VISA work permits ระยะยาว สำหรับผู้ที่เข้ามาทำงานในไทยรวมถึงครอบครัว
อย่างไรก็ตาม มาตรการที่ออกมาจะดำเนินการผ่านมาตรการทางด้านการคลังทั้งหมด โดยเมื่ออาทิตย์ที่แล้วสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้มีการเชิญตัวแทนของสถาบันการเงินของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มาหารือถึงแนวทางที่จะสนับสนุนแพ็คเกจดังกล่าวแล้ว ซึ่งทางธนาคารได้ขอเวลาอีกประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพื่อสรุปความช่วยเหลือ ที่สามารถดำเนินการได้ทันที หนึ่งในนั้นคาดหวังว่า ธนาคารออมสิน จะเสนอลดอัตราดอกเบี้ยโครงการธนาคารประชาชน จากอัตรา 0.75% ต่อเดือนในปัจจุบัน เหลือ 0.50% ต่อเดือน
ส่วนมาตรการทางด้านภาษีนั้น คาดว่าจะมีแนวทางในการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่ทุนจดทะเบียนต่ำกว่า 5 ล้านบาท และมีรายได้น้อยกว่า 30 ล้านบาท ให้จัดอยู่ในกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งปัจจุบันกรมสรรพากรได้ยกเว้นภาษีรายได้สุทธิตั้งแต่ 0 บาท แต่ไม่เกิน 300,000 บาท รายได้สุทธิเกินกว่า 300,000 บาท แต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท เสียภาษีอัตรา 15% ส่วนที่มีรายได้สุทธิเกินกว่า 1 ล้านบาท ต้องเสียภาษีในอัตรา 20% เท่ากับบริษัทนิติบุคคลรายใหญ่
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
