7 ข้อดี ของการเลือกลงทุน กองทุนรวม

ลงทุน
 
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
 
          ถ้าพูดถึงการลงทุน คนที่เป็นมือใหม่อยากจะเริ่มต้นลงทุนดูบ้างอาจจะรู้สึกปวดหัวไม่น้อย เพราะการลงทุนนั้นมีรูปแบบให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหุ้น พันธบัตรรัฐบาล ทองคำ หรือจะเป็นกองทุนรวม ที่หากไม่ศึกษาให้ดีก็คงไม่เข้าใจว่าการลงทุนแต่ละรูปแบบนั้นมีลักษณะพิเศษอย่างไร หรือเหมาะกับความต้องการของเราหรือไม่
 
          แต่สำหรับใครที่สนใจเรื่อง "กองทุนรวม" มากเป็นพิเศษ ก็คงมีคำถามว่า "กองทุนรวมคืออะไร แล้วดีอย่างไร" เรามาลองดูกันว่าอะไรคือข้อดี หรือประโยชน์ ที่จะได้จากการลงทุนในกองทุนรวมบ้าง
 
          1. มีมืออาชีพคอยบริหารเงินให้
 
          นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของกองทุนรวม เพราะอย่างที่ทราบกันว่าการลงทุนกองทุนรวมนี้จะมีบริษัทจัดการกองทุน และผู้จัดการกองทุนคอยดูแลความเหมาะสมในการลงทุนให้ ว่า เราควรจะซื้อขายหลักทรัพย์ใด ต้องลงทุนเมื่อไรถึงจะดี โดยจะวิเคราะห์ให้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่กองทุนในระยะยาว
 
          ดังนั้นแล้ว หากเราเป็นคนหนึ่งที่มีทุนทรัพย์ไม่มาก ไม่มีความรู้ความชำนาญในการลงทุนดีพอ ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีเวลาติดตามข่าวสารการเงินอย่างต่อเนื่อง กลัวตัวเองจะตัดสินใจผิดพลาด และอีกสารพัดเหตุผลที่ทำให้เราไม่กล้าลงทุน การเลือกลงทุนกองทุนรวมจะช่วยขจัดปัญหาตรงนี้ออกไปได้ แถมยังประหยัดเวลาด้วย เพราะมีผู้เชี่ยวชาญคอยบริหารจัดการให้เราตามนโยบายการลงทุนที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวนแล้วนั่นเอง และทำอย่างทันเหตุการณ์ ทำให้การปรับเปลี่ยนการลงทุนเป็นไปอย่างรวดเร็ว
 
          2. มีการกระจายความเสี่ยง
 
          การลงทุนในรูปแบบนี้เป็นการระดมทุนจากผู้ลงทุนรายย่อยหลาย ๆ ราย แล้วนำเงินก้อนใหญ่ไปลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทต่าง ๆ หลาย ๆ ตัว ดังนั้น จึงเป็นการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง ทำให้เราเป็นเจ้าของหลักทรัพย์ได้หลายประเภท โดยไม่ต้องไปติดต่อหลายหน่วยงาน เพราะหากคุณตัดสินใจลงทุนด้วยตัวเอง ก็อาจมีข้อจำกัดว่าไม่มีสามารถนำเงินที่มีอยู่ไปลงทุนกระจายความเสี่ยงให้หลักทรัพย์หลาย ๆ ตัวได้ เพราะทำได้ยาก และต้องใช้ต้นทุนสูง
 
          3. มีความหลากหลาย
 
          กองทุนรวมเป็นการลงทุนที่มีความหลากหลาย มีทางเลือกมากมายขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ลงทุนว่าอยากจะลงทุนในหลักทรัพย์อะไร กระจายการลงทุนแบบใด ระยะเวลานานแค่ไหน ยอมรับความเสี่ยงได้มากหรือน้อย เพื่อเลือกนโยบายการลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเอง และฐานะทางการเงินได้
 
           4. มีสภาพคล่องสูง
 
          หากเลือกลงทุนกับกองทุนรวมเปิด ผู้ลงทุนสามารถขายคืนหน่วยลงทุนให้กับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ที่เป็นผู้จัดตั้งกองทุนเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ในช่วงเวลาที่กองทุนเปิดให้มีการซื้อขาย โดยบางกองทุนอาจจะกำหนดให้ซื้อขายได้ทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน หรือทุก 3 เดือน ขึ้นอยู่กับแต่ละกองทุน
 
          แต่ถ้าหากเลือกลงทุนกับกองทุนปิดที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เราจะไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนให้ บลจ. ได้ จะต้องนำหน่วยลงทุนที่ถืออยู่ไปขายเปลี่ยนมือในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ตนเอง
 
          5. มีอำนาจการต่อรองเพิ่มขึ้น
 
          เพราะกองทุนรวมเป็นนักลงทุนประเภทสถาบันที่มีเงินลงทุนก้อนใหญ่ ดังนั้นจึงมีอำนาจต่อรองในเรื่องอัตราดอกเบี้ย และราคาตราสารได้มากกว่านักลงทุนรายย่อย
 
          6. มีกลไกปกป้องผู้ลงทุน
 
          ตามปกติแล้ว สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ในการทำธุรกิจ รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นต่อการตัดสินใจลงทุน เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ลงทุนถูกเอาเปรียบ
 
          นอกจากนี้ ยังเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของผู้ถือหน่วยลงทุน ในการรักษาผลประโยชน์ต่าง ๆ ของผู้ถือหน่วย อันได้แก่ การดูแลตรวจสอบการบริหารจัดการกองทุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และนโยบายการลงทุนที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน หรือการสอบทานความถูกต้องของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม ฯลฯ ดังนั้น จึงเป็นกลไกของรัฐที่จะช่วยทำให้ผู้ลงทุนได้รับความเป็นธรรม
 
          7. ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
 
          สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ผู้ลงทุนกองทุนรวมจะได้รับนั้น แบ่งออกเป็น 2 กรณีคือ
 
               กรณีลงทุนในกองทุนรวมทั่วไป
 
            "เงินได้จากการขายหน่วยลงทุน" จะได้รับยกเว้นภาษี ดังนั้น ผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มที่ เช่น ซื้อหน่วยลงทุนราคา 100 บาท ต่อมาขายได้ในราคา 105 บาท กำไร 5 บาทที่ได้นั้นจะได้ทั้งหมด ไม่ต้องนำไปเสียภาษีเงินได้
 
            แต่หากเป็นเงินได้จาก "เงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งกำไร” จะต้องชำระภาษี ณ ที่จ่าย 10% ซึ่งผู้ถือหน่วยลงทุนมีสิทธิเลือกที่จะนำเงินปันผลที่ได้รับจากกองทุนรวมไปรวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีตอนสิ้นปีหรือไม่ก็ได้ แต่จะไม่สามารถนำมาเครดิตภาษีเงินปันผลได้
 
               กรณีลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)
 
            เงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนทั้ง 2 ประเภทนี้ สามารถนำไปหักลดหย่อนได้ตามจริง ไม่เกินกองละ 15% ของเงินได้พึงประเมิน (เงินได้ก่อนหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน) และสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท  โดยในส่วนของกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพต้องนำไปรวมกับเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการที่นายจ้างหักและนำส่งบริษัทจัดการในแต่ละปีด้วย
 
            จากข้อดีของกองทุนรวมเหล่านี้ น่าจะเป็นข้อมูลช่วยให้คุณตัดสินใจได้มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ควรศึกษาพิจารณาข้อมูลต่าง ๆ ให้ละเอียดเสียก่อน เพราะอย่าลืมว่าการลงทุนทุกอย่างย่อมมีความเสี่ยงแน่นอน





 
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
 



เรื่องที่คุณอาจสนใจ
7 ข้อดี ของการเลือกลงทุน กองทุนรวม อัปเดตล่าสุด 30 กรกฎาคม 2564 เวลา 10:41:22 3,815 อ่าน
TOP
x close