How to เล่นหุ้นฉบับมือใหม่ อยากซื้อหุ้นกลุ่ม ปตท. ต้องเริ่มต้นอย่างไร

           อยากซื้อหุ้นสักตัวต้องเริ่มต้นจากตรงไหน มาดูขั้นตอนการเล่นหุ้นฉบับนักลงทุนมือใหม่ พร้อมพาไปรู้จักหุ้นท็อปฮิตจากกลุ่ม ปตท. ที่หลายคนให้ความสนใจกัน
ซื้อหุ้นกลุ่ม ปตท.

           พูดถึงการเล่น "หุ้น" สำหรับใครหลายคนอาจเป็นเรื่องน่าปวดหัวและเข้าใจยาก เพราะแค่ได้ยินคำศัพท์แปลก ๆ หรือเห็นตัวย่อภาษาอังกฤษ ตามด้วยตัวเลขสีเขียว-สีแดงกะพริบเต็มหน้าจอ ก็มึนไปหมด แต่จริง ๆ แล้วหากได้ลองศึกษาสักหน่อย จะรู้เลยว่าการเทรดหุ้นไม่ได้ยากอย่างที่คิด ต่อให้เป็นนักลงทุนมือใหม่ก็สามารถซื้อ-ขายหุ้นได้ด้วยตัวเองตามสเต็ปง่าย ๆ ที่เราจะแนะนำต่อไปนี้ รวมถึงพาไปรู้จักกับหุ้น ปตท. ที่ใคร ๆ ก็อยากเป็นเจ้าของ ตามมาอ่านกันเลย
หุ้นคืออะไร ทำไมใคร ๆ ถึงอยากลงทุน
ซื้อหุ้นกลุ่ม ปตท.

          ก่อนซื้อหุ้นสักตัวควรเข้าใจให้ชัดเจนก่อนว่า "หุ้น" คืออะไร ? สมมติว่า เราใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าของบริษัท แต่ไม่มีเงินทุนที่จะสร้างกิจการด้วยมือของตัวเอง การใช้เงินเริ่มต้นแค่หลักร้อย หลักพัน เข้าไปซื้อหุ้นของบริษัทระดับประเทศแล้วเติบโตไปกับกิจการนั้น ก็เหมือนได้ร่วมลงทุนและเป็นเจ้าของร่วมในบริษัทไปโดยปริยาย และอาจได้รับผลตอบแทนในรูปแบบกำไรจากส่วนต่างของราคา (Capital Gain) หรือเงินปันผล (Dividend) ตามนโยบายของแต่ละบริษัท แต่หากผลการดำเนินงานของบริษัทนั้นมีปัญหา ผู้ถือหุ้นอย่างเราก็ต้องร่วมรับภาระและอาจสูญเสียเงินลงทุนไปด้วยเช่นกัน นี่คือความเสี่ยงของการลงทุนในหุ้นนั่นเอง

เริ่มต้นเล่นหุ้นสำหรับมือใหม่ ต้องทำอย่างไร
           ซื้อหุ้นอย่างไร ต้องไปซื้อที่ไหน ใช้เงินเริ่มต้นกี่บาท ? คำถามฮิตที่มือใหม่มักสงสัย มาทำความเข้าใจกันว่าคนที่อยากลงทุนในหุ้นจะต้องทำอะไรบ้าง

1. เปิดบัญชีหลักทรัพย์

ซื้อหุ้นกลุ่ม ปตท.

          ถ้าจะซื้อหุ้นต้องเปิดบัญชีหลักทรัพย์ หรือ “พอร์ตหุ้น” กับบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) โดยมือใหม่แนะนำให้เลือกแบบบัญชีเงินฝาก Cash Balance หรือ Cash Deposit ซึ่งจะซื้อหุ้นได้ไม่เกินจำนวนเงินที่เรานำฝากเข้าโบรกเกอร์ ป้องกันการซื้อหุ้นเกินวงเงินที่ตัวเองมี โดยเตรียมเอกสาร เช่น สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาสมุดเงินฝากธนาคารหน้าแรก หลักฐานทางการเงินย้อนหลัง (Statement) 3-6 เดือน ฯลฯ ยื่นกับโบรกเกอร์ หรือเปิดบัญชีผ่านระบบออนไลน์

          ทั้งนี้ ปัจจุบันมีโบรกเกอร์อยู่หลายบริษัท ต่างกันที่เครื่องมือในการเทรด การให้ข้อมูลและบทวิเคราะห์หุ้น การดูแลอำนวยความสะดวกของเจ้าหน้าที่การตลาด (Marketing) สิทธิพิเศษต่าง ๆ รวมทั้งอัตราค่าธรรมเนียมซื้อ-ขายหุ้นที่ไม่เท่ากัน ลองศึกษาข้อมูลของโบรกเกอร์ต่าง ๆ ได้ที่เว็บไซต์ settrade.com

2. ศึกษาเครื่องมือซื้อ-ขายหุ้น

           เมื่อเปิดพอร์ตหุ้นแล้วจะได้รับ Username และ Password เพื่อเข้าสู่ระบบการเทรดหุ้นแบบเรียลไทม์ บางโบรกเกอร์จะมีโปรแกรมเทรดเป็นของตัวเอง แต่ส่วนใหญ่จะนิยมเทรดผ่านโปรแกรมอื่น เช่น Streaming, Aspen, eFin Trade Plus เป็นต้น สามารถใช้ได้ทั้งบนเว็บไซต์ แอปพลิเคชันบนมือถือและแท็บเล็ตเลย ทีนี้เราก็ต้องศึกษาระบบให้ดีว่าจะซื้อ-ขายอย่างไร ต้องกดปุ่มไหน เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการส่งคำสั่ง และอย่าลืมศึกษาวิธีโอนเงินเข้าพอร์ตและถอนเงินออกจากพอร์ตไว้ด้วย
ซื้อหุ้นกลุ่ม ปตท.

ภาพจาก settrade.com

ตัวอย่างกระดานเทรด Streaming บนเว็บไซต์

3. ศึกษาข้อมูลหุ้นและจัดพอร์ต

           ก่อนซื้อ-ขายกันจริง ๆ ควรหาข้อมูลว่าจะลงทุนในหุ้นตัวไหน เป็นธุรกิจอะไร ใครเป็นเจ้าของกิจการ แผนธุรกิจและวิสัยทัศน์ของบริษัท ปัจจัยพื้นฐาน อัตราการจ่ายเงินปันผล ผลประกอบการที่ผ่านมาเป็นอย่างไร รวมทั้งโอกาสเติบโตของธุรกิจในอนาคต เพื่อจัดพอร์ตหุ้นได้อย่างมีเป้าหมาย ซึ่งจะมีข้อมูลเหล่านี้อยู่ในเว็บไซต์ของบริษัท เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมทั้งข่าวสารจากสื่อต่าง ๆ และบทวิเคราะห์ของแต่ละโบรกเกอร์

4. โอนเงินเข้าพอร์ต

          คนที่เปิดบัญชีแบบ Cash Balance จะต้องโอนเงินเข้าพอร์ตก่อนเทรด (ศึกษาวิธีโอนเงินเข้าพอร์ตได้จากโบรกเกอร์ที่สมัครไว้) โดยมือใหม่อาจเริ่มลงทุนสัก 5-10% ของเงินลงทุนทั้งหมดที่เราเตรียมไว้ เพื่อฝึกฝนดูก่อน หากขาดทุนไปจะได้ไม่เสียหายมากนัก

          แล้วต้องมีเงินเท่าไรถึงจะซื้อหุ้นได้ ? คำตอบขึ้นอยู่กับราคาและจำนวนหุ้นที่ต้องการซื้อ โดยการเทรดในกระดานหลักต้องซื้อขั้นต่ำ 100 หุ้น บวกค่าธรรมเนียมให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ 0.007% ของมูลค่าซื้อ-ขาย, ค่าธรรมเนียมโบรกเกอร์ ประมาณ 0.15-0.25% หรือค่าธรรมเนียมการเทรดขั้นต่ำ 50 บาท (บางโบรกเกอร์) และค่าธรรมเนียมทั้งหมดยังต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อีก 7% ดังนั้น ถ้าเราอยากซื้อหุ้นราคา 10 บาท จำนวน 100 หุ้น ก็ควรมีเงินในพอร์ตเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้สัก 1,100 บาท

5. ซื้อ-ขายหุ้น

ซื้อหุ้นกลุ่ม ปตท.

ภาพจาก Gsign76 / Shutterstock.com

          เราสามารถซื้อ-ขายหุ้นได้ในช่วงเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดทำการ 2 ช่วง คือ ช่วงเช้า ระหว่างเวลา 09.55-10.00 น. ถึง 12.30 น. และช่วงบ่าย ระหว่างเวลา 14.25-14.30 น. ถึง 16.35-16.40 น. ในวันทำการตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย

          สิ่งสำคัญในการซื้อ-ขายหุ้นเองก็คือ ต้องพิมพ์ชื่อหุ้น ราคาและจำนวนหุ้นที่ต้องการซื้อ-ขายให้ดี เพื่อไม่ให้ผิดพลาด และเมื่อส่งคำสั่งซื้อ-ขายไปเรียบร้อย ต้องรอให้คำสั่งถูกจับคู่ (Matched) ก่อนถึงจะสำเร็จ และเงินจะถูกตัดออกจากพอร์ต หรือกรณีขายหุ้นได้ เงินก็จะเข้าพอร์ต สามารถใช้ซื้อหุ้นต่อได้ทันที

ซื้อหุ้นกลุ่ม ปตท.

ตัวอย่างการใช้แอปพลิเคชัน Streaming ส่งคำสั่งซื้อ-ขายหุ้น

เลือกหุ้นตัวแรก ดูจากอะไรดี

          ปัญหาของมือใหม่คือ ยังไม่มีข้อมูลเลยไม่รู้ว่าจะเลือกหุ้นตัวไหนดี งั้นถามตัวเองดูก่อนว่าเราต้องการลงทุนเพื่อจุดประสงค์ใด จะได้เลือกหุ้นที่เหมาะสม ซึ่งหลายคนมักเริ่มต้นเล่นหุ้นปันผลหรือหุ้นที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ในระยะยาว ใครมาทางสายนี้ลองดูเทคนิคการเลือกหุ้นต่อไปนี้กัน

     - เลือกหุ้นจากดัชนี SET50 หรือ SET100 : โดยรวบรวม 50-100 อันดับหุ้นที่ดีที่สุดของตลาดหุ้นไทยไว้ หุ้นเหล่านี้จะมีมูลค่าตามราคาตลาดสูง และมีสภาพคล่องการซื้อ-ขายที่ดี

     - เลือกหุ้นจากธุรกิจที่คุ้นเคยในชีวิตประจำวัน : ลองสังเกตดูว่าสินค้าประเภทไหนที่คนจำเป็นต้องใช้ ขาดไม่ได้ หรือเป็นกิจการผูกขาด มีคู่แข่งในตลาดไม่มาก

     - เลือกหุ้นจากธุรกิจที่เป็นผู้นำในตลาด : เนื่องจากการมีส่วนแบ่งทางการตลาดมาก สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของผู้ใช้บริการ จึงมีโอกาสเติบโตสูง

     - เลือกหุ้นของบริษัทใหญ่ที่มีความมั่นคง : เพราะส่วนใหญ่มีโครงสร้างทางการเงินแข็งแรง มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ผลประกอบการดี และจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ

          โดยถ้าดูจากข้อมูลมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ มาร์เกตแคป (Market Capitalization) จะพบว่า หุ้นตระกูล ปตท. มีมาร์เกตแคปสูงถึง 2.5 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 13.75% ของมูลค่าหุ้นไทยทั้งหมด (อ้างอิงจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2564) นั่นแปลว่า กลุ่ม ปตท. ได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนสูงมากทีเดียว และการขยับขึ้น-ลงของราคาหุ้นในกลุ่มย่อมมีผลต่อ SET INDEX หรือดัชนีตลาดหุ้นของไทยทั้งกระดานได้เลย ว่าแต่ หุ้นในกลุ่ม ปตท. มีอะไรบ้างนะ ลองมาศึกษาธุรกิจของหุ้นแต่ละตัวกันหน่อย
เจาะหุ้นในกลุ่ม ปตท. ธุรกิจนี้ มีหุ้นอะไรบ้าง
           สำหรับหุ้นในกลุ่ม ปตท. มีด้วยกันทั้งหมด 8 ตัว โดยจัดอยู่ใน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทรัพยากร หมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค และกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม หมวดธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ประกอบด้วย

1. PTT : บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

ซื้อหุ้นกลุ่ม ปตท.

ภาพจาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

          ธุรกิจด้านพลังงานและสาธารณูปโภคอันดับ 1 ของไทย ที่ไม่ได้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติ น้ำมันและปิโตรเคมี ทั้งในและต่างประเทศเพียงอย่างเดียว แต่ทาง ปตท. ก็ยังให้ความสำคัญกับธุรกิจเทคโนโลยีและวิศวกรรม รวมถึงการพัฒนาธุรกิจ New Business S-Curve เช่น ธุรกิจไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า ธุรกิจยา Nutrition และอุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้น เพื่อรองรับการเติบโตในประเทศและต่างประเทศด้วย

          สำหรับหุ้น PTT มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ถึง 51% ถือเป็นหุ้นที่มีมาร์เกตแคปขนาดใหญ่ที่สุดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นบริษัทที่มีรายได้และกำไรสูงสุดของประเทศ โดยใน 6 เดือนแรกของปี 2564 ทำรายได้รวม 1 ล้านล้านบาท และมีกำไรสุทธิกว่า 5.7 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 7.86% (ศึกษาข้อมูลหุ้น PTT ได้ที่ pttplc.com)

2. PTTEP : บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)

ซื้อหุ้นกลุ่ม ปตท.

ภาพจาก บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)

           PTTEP หรือ ปตท.สผ. เป็นหุ้นอีกตัวในหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค ดำเนินงานด้านการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม เพื่อสนองความต้องการใช้พลังงานทั้งภายในประเทศและประเทศที่ไปลงทุน รวมทั้งประกอบธุรกิจขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อในต่างประเทศ และการลงทุนในธุรกิจต่อเนื่อง ซึ่งสร้างรายได้มหาศาลกลับคืนสู่ประเทศไทย โดยใน 6 เดือนแรกของปี 2564 มีรายได้กว่า 1.1 แสนล้านบาท และมีกำไรสุทธิกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิสูงถึง 17.03% (ศึกษาข้อมูลหุ้น PTTEP ได้ที่ pttep.com)

3. OR : บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)

ซื้อหุ้นกลุ่ม ปตท.

ภาพจาก บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)

           หุ้นในหมวดพลังงานและสาธารณูปโภคน้องใหม่ล่าสุดจากกลุ่ม ปตท. ที่ร้อนแรงตั้งแต่เปิดจอง IPO เพราะนอกจากจะมีธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน PTT และธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเชิงพาณิชย์แล้ว ยังสร้างรายได้จากกลุ่มธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการอื่น ๆ (Non-Oil) ที่คนนิยมใช้บริการกันบ่อย ๆ เช่น ร้านกาแฟ Cafe Amazon ร้านสะดวกซื้อ Jiffy และ Master Franchise ต่าง ๆ เช่น Texas Chicken, Hua Seng Hong Dimsum, Pearly Tea รวมถึงการต่อยอดสถานีบริการน้ำมันและร้านอาหารไปยังอีกหลายประเทศในเอเชีย ดังนั้น แม้จะเข้าตลาดหุ้นได้ไม่นาน แต่ 6 เดือนแรกของปีนี้ก็ทำรายได้แล้วกว่า 2.4 แสนล้านบาท โดยเป็นกำไร 7.2 พันล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 3.02% (ศึกษาข้อมูลหุ้น OR ได้ที่ pttor.com)

4. PTTGC : บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

ซื้อหุ้นกลุ่ม ปตท.

ภาพจาก บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)

           PTTGC เป็นหุ้นที่จัดอยู่ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม หมวดธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ เนื่องจากดำเนินธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นครบวงจร ปัจจุบัน GC มีกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์รวม 12.79 ล้านตันต่อปี ขณะเดียวกันก็ยังวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ที่มีคุณภาพ เช่น การนำขยะพลาสติกมาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ตามแนวคิด Circular Economy เพื่อช่วยรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยใน 6 เดือนแรกของปี 2564 มีรายได้กว่า 2.4 แสนล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 3.5 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 14.68% (ศึกษาข้อมูลหุ้น PTTGC ได้ที่ pttgcgroup.com)

5. GPSC : บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน)

ซื้อหุ้นกลุ่ม ปตท.

ภาพจาก บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน)

           GPSC เป็นหุ้นพลังงานและสาธารณูปโภคที่ไม่ได้ดำเนินธุรกิจน้ำมันหรือปิโตรเคมีเหมือนหุ้นตัวอื่น แต่มุ่งเน้นสร้างความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าและสาธารณูปโภค จึงมีโรงไฟฟ้าพลังความร้อน โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ ที่บริหารจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพด้วยแนวทางพลังงานอัจฉริยะ รวมถึงยังขยายการลงทุนในธุรกิจแบตเตอรี่ เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมต่าง ๆ และด้วยธุรกิจไฟฟ้าที่เติบโตอย่างมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ GPSC มีรายได้และกำไรมากขึ้นเรื่อย ๆ โดย 6 เดือนแรกของปี 2564 มีรายได้กว่า 3.5 หมื่นล้านบาท โดยเป็นกำไร 4.3 พันล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิกว่า 12% (ศึกษาข้อมูลหุ้น GPSC ได้ที่ gpscgroup.com)

6. TOP : บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)

ซื้อหุ้นกลุ่ม ปตท.

ภาพจาก บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)

           ธุรกิจการกลั่นและจำหน่ายน้ำมันปิโตรเลียมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยโรงกลั่นของไทยออยล์มีประสิทธิภาพสูงสุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยประสิทธิภาพการกลั่นน้ำมันได้ถึง 275,000 บาร์เรลต่อวัน อีกทั้งยังมีธุรกิจอื่น ๆ ที่หลากหลาย เช่น ธุรกิจปิโตรเคมี ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน ธุรกิจสารทำละลายและเคมีภัณฑ์ ธุรกิจไฟฟ้า ธุรกิจพลังงานทดแทน โดย 6 เดือนแรกของปี 2564 มีรายได้ 1.5 แสนล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 5.5 พันล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 3.64% (ศึกษาข้อมูลหุ้น TOP ได้ที่ thaioilgroup.com)

7. IRPC : บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน)

ซื้อหุ้นกลุ่ม ปตท.

ภาพจาก บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน)

          ไออาร์พีซี เป็นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมีครบวงจร มีโรงกลั่นน้ำมันที่มีกำลังการผลิต 215,000 บาร์เรลต่อวัน และมีโรงงานปิโตรเคมีที่ครอบคลุมพลาสติกเกือบทุกชนิด อีกทั้งมีท่าเรือน้ำลึกสำหรับขนถ่ายสินค้าปิโตรเลียมและปิโตรเคมีตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง พร้อมกับให้บริการเรื่องระบบไฟฟ้าและสาธารณูปโภคแก่ลูกค้าอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งรายได้รวมในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ อยู่ที่ 1.2 แสนล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 8.74% (ศึกษาข้อมูลหุ้น IRPC ได้ที่ irpc.co.th)

8. GGC : บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน)

ซื้อหุ้นกลุ่ม ปตท.

ภาพจาก บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน)

           GCC หุ้นในกลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ที่เป็นบริษัทในเครือ PTTGC เป็นผู้บุกเบิกการผลิตผลิตภัณฑ์โอลีโอเคมีในประเทศไทย หรือเชื้อเพลิงสะอาดเพื่อสิ่งแวดล้อมที่มีคุณภาพสูง อาทิ เมทิลเอสเทอร์ (Methyl Ester) สำหรับใช้ในเครื่องยนต์ดีเซล, แฟตตี้แอลกอฮอล์ (Fatty Alcohols) ภายใต้เครื่องหมายการค้า THAIOL ซึ่งใช้เป็นสารลดแรงตึงผิวในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดในครัวเรือน และกลีเซอรีน (Glycerine) ที่ถูกนำไปใช้ด้านเภสัชกรรมและการแพทย์ รวมถึงเป็นส่วนประกอบของครีมและโลชั่น ทั้งนี้ ใน 6 เดือนแรกของปี 2564 GGC ทำรายได้ 9.8 พันล้านบาท เป็นกำไร 174 ล้านบาท หรือประมาณ 1.77% (ศึกษาข้อมูลหุ้น GGC ได้ที่ ggcplc.com)


          สุดท้ายแล้วสิ่งที่ต้องเน้นย้ำเมื่อคิดจะเข้ามาแสวงหาผลตอบแทนจากตลาดหุ้นก็คือ ทุกการลงทุนล้วนมีความเสี่ยง โดยเฉพาะหุ้น ที่มีความเสี่ยงสูงและผลตอบแทนไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน ทั้งตัวของบริษัท นโยบายภาครัฐ หรือสภาวะเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศ แม้จะมีโอกาสทำกำไรงาม ๆ แต่ก็ต้องเตรียมรับมือกับสภาวะขาดทุนไว้ด้วย

          ดังนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวิเคราะห์ข้อมูลของบริษัท และติดตามข่าวสารบ้านเมืองอย่างรอบด้าน ตลอดจนศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการลงทุนก่อนตัดสินใจเก็บหุ้นตัวไหนเข้าพอร์ต ถึงจะสามารถเอาตัวรอดจากตลาดหุ้นได้
 

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
How to เล่นหุ้นฉบับมือใหม่ อยากซื้อหุ้นกลุ่ม ปตท. ต้องเริ่มต้นอย่างไร อัปเดตล่าสุด 6 กันยายน 2564 เวลา 08:50:15 35,815 อ่าน
TOP