
วิธีออมเงิน จากหลักพันให้เป็นหลักล้านทำอย่างไร และเป็นไปได้จริงหรือไม่ที่เงินหลักพันจะกลายเป็นหลักล้านด้วยวิธีการเพียงแค่ 3 วิธี ทุกข้อสงสัย กระปุกดอทคอมมีคำตอบ
การออมเงินเป็นหนึ่งในวิธีการที่ทำให้เรามีสถานะทางการเงินที่มั่นคงและเป็นหลักประกันในการใช้จ่ายในอนาคต และยังเป็นวิธีที่จะทำให้เงินของเรางอกเงยได้อีกด้วย จากการที่เรานำเงินไปฝากกับธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยสูง แต่ลองคิดดูว่ากว่าที่เงินเราจะงอกเงยได้ถึงจุดที่เรียกได้ว่า มั่งคั่ง ก็ต้องใช้เวลานาน หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยกับการหวังผลตอบแทนจากการฝากเงิน ถ้าเราไม่ได้มีเงินหลักล้านขึ้นไป
แล้วเราจะมีวิธีการออมเงินอย่างไรให้ได้รับผลประโยชน์สูงที่สุด ในกรณีเรามีเงินอยู่ในมือเพียงแค่หลักพันบาท ! กระปุกดอทคอมไปเจอบทความที่น่าสนใจจากนิตยสาร lemonade เกี่ยวกับการออมเงินจากหลักพันสู่หลักล้าน โดยคุณกิติชัย เตชะงามเลิศ ผู้เขียนหนังสือออมจากน้อยเป็นร้อยล้าน ฟังดูก็น่าสนใจแล้ว งั้นเราไปพบกับ 3 วิธีการออมเงินจากหลักพันให้เป็นหลักล้านกันเลย
1. ออมก่อนใช้
ไม่ว่าคุณจะมีรายได้เท่าใด นี่คือกฎข้อแรกที่จะนำไปสู่ความมั่งคั่ง เพราะหากใช้เงินแล้วค่อยออม รับรองว่าส่วนใหญ่จะใช้จนหมด ไม่เหลือออมแน่นอน ฉะนั้นเมื่อได้เงินเดือนควรเก็บเป็นเงินออมเสียก่อน เหลือเท่าไรค่อยใช้เท่านั้น !!
2. ออม ¼ ของเงินได้
"หากเงินเดือน 15,000 บาท ควรออมเงินให้ได้อย่างน้อยเดือนละ 3,000 บาท" เมื่อเงินเดือนสูงขึ้น สัดส่วนการออมก็ต้องสูงขึ้นตามด้วย
นอกจากนี้หากคุณมีเงินออมอยู่ประมาณ 100,000 บาท และมีรายได้เดือนละ 15,000 บาท อาจออมเงินในรูปแบบของการซื้ออสังหาริมทรัพย์ เช่น คอนโดทำเลดีที่มีราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท
ตัวอย่าง เมื่อตกลงซื้อคอนโดราคา 1 ล้านบาท คุณต้องชำระเงิน ดังนี้





A. ซื้อกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น ที่มีความเสี่ยงต่ำ
ข้อดี
ผลตอบแทนมากกว่าฝากเงินธนาคาร และไม่ต้องเสียภาษี
ข้อเสีย
1.หากต้องการใช้เงิน ไม่สามารถถอนเงินได้ทันที จะต้องขายหน่วยลงทุนก่อนได้เงินในวันรุ่งขึ้น
2.กำหนดจำนวนเงินขั้นต่ำในการซื้อกองทุน
เงินที่ได้รับคือ ราคา NAV (มูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วยลงทุนของวันนั้น)
B. ฝากบัญชี
ข้อดี
1.ฝาก-ถอนเมื่อใดก็ได้
2.ไม่มีขั้นต่ำในการฝากเงิน
ข้อเสีย
ดอกเบี้ยไม่สูง และต้องเสียภาษี 15 เปอร์เซ็นต์ในกรณีที่ได้รับดอกเบี้ยมากกว่าปีละ 20,000 บาท

ที่มาของดอกผลจากการลงทุน...
ปีละ 3-3.5% เลือกลงทุนในกองทุนตราสารหนี้แบบไม่ปันผล มีความเสี่ยง 20 เปอร์เซ็นต์ ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง หุ้นกู้
ปีละ 5-7% เลือกกองทุนในกองทุนอลังหาริมทรัพย์ ซึ่งมี 2 รูปแบบ คือ


ปีละ 18-20% เลือกลงทุนในกองทุนตราสารทุน (กองทุนหุ้น) มีความเสี่ยง 60-70 เปอร์เซ็นต์ แต่ให้ผลตอบแทนสูง
"ยิ่งออมเร็ว ยิ่งรวยเร็ว ยิ่งสบายเร็ว" กับ 9 รูปแบบเงินงอกเงยหลักล้าน
1. ออมเงินปีละ 50,000 บาท
หรือเดือนละ 3,000 บาท เมื่อรวมกับดอกผลจากการลงทุนปีละ 3% ครบ 30 ปี จะมีเงินเก็บ 2,411,479 บาท
2. ออมเงินปีละ 100,000 บาท
หรือเดือนละประมาณ 8,333 บาท เมื่อรวมกับดอกผลจากการลงทุนปีละ 3% ครบ 30 ปีจะมีเงินเก็บ 4,822,958 บาท
3. ออมเงินขั้นบันได






เมื่อรวมกับดอกผลจากการลงทุนปีละ 3% ครบ 30 ปีจะมีเงินเก็บ 9,825,893 บาท
4. ออมเงินปีละ 100,000 บาท
เมื่อรวมกับดอกผลจากการลงทุนปี 10% ครบ 30 ปีจะมีเงินเก็บ 17,203,333 บาท
5. ออมเงินขั้นบันได






เมื่อรวมกับดอกผลจากการลงทุนปีละ 10% ครบ 30 ปีจะมีเงินเก็บ 28,155,146 บาท
6. ออมเงินปีละ 100,000 บาท
เมื่อรวมกับดอกผลจากการลงทุนปีละ 18-20% ครบ 30 ปีจะมีเงิน 90,858,341 บาท

7. ออมเงินขั้นบันได






เมื่อรวมกับดอกผลจากการลงทุนปีละ 18-20% ครบ 30 ปีจะมีเงินเก็บ 123,601,022 บาท
8. ออมเงินปีละ 100,000 บาท
เมื่อรวมกับดอกผลจากการลงทุนปีละ 20% ครบ 30 ปีจะมีเงิน 129,022,071 บาท
9. ออมเงินบันได






เมื่อรวมกับดอกผลจากการลงทุนปีละ 20% ครบ 30 ปีจะมีเงินเก็บ 170,729,440 บาท
การวางแผนการออมเงินอย่างเป็นระบบทำให้เราเห็นภาพของเม็ดเงินในอนาคตได้ชัดเจนมากขึ้น ยิ่งถ้าเราสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนโดยพิจารณาให้ความสำคัญเฉพาะรายจ่ายที่จำเป็นและตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป ก็จะยิ่งทำให้เรามีเงินเหลือเก็บในแต่ละเดือนมากขึ้นและขยับเข้าใกล้คำว่า มั่งคั่ง ได้เร็วขึ้น การที่เรารู้จักประหยัดอดออมถือว่าเป็นสิ่งดีแล้ว แต่จะดีกว่าไหมถ้าเราเพิ่มทางเลือกในการออมให้หลากหลายเพื่อให้เงินของเรางอกเงยเป็นทวีคูณ ลองนำไปปรับใช้กับการออมในชีวิตประจำวันดูนะครับ แล้วจะรู้ว่าการมีเงินล้านไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
นิตยสาร lemonade
โดย คุณกิติชัย เตชะงามเลิศ