มีเงิน 10,000 บาท ลงทุนอะไรดี 2567 ถึงงบน้อยก็สามารถสร้างผลตอบแทนให้เงินออมก้อนนี้ได้ แต่จะเริ่มต้นอย่างไร มาอ่านกัน หลายคนอาจคิดว่าเงิน 10,000 บาทน้อยเกินกว่าที่จะนำไปลงทุน แต่ความจริงแล้วนี่คือจุดเริ่มต้นที่ดีเลย เพราะการลงทุนไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากเสมอไป ยิ่งเริ่มเร็วก็ทำให้เงินเติบโตขึ้นได้เร็ว ดังนั้น ใครมีเงินออมอยู่สัก 10,000 บาท หรือได้รับเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทมาแล้วอยากต่อยอดให้เงินก้อนนี้ แต่ยังไม่รู้ว่า มีเงิน 10,000 บาท ลงทุนอะไรดี ปี 2567 ก็ตามมาดูไอเดียวิธีออมเงิน สร้างผลตอบแทนกัน สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนจะนำเงิน 10,000 บาทไปลงทุน มีอะไรบ้าง วางเป้าหมายลงทุน : กำหนดเป้าหมายว่าเราต้องการออมเงินเพื่ออะไร เช่น เพื่อจ่ายค่าเล่าเรียน ซื้อบ้าน ซื้อรถ ค่าเดินทางไปต่างประเทศ เก็บเงินแต่งงาน เกษียณ เน้นสร้างผลตอบแทนระยะยาว เพื่อเลือกวิธีการออมและลงทุนที่เหมาะสม ตอบโจทย์เป้าหมายของตัวเองมากที่สุด ระยะเวลาการลงทุน : เราต้องการลงทุนในระยะสั้น กลาง หรือยาว เพราะการลงทุนแต่ละรูปแบบมีความแตกต่างกัน หากต้องการใช้เงินในระยะสั้น เช่น 6 เดือน หรือ 1-2 เดือน ก็ควรเลือกฝากประจำ แต่ถ้ายังไม่ต้องการใช้เงินก้อนนี้ อยากเก็บไว้ยาว ๆ เกิน 3 ปี 5 ปี 10 ปี ก็พิจารณาการลงทุนแบบอื่น เช่น สลากออมทรัพย์ พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ เป็นต้น ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ : เราสามารถรับความเสี่ยงต่อการขาดทุนได้แค่ไหน หากรับความเสี่ยงไม่ได้เลย ไม่ต้องการขาดทุน ไม่ต้องการสูญเสียเงิน 10,000 บาทก้อนนี้ไป ก็ต้องเลือกวิธีที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด หรือแทบไม่เสี่ยงเลย เช่น เงินฝากธนาคาร สลากออมทรัพย์ พันธบัตรรัฐบาล หากรับความเสี่ยงต่อการขาดทุนได้ เพื่อแลกกับโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนมากขึ้น สามารถเลือกการลงทุนที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ความรู้และประสบการณ์ที่มี : ควรเลือกลงทุนในสิ่งที่ตัวเองเข้าใจ หากไม่เข้าใจให้ศึกษาหาข้อมูลและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อน เพราะการลงทุนในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้อาจตัดสินใจผิดพลาด หรือตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวง ค่าธรรมเนียมและภาษี : การลงทุนบางรูปแบบมีการเก็บค่าธรรมเนียมและต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายด้วย ดังนั้น เวลาคำนวณผลตอบแทนต้องไม่ลืมหักลบส่วนนี้ ทั้งนี้ แนะนำให้มีเงินสำรองฉุกเฉินให้เพียงพออย่างน้อย 6 เดือน ก่อนนำมาลงทุน ถ้าใครมีเงินออมเพียงพอแล้วก็มาดูกันว่าถ้ามีเงิน 10,000 บาท เราจะสามารถลงทุนในรูปแบบไหนได้บ้าง การฝากเงินกับธนาคารเหมาะกับคนที่ไม่ต้องการขาดทุนใด ๆ โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์เฉลี่ยจะอยู่ที่ราว ๆ 0.45-0.55% ต่อปี แปลว่าถ้าฝากเงิน 10,000 บาทไว้กับบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป ก็จะได้รับดอกเบี้ย 45-55 บาท แต่เดี๋ยวนี้ยังมีเงินฝากออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูงที่ให้ดอกเบี้ย 1.5-3% ต่อปี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเงินฝากแบบดิจิทัล คือไม่มีสมุดบัญชี และต้องเปิดผ่านแอปพลิเคชันของธนาคารตัวอย่างบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง (ข้อมูล ณ วันที่ 24 กันยายน 2567) บัญชีออมทรัพย์ Dime! Save ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ให้ดอกเบี้ย 3% สำหรับเงิน 10,000 บาทแรก หากฝากไว้ 1 ปี จะได้ดอกเบี้ย 300 บาท บัญชีเงินฝาก ME Save ธนาคารทหารไทยธนชาต ให้ดอกเบี้ย 2.2% เมื่อมียอดเงินฝากมากกว่าถอนในแต่ละเดือน หากฝากไว้ 1 ปี และทำตามเงื่อนไข จะได้ดอกเบี้ย 220 บาท บัญชีเงินฝากออมทรัพย์อัลฟา ธนาคารไทยเครดิต ดอกเบี้ย 2% ต่อปี ถ้าฝาก 10,000 บาท จะได้ดอกเบี้ย 200 บาท/ปี เงินฝากประจำมักให้ผลตอบแทนสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการฝาก ยิ่งฝากนาน ยิ่งได้รับผลตอบแทนสูงขึ้น และจะได้รับดอกเบี้ยเมื่อฝากครบกำหนด แต่ก็มีบางแคมเปญที่ให้ดอกเบี้ยทันทีตั้งแต่วันที่ฝาก อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยที่ได้รับจากเงินฝากประจำต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ยกเว้นว่าเป็นเงินฝากพิเศษของธนาคารรัฐ คือ ธนาคารออมสิน, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จะไม่ต้องเสียภาษี อีกหนึ่งวิธีลงทุนที่แทบไม่มีความเสี่ยง รูปแบบคล้าย ๆ กับการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่ไม่ต้องจ่ายทิ้ง แค่ถือไว้จนครบอายุสลากก็จะได้เงินคืนในภายหลังพร้อมดอกเบี้ยที่ระบุไว้แน่นอน ระหว่างที่ออมเงินยังได้ลุ้นรางวัลทุกเดือน ปัจจุบันมีให้เลือกหลายชุดจาก 3 ธนาคาร คือ ธนาคารออมสิน, ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)ตัวอย่างสลากออมทรัพย์ ปี 2567 (ข้อมูล ณ วันที่ 24 กันยายน 2567) สลากออมสินพิเศษ 2 ปี ราคาหน่วยละ 100 บาท ถ้าซื้อ 10,000 บาท ได้ดอกเบี้ยรวม 125 บาท คิดเป็นผลตอบแทน 0.625% ต่อปี (ยังไม่รวมกรณีถูกรางวัล) สลาก ธ.ก.ส. ถุงเงิน อายุ 3 ปี ราคาหน่วยละ 100 บาท ถ้าซื้อ 10,000 บาท ได้ดอกเบี้ยรวม 190 บาท คิดเป็นผลตอบแทน 0.633% ต่อปี (ยังไม่รวมกรณีถูกรางวัล) สลาก ธอส. นาคราช อายุ 3 ปี ราคาหน่วยละ 1,000 บาท ถ้าซื้อ 10,000 บาท ได้ดอกเบี้ยรวม 300 บาท คิดเป็นผลตอบแทน 1% ต่อปี (ยังไม่รวมกรณีถูกรางวัล) พันธบัตรรัฐบาล และพันธบัตรออมทรัพย์ เป็นการลงทุนที่เปรียบเสมือนเราให้รัฐบาลกู้ยืมเงิน ดังนั้น จึงมั่นคง มีความน่าเชื่อถือสูง ความเสี่ยงน้อยมาก และให้ผลตอบแทนแน่นอนราว ๆ 2-4% (ขึ้นอยู่กับอายุของพันธบัตร) สามารถขายคืนพันธบัตรได้ตลอดเวลาแม้จะยังไม่ครบกำหนดไถ่ถอน อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าอยากจะซื้อก็ซื้อได้เลย เพราะต้องรอให้กระทรวงการคลังเปิดขายเป็นรอบ ๆ ในแต่ละปี หรือถ้าไม่อยากรออาจจะซื้อจากตลาดรองก็ได้เช่นกัน เพียงแต่ราคาที่ซื้ออาจจะสูงกว่า เท่ากัน หรือต่ำกว่าพันธบัตรที่เปิดขายรอบแรก หุ้นกู้ คือ ตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทเอกชนเพื่อกู้ยืมเงินของเราแล้วให้ผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉลี่ยให้ดอกเบี้ย 3-5% ต่อปี ซึ่งอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาการลงทุน รวมถึงเรตติ้งหุ้นกู้ หากเป็นหุ้นกู้เรตติ้ง A ขึ้นไปก็จะให้ดอกเบี้ยน้อยกว่าเรตติ้ง BBB เมื่อเทียบในระยะเวลาที่เท่ากัน เช่น หุ้นกู้เรตติ้ง AA อายุ 3 ปี อาจให้ดอกเบี้ย 3% ในขณะที่หุ้นกู้เรตติ้ง BBB+ อายุ 3 ปี อาจให้ดอกเบี้ย 4.2% เป็นต้น ทั้งนี้ ความเสี่ยงในการลงทุนหุ้นกู้คือการผิดนัดชำระหนี้ หมายความว่ามีโอกาสที่ผู้ลงทุนจะไม่ได้เงินต้นคืนหรือไม่ได้รับดอกเบี้ย จึงต้องพิจารณาข้อมูลต่าง ๆ ให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน สำหรับคนที่มีเงินออม 10,000 บาท อาจมีหุ้นกู้ให้เลือกไม่มากนัก เพราะส่วนใหญ่จะต้องลงทุนขั้นต่ำ 100,000 บาท ยกเว้นหุ้นกู้ดิจิทัลที่เปิดขายผ่านแอปฯ เป๋าตัง หรือหุ้นกู้ตลาดรองที่เปิดขายผ่านแอปฯ SCB EASY สามารถลงทุนขั้นต่ำได้ที่ 1,000 บาท เงิน 10,000 บาท อาจไม่ใช่เงินก้อนใหญ่ แต่ก็สามารถนำไปต่อยอดกิจการของตัวเอง หรือใช้เป็นเงินลงทุนหารายได้เพิ่มเติมได้ เช่น ซื้อของมาขายออนไลน์ ขายตามตลาดนัด ขายในออฟฟิศ/โรงงาน ฯลฯ ซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารขายหรือมาผลิตสินค้าขาย ซื้ออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการหารายได้ เช่น ซื้อโน้ตบุ๊กเครื่องใหม่ที่ทำงานได้เร็วกว่าปัจจุบัน, ซื้อกล้อง ขาตั้งกล้อง ไมค์ที่มีประสิทธิภาพ มาใช้ไลฟ์ขายของ หรือซื้อเครื่องปั่นน้ำผลไม้มาใช้แทนเครื่องเดิม ฯลฯ ขยายกิจการที่ทำอยู่ เช่น ถ้าขายของในตลาดนัดอยู่ก็สามารถเช่าแผงเพิ่มหรือลงทุนรับสินค้าอื่น ๆ มาขายเพิ่มเติมได้อีก สมัครเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าหรือบริการ ไม่ต้องสร้างแบรนด์เอง ไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก แต่ต้องศึกษาให้ดีว่าสินค้าหรือบริการนั้นมีความต้องการในตลาดหรือไม่ มีความแตกต่างจากคู่แข่งอย่างไร กำไรที่คาดว่าจะได้รับคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ การลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ยังไม่ต้องการเริ่มต้นจากศูนย์ เนื่องจากคนรู้จักแบรนด์อยู่แล้ว จึงมีฐานลูกค้าเดิม อีกทั้งมีระบบต่าง ๆ ที่พร้อมใช้งาน มีทีมงานช่วยจัดหาสินค้า คิดแผนการตลาด และแนะนำเรื่องการวางกลยุทธ์ พร้อมฝึกอบรมทั้งในด้านการบริหารจัดการ การขาย และการบริการลูกค้า ซึ่งปัจจุบันมีแฟรนไชส์หลายแบรนด์ที่ลงทุนขั้นต่ำเริ่มต้นไม่ถึง 10,000 บาท อย่างไรก็ตาม เราต้องศึกษาข้อมูลของแฟรนไชส์ให้ดี เพื่อประเมินศักยภาพของธุรกิจ รวมถึงพิจารณาเรื่องค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าตกแต่งร้าน ค่าอุปกรณ์ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ศึกษาหาความรู้ก่อนลงทุน : การลงทุนเป็นการตัดสินใจที่ต้องการความรู้และความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ซึ่งจะช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ ลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างยั่งยืน โดยเราสามารถหาความรู้ได้จากการอ่านหนังสือ เข้าคอร์สเรียนหรือคอร์สอบรมที่เกี่ยวข้อง หรือการปรึกษาผู้ที่มีประสบการณ์จริง เริ่มต้นจากการลงทุนในจำนวนน้อย : ลองเริ่มต้นลงทุนในจำนวนที่พอใจก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มจำนวนเงินลงทุนเมื่อมีความมั่นใจมากขึ้น กระจายความเสี่ยง : ไม่ควรลงทุนในสินทรัพย์เดียว ควรกระจายการลงทุนไปในหลาย ๆ ช่องทางเพื่อลดความเสี่ยงขาดทุน เนื่องจากสินทรัพย์บางอย่างขึ้น-ลงสวนทางกัน ลงทุนระยะยาว : การลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีควรลงทุนในระยะยาว อย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป การออมเงินได้ 10,000 บาท เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต สิ่งสำคัญคือต้องศึกษาข้อมูลให้รอบด้านก่อนตัดสินใจลงเงิน และเลือกการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ลงทุนอะไรดี ยามดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ แนะ 14 ทางเลือกน่าสนใจ 60 งานทำที่บ้านก็ดี เป็นอาชีพเสริมก็รวย อาชีพหลักก็ปัง ! แฟรนไชส์น่าลงทุน 2567 รวมธุรกิจน่าสนใจ กำไรดี สำหรับคนอยากเปิดร้านปี 2024 ทำธุรกิจอะไรดี 2567 มาส่องเทรนด์ธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง ปี 2024 ก่อนลงทุน ขอบคุณข้อมูลจาก : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, สมาคมตราสารหนี้ไทย, ธนาคารไทยพาณิชย์
แสดงความคิดเห็น