เบี้ยผู้สูงอายุ ออกวันไหน ปี 2567 ได้เท่าไหร่ และสำหรับคนที่ยังไม่เคยลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพคนชราต้องทำอย่างไร มีเงื่อนไขอะไรที่ควรรู้ เบี้ยผู้สูงอายุ หรือเบี้ยยังชีพคนชรา เป็นสวัสดิการของรัฐเพื่อช่วยเหลือผู้ที่มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีการปรับเกณฑ์ในเรื่องคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์ขอรับเบี้ยผู้สูงอายุ ทำให้หลายคนเกิดความสงสัยในเงื่อนไขการลงทะเบียนเบี้ยผู้สูงอายุ ปี 2567-2568 เราจึงรวบรวมข้อมูลมาบอกให้ทราบกัน นอกจากนี้สำหรับคนที่เคยลงทะเบียนไว้แล้วก็คงอยากทราบว่า เบี้ยผู้สูงอายุ 2567 จะมีเงินเข้าบัญชีวันไหน ก็สามารถเช็กปฏิทินได้จากข้อมูลด้านล่างนี้ได้เลย สำหรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ประจำปีงบประมาณ 2567 (เดือนตุลาคม 2566 - กันยายน 2567) เปิดลงทะเบียนไปแล้วในเดือนตุลาคม 2565 - กันยายน 2566 ปัจจุบันปิดรับลงทะเบียนแล้ว ดังนั้น หากใครเกิดก่อนวันที่ 2 กันยายน 2507 แต่ยังไม่ได้ลงทะเบียน ก็จะต้องลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์เบี้ยผู้สูงอายุในปีงบประมาณ 2568 แทน เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจะเข้าบัญชีทุกวันที่ 10 ของเดือน ยกเว้นตรงกับวันหยุดราชการ จะจ่ายในวันทำการก่อนวันหยุด ดังนั้น ในปี 2567 ผู้สูงอายุจะได้รับเบี้ยยังชีพตามวันต่อไปนี้ เดือนมกราคม : วันพุธที่ 10 มกราคม 2567 เดือนกุมภาพันธ์ : วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 เดือนมีนาคม : วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม 2567 เดือนเมษายน : วันพุธที่ 10 เมษายน 2567 เดือนพฤษภาคม : วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม 2567 เดือนมิถุนายน : วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน 2567 เดือนกรกฎาคม : วันพุธที่ 10 กรกฎาคม 2567 เดือนสิงหาคม : วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม 2567 เดือนกันยายน : วันอังคารที่ 10 กันยายน 2567 เดือนตุลาคม : วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม 2567 เดือนพฤศจิกายน : วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2567 เดือนธันวาคม : วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม 2567 สำหรับในช่วงสิ้นปี 2566 จนถึงปี 2567 จะมีการเปิดลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ประจำปีงบประมาณ 2568 ดังนั้น ถ้าผู้สูงอายุคนไหนที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์แล้ว แต่ยังไม่เคยลงทะเบียนมาก่อนเลย สามารถลงทะเบียนในรอบนี้ได้ค่ะ ลงทะเบียนได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2566 และเดือนมกราคม-กันยายน 2567 จะได้รับเบี้ยผู้สูงอายุตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 เป็นต้นไป (ไม่มีการจ่ายย้อนหลัง) ลงทะเบียนได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2566 และเดือนมกราคม-กันยายน 2567 จะได้รับเบี้ยผู้สูงอายุในเดือนถัดไปจากเดือนที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ เช่น เกิดเดือนมกราคม 2568 ก็จะได้รับเบี้ยยังชีพในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เป็นเดือนแรก ผู้ที่สามารถลงทะเบียนเพื่อขอรับเงินช่วยเหลือเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 2567 จะต้องมีคุณสมบัติตรงตามหลักเกณฑ์ คือ 1. มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 คือ ต้องเกิดก่อนวันที่ 2 กันยายน 2508 (สำหรับผู้ที่ทราบแค่ปีเกิด แต่ไม่ทราบวันเกิด/เดือนเกิด ให้ถือว่าเกิดวันที่ 1 มกราคม ของปีนั้น ๆ) 2. มีสัญชาติไทย 3. มีภูมิลำเนาอยู่ในเขต สำนักงานเทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ตามทะเบียนบ้าน 4. ไม่เคยลงทะเบียนขอรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุมาก่อน ยกเว้นกรณีเพิ่งย้ายภูมิลำเนามาใหม่ สามารถมาลงทะเบียนใหม่ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ตามทะเบียนบ้านใหม่ได้ เช่น เคยลงทะเบียนรับเบี้ยผู้สูงอายุที่จังหวัดนครศรีธรรมราช แต่ปีนี้ย้ายทะเบียนมาอยู่จังหวัดชลบุรี ก็ให้มาลงทะเบียนใหม่ที่จังหวัดชลบุรี 5. ไม่เป็นผู้ได้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือ อปท. อาทิ เงินบำนาญ เบี้ยหวัด บำนาญพิเศษ รวมถึงเงินอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกัน เช่น ผู้สูงอายุที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ที่ได้รับเงินเดือน ค่าตอบแทน รายได้ประจำ หรือผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่รัฐจัดให้เป็นประจำ (ยกเว้นผู้พิการและผู้ป่วยเอดส์) จากกรณีที่ราชกิจจานุเบกษาประกาศหลักเกณฑ์ใหม่เกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์รับเบี้ยผู้สูงอายุ โดยระบุว่า จะต้องเป็นผู้ไม่มีรายได้ หรือมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ ตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุกำหนด ซึ่งกฎใหม่นี้มีผลตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป ทำให้หลายคนกังวลว่าจะไม่สามารถลงทะเบียนผู้สูงอายุรอบใหม่ได้ หรือผู้ที่เคยได้รับเบี้ยมาทุกปีจะถูกตัดสิทธิ์นั้น ประเด็นนี้ยังต้องรอความชัดเจนอีกครั้ง เนื่องจากปัจจุบันยังไม่ได้กำหนดเกณฑ์ชี้วัดการมีรายได้ไม่เพียงพอ ดังนั้น ผู้ที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ที่มีคุณสมบัติตามข้อกำหนดเดิมยังสามารถรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุได้ ลงทะเบียนได้ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามภูมิลำเนาของตัวเอง คือ กรุงเทพฯ : สำนักงานเขตที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ในวัน-เวลาราชการ ต่างจังหวัด : สำนักงานเทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ในวัน-เวลาราชการ บัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรอื่นที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐที่มีรูปถ่าย ทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้านที่เป็นปัจจุบัน สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร ประเภทออมทรัพย์ พร้อมสำเนา สำหรับกรณีที่ผู้ขอรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุผ่านธนาคาร หากผู้สูงอายุไม่สามารถมาลงทะเบียนได้ด้วยตนเอง สามารถมอบอำนาจเป็นลายลักษณ์อักษรให้ผู้อื่นมายื่นคำขอรับเงินแทนได้ โดยต้องใช้เอกสารดังนี้ บัตรประจำตัวประชาชนของผู้สูงอายุ หรือบัตรอื่นที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐที่มีรูปถ่าย ทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้านที่เป็นปัจจุบัน สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร ประเภทออมทรัพย์ พร้อมสำเนา ของผู้สูงอายุ สำหรับกรณีขอรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุผ่านธนาคาร หนังสือมอบอำนาจ (แบบฟอร์มมอบอำนาจขึ้นอยู่กับการดำเนินการของแต่ละพื้นที่ ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่โดยตรง) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ สำเนาทะเบียนบ้านของผู้รับมอบอำนาจ ทั้งนี้ สำเนาทุกฉบับต้องลงชื่อรับรองสำเนาถูกต้อง หากผู้สูงอายุไม่สามารถเขียนได้ ให้พิมพ์ลายมือแทน จ่ายเป็นขั้นบันไดตามอายุ ดังนี้ ผู้สูงอายุ 60-69 ปี ได้รับเงิน 600 บาท/เดือน ผู้สูงอายุ 70-79 ปี ได้รับเงิน 700 บาท/เดือน ผู้สูงอายุ 80-89 ปี ได้รับเงิน 800 บาท/เดือน ผู้สูงอายุ 90 ปีขึ้นไป ได้รับเงิน 1,000 บาท/เดือน รับเงินสดด้วยตัวเอง รับเงินสดโดยบุคคลที่ได้รับมอบอำนาจจากผู้มีสิทธิ์ โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้มีสิทธิ์ โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของบุคคลที่ได้รับมอบอำนาจจากผู้มีสิทธิ์ สำหรับคนที่เคยได้รับเบี้ยยังชีพมาแล้ว แต่ย้ายที่อยู่ ย้ายภูมิลำเนา จะต้องไปลงทะเบียนใหม่และยืนยันสิทธิ์ในพื้นที่ใหม่ที่เราพักอาศัยตั้งแต่วันที่ย้ายเข้า เพื่อไม่ให้เสียสิทธิ์การรับเงิน ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน สามารถลงทะเบียนรับเบี้ยผู้สูงอายุได้ หากมีคุณสมบัติตรงตามหลักเกณฑ์การขอรับเบี้ยผู้สูงอายุ ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่เกษียณแล้ว และได้รับเงินบำนาญชราภาพทุกเดือน ก็มีสิทธิ์ลงทะเบียนขอรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุได้ ตามกฎหมายใหม่ ผู้สูงอายุที่ได้ขึ้นทะเบียนและรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอยู่ก่อนวันที่ 11 สิงหาคม 2566 ยังคงได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นต่อไป ดังนั้น ใครที่ได้รับเงินส่วนนี้อยู่แล้วก็ยังคงได้รับเหมือนเดิม ไม่ถูกตัดสิทธิ์แต่อย่างใด หากผู้สูงอายุมีอายุครบ 70, 80 หรือ 90 ปี ในระหว่างปีงบประมาณ จะได้ปรับเบี้ยผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นตามขั้นบันได ณ วันที่มีอายุครบในเดือนนั้นทันที ไม่ต้องรอให้ครบปีงบประมาณ ทายาทจะต้องนำใบมรณบัตรไปยื่นแจ้งต่อสำนักงานเขต อบต. หรือเทศบาล ตามภูมิลำเนา ทั้งนี้ ยังคงต้องรอติดตามว่าคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติจะกำหนดเกณฑ์ชี้วัดการมีรายได้ไม่เพียงพอออกมาอย่างไร เพราะจะมีผลต่อคุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิ์ลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพคนชราในอนาคต สรุปหลักเกณฑ์เบี้ยผู้สูงอายุ 600 บาท ฉบับเข้าใจง่าย คนเดิมได้ไหม คนใหม่ใช้เกณฑ์อะไร ประกาศหลักเกณฑ์ใหม่ เบี้ยผู้สูงอายุ 600 บาท จากนี้ไม่ได้ทุกคน เช็กคุณสมบัติคนได้รับสิทธิ์ ที่นี่ ขอคืนเงินประกันสังคม บำเหน็จ บำนาญชราภาพ ก่อนอายุ 55 ปี ได้ไหม ถ้าตกงาน หรือลาออก ? เงินชราภาพ บำเหน็จ-บำนาญประกันสังคม ขอคืนได้เมื่อไหร่ ใครมีสิทธิ์บ้าง ? 3 วิธีเช็กเงินชราภาพประกันสังคม มาตรา 33 และ 39 รู้ไหมเรามีเงินสะสมอยู่เท่าไร ? ขอบคุณข้อมูลจาก : ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน, ราชกิจจนุเบกษา, กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, กรมกิจการผู้สูงอายุ, รัฐบาลไทย
แสดงความคิดเห็น