ครม. ไฟเขียวจัดตั้ง กบช. หักเงินลูกจ้าง 3-10% ต่อเดือน เข้ากองทุนเงินออม ได้รับเงินคืนหลังเกษียณอายุ 60 ปี ให้เข้ากองทุนอัตโนมัติ ใครโดนบ้าง เช็กรายละเอียดเลย !
วันที่ 30 มีนาคม 2564 น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นห่วงคนไทยวัยเกษียณ อยากให้มีรายได้และมีความเป็นอยู่ที่มั่นคงหากไม่มีรายได้ ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบหลักร่างกฎหมาย 2 ฉบับ ที่เกี่ยวข้องกับกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ สำหรับแรงงานในระบบทุกประเภท หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสำหรับแรงงานภาคเอกชน
อ่านเพิ่มเติม : กองทุนสำรองเลี้ยงชีพคืออะไร <<ข้อมูลสำคัญที่ลูกจ้างควรรู้คลิกอ่านได้ที่นี่
ภาพจาก เฟซบุ๊ก ไทยคู่ฟ้า
สำหรับฉบับแรก ร่าง พ.ร.บ.กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ ซึ่งมีสาระสำคัญ คือ จัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ โดยใช้ชื่อว่า กบช. ให้เป็นหน่วยงานของรัฐ และมีฐานะเป็นนิติบุคคล ที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ
วัตถุประสงค์ของกองทุน
ให้เป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคบังคับ สำหรับแรงงานในระบบทั้งลูกจ้างเอกชน ลูกจ้างชั่วคราวของราชการ พนักงานราชการ เจ้าหน้าที่องค์กรมหาชน และพนักงานในรัฐวิสาหกิจ ที่ไม่เป็นสมาชิกของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยได้รับผลประโยชน์ในรูปแบบการจ่ายบำเหน็จบำนาญ กองทุนนี้จะถือเป็นศูนย์กลางการบูรณาการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบำเหน็จบำนาญด้วย
ภาพจาก Frame China / Shutterstock.com
ให้ลูกจ้างที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป และไม่เกิน 60 ปี ที่ไม่เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ต้องเป็นสมาชิกของ กบช.
ต้องจ่ายเงินสมทบเท่าไร ?
กำหนดให้ลูกจ้างและนายจ้างส่งเงินสมทบแต่ละฝ่าย โดยกำหนดเพดานค่าจ้างสูงสุดไม่เกิน 60,000 บาทต่อเดือน เช่น
- ลูกจ้างตั้งแต่ปีที่ 1-3 จะต้องจ่ายเงินสมทบไม่น้อยกว่า 3% ของค่าจ้าง
- ลูกจ้างตั้งแต่ปีที่ 4-6 ส่งเงินสมทบไม่น้อยกว่า 5% ของค่าจ้าง
- ลูกจ้างตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ไม่น้อยกว่า 7-10% ของค่าจ้าง
ส่วนกรณีที่ลูกจ้างมีเงินเดือนน้อยกว่า 10,000 บาท ให้นายจ้างส่งเงินสมทบเพียงฝ่ายเดียว
ได้รับเงินคืนจาก กบช. เมื่อไร
การรับเงินจาก กบช. จะได้รับเมื่อสมาชิกมีอายุครบ 60 ปี โดยสามารถเลือกเป็นบำเหน็จ หรือบำนาญเป็นรายเดือนระยะเวลา 20 ปี
ส่วนร่างกฎหมายที่ 2 คือ ร่างกฎหมายคณะกรรมการบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ จะเป็นการแต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าว ให้มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำนโยบาย แผนแม่บท และแนวทางการจัดระบบบำเหน็จบำนาญในภาพรวมของประเทศ เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
สำหรับองค์ประกอบของคณะกรรมการ จะมีทั้งหมด 10 คน โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นกรรมการ และเลขานุการ ซึ่ง ครม. ได้มอบหมายให้คณะกรรมการกฤษฎีการตรวจ และเปิดรับฟังความคิดเห็นจากกระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)